(ชาติพันธุ์) ลาวทรงดํา ไทยทรงดํา ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง
กลุ่มชาติไทอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่กระจัดกระจายทั่วประเทศไทย และเป็นกลุ่มใหญ่ที่มีวัฒนธรรมเฉพาะตน
เสฐียรโกเศศ (2509) ได้เขียนว่า “ส่ง โซ่ง ทรง” มีความหมายเดียวกันว่า กางเกงดําโซ่ง ซ่งซ่วง (ส้วง) เป็นภาษาลาวหมายถึงกางเกง ดังนั้น ลาวทรงดํา ไทยทรงดํา ลาวโซ่ง จึงหมายถึง ผู้ที่นุ่งห่มด้วยเสื้อผ้าสีดําใน ขณะที่พระบริหารเทพธานี (2480) กล่าวไว้ในหนังสือ พงศาวดารชาติไทย ตอนหนึ่งว่า “ผู้ไทยดําที่เรียกกัน แถวเมืองเพชรบุรีและราชบุรี ลาวโซ่ง คําว่าโซ่ง หมายถึง กางเกง ดังนั้นผู้ไทยดํา ก็คือลาวโซ่งดํา เพราะชอบนุ่ง กางเกงสีดํา”
หลวงวิจิตรวาทการ (2512) กล่าวไว้ในหนังสือ เรื่องค้นคว้าชนชาติไทยตอนหนึ่งว่าที่เรียกว่า ไทยทรงดํา เพราะชอบนุ่งผ้าด้วยสีน้ําเงินแก่ ซึ่งเป็นสีประจําชาติไทยมาแต่โบราณ และได้กล่าวอีกตอนหนึ่งว่า ไทยดํา เป็นเชื้อสายชนชาติไทย สาขาใหญ่สาขาหนึ่ง และเรียกผู้ไทยสาขานี้ว่าเป็นชนชาติไทยเดิมหรือ ไทยโบราณ
ม.ศรีบุษรา (2530) ได้กล่าวว่า ไทยทรงดํา หรือไทยดํามีถิ่นฐานอยู่ที่ประเทศจีนตอนกลาง ซึ่งเป็น ถิ่นฐานเดิมของชนเผ่าไท ต่อมาคนไทได้อพยพลงมาทางใต้ ไทดําได้อพยพมาตั้งหลักแหล่งที่บริเวณแม่น้ําอู ซึ่ง เป็นแม่น้ําที่ไหลบรรจบกับแม่น้ําโขงที่หลวงพระบางในแคว้นสิบสองจุไท ซึ่งมีเมืองแถงหรือปัจจุบัน คือ เมือง เดียนเบียนฟู ประเทศเวียดนาม เป็นเมืองหลวงและเป็นหัวเมืองฝ่ายเหนือ บริเวณนี้อยู่ตอนเหนือของ ราชอาณาจักรลาวใกล้เขตแดนเวียดนามเหนือ นอกจากเมืองแถงแล้ว บริเวณที่ไทดําอาศัยอยู่ ได้แก่ เมืองควาย เมืองดุง เมืองม่วย เมืองลา เมืองโมะ เมืองหวัด เมืองซาง และรวมเมืองที่ผู้ไทขาวอาศัยอยู่อีก 4 เมือง รวมทั้งหมดเป็น 12 เมือง จึงเรียกว่า เมืองสิบสองผู้ไท หรือ สิบสองเจ้าไท และต่อมาเป็นสิบสองจุไท แคว้นสิบสองจุไทเดิมนั้นขึ้นอยู่กับอาณาจักรน่านเจ้า ภายหลังมาขึ้นอยู่กับอาณาจักรโยนกเชียงแสน เมือง อาณาจักรเชียงแสนถูกพวกไทมาทําลายลงแล้ว ก็ไปขึ้นกับอาณาจักรล้านนา ต่อมาไปขึ้นอยู่กับอาณาจักร สุโขทัย ในรัชกาลพ่อขุนรามคําแหงมหาราช เมื่ออาณาจักรสุโขทัยเสื่อมอํานาจลงในตอนต้นสมัยอยุธยา แคว้น สิบสองจุไทได้ถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ภาค คือ ภาคที่ติดต่อกับพม่า ซึ่งจีนเรียกว่า “แคว้นสิบสองปันนา” หรือ “พวกไทลื้อ” และภาคที่ติดต่อกับจีนชาวญวน เรียกว่า “แคว้นสิบสองจุไท”
สุภางค์ จันทวานิช และวิมาลา ศิริพงษ์ (2542) อธิบายระบบการเมืองการปกครองของชนชาติไท และชื่อเมืองในอาณาจักรสิบสองพันนา ไว้ว่า อาณาจักรสิบสองพันนา มีลักษณะการปกครองแบบสมาพันธรัฐ ขนาดใหญ่ประกอบด้วยเมืองขนาดใหญ่ 12 เมือง 5 เมืองทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ําโขง และ 6 เมืองทางฝั่ง ตะวันออกแม่น้ําโขง รวมเรียกว่า ห้าเมิงตะวันตก หกเมิงตะวันออก นับรวมเมืองเชียงรุ่งซึ่งเป็นเมืองหลวงแล้ว ก็ได้ 12 เมืองพอดี เจ้าเมืองของแต่ละเมืองใหญ่จะปกครองโดย กินเมือง คือ มีอํานาจเก็บภาษีครอบคลุมพื้นที่ กว้างขวางถึงจํานวนหนึ่งพันนา หรือนาหนึ่งพันแห่ง/ผืน แต่ละเมืองใหญ่จึงมีอาณาเขตหนึ่งพันนา รวมเรียกว่า 12 พันนา ใน ค.ศ. 1570 (ประมาณ พ.ศ.2113) หลักฐานบันทึกไว้ว่าประกอบด้วยเมืองเล็กต่าง ๆ ดังนี้
พันนา 1 มีเชียงรุ่ง เมืองยาง เมืองฮำเชียงฮา
พันนา 2 มีเมืองแช่ เมืองมาง เชียงลู เมืองออง
พันนา 3 มีเมืองลวง
พันนา 4 มีเมืองหน เมืองพาน เชียงลอ
พันนา 5 มีเมืองฮาย เชียงเจี่อง
พันนา 6 มีเมืองงาด เมืองขาง เมืองวัง
พันนา 7 มีเมืองล่า เมืองบ่าน
พันนา 8 มีเมืองฮิง เมืองบ่าง
พันนา 9 มีเชียงเหนือ เมืองลา
พันนา 10 มีเมืองพง เมืองมาง เมืองหย่วน พันนา 11 มีเมืองอู เมืองอูใต้
พันนา 12 มีเชียงทอง เมืองอีงู เมืองอีปัง
ต่อมามีการเปลี่ยนเขตพันนาใหม่แต่ก็แบ่งเป็น 12 พันนาเหมือนเดิม ปัจจุบันสิบสองพันนา มีชื่อเป็น ภาษาจีนแปลเป็นไทยได้ว่า จังหวัดปกครองตนเองชนชาติไตสิบสองปันนา สําหรับบริเวณที่อยู่ระหว่างดินแดนภาคเหนือและแคว้นสิบสองจุไททางใต้อยู่ภายใต้การปกครองของ เมืองหลวงพระบาง มีอยู่ห้าเมืองและต่อมาเพิ่มอีกหนึ่งเมืองเป็นหกเมือง เรียกว่า “หัวพันทั้งห้าทั้งหก” ได้แก่ เมืองควาย เมืองดุง เมืองม่วย เมืองลา เมืองไล เมืองแถง โดยเฉพาะเมืองแถงอยู่ห่างไกลจากนครหลวงพระ บาง มีอาณาเขตติดต่อกับจีนทางตอนใต้ และตอนเหนือของประเทศเวียดนาม อํานาจการปกครองจากนคร หลวงพระบางจึงดูแลไม่ทั่วถึง จึงมอบอํานาจให้ปกครองดูแลกันเอง แต่ยังอยู่ในอํานาจคุ้มครองของเจ้าหลวง พระบาง ดังนั้นในบางยุคบางสมัย หัวเมืองฝ่ายเหนืออันมีเมืองแถงเป็นต้น ขึ้นอยู่กับจีนบ้าง เวียดนามบ้าง เรียกว่า “สามฝ่ายฟ้า” (สุมิตร ปิติพัฒน์ และคณะ, 2521) ต่อมา “หัวพันทั้งห้าทั้งหก” มาเป็นจังหวัดหนึ่งของ ประเทศลาวตอนเหนือ เรียกว่า “แขวงหัวพัน, ซําเหนือ หรือเวียงไชย” กลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ส่วนมาก เป็นชาวไทดําซึ่งชาวลาวเรียก “ไทเหนือ” เพราะตั้งอยู่ติดกับเมืองแถงแห่ง สิบสองจุไท และไม่ห่างจาก แม่น้ําหลํา หรือ ดํา (ซงโบ) ซึ่งชาวผู้ไท เรียกว่า “แม่น้ําแท้” (ม.ศรีบุษรา, 2530)
ไทดําอาศัยอยู่ทั่วไปตั้งแต่มณฑลกวางสี ยูนนาน และบริเวณลุ่มแม่น้ําดํา แม่น้ําแดง ในแคว้นตังเกี๋ย ไทดําจากแคว้นสิบสองจุไทได้เข้ามาอยู่ในประเทศไทย ด้วยเหตุผลทางการเมือง ดังจะกล่าวถึงในหัวข้อต่อไป
การอพยพของชาวไทยทรงดําในพื้นที่ประเทศไทย
ไทยทรงดํา หรือ ลาวโซ่ง มีผิวขาวคล้ายคนจีนในปัจจุบัน ลูกหลานลาวโซ่งหรือไทยทรงดําอยู่อาศัยใน จังหวัดเพชรบุรี ราชบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี ได้แปรสภาพเป็นชาวไทยทั่วไป
ชาวไทยทรงดํา คือ ลาวทรงดําหรือลาวโซ่ง เป็นกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่งที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ตั้งแต่บริเวณ มลฑลกวางสี ยูนาน ตังเกี๋ย ลุ่มแม่น้ําดําและแม่น้ําแดง จนถึงแคว้นสิบสองจุไท ในประเทศเวียดนามตอนเหนือ ได้อพยพเข้ามาในประเทศไทย ในสมัยกรุงธนบุรี พ.ศ.2322 สาเหตุของการอพยพเนื่องจากเมื่อต้นแผ่นดินของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เจ้านครเวียงจันทน์ได้กระทําการอันหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จึงได้มี พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมื่อครั้งดํารงพระยศเป็นสมเด็จ เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ยกกองทัพขึ้นไปตีนครเวียงจันทน์ในพ.ศ.2321 ครั้นปี 2322 กองทัพสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกําหนดให้กองทัพเมืองหลวงพระบางยกกําลังไปตีเอาเมืองม่วย เมืองทัน (ญวน เรียกว่า เมืองซือหงี) ซึ่งเป็นเมืองของผู้ไทยทรงดํา ตั้งอยู่ริมเขตแดนเมืองญวนเหนือ แล้วกวาดต้อนครอบครัว ลาวเวียงจันทน์และไทยทรงดําลงมายังประเทศไทย ให้ลาวเวียงจันทน์ตั้งบ้านเรือนอยู่เมืองสระบุรี ราชบุรี และ จันทบุรี ส่วนไทยทรงดําให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองเพชรบุรี สันนิษฐานว่าอยู่ที่หนองปรง (หรือหมู่บ้านหนองเลา) อําเภอเขาย้อย
ในปี พ.ศ. 2335 ไทยทรงดําได้อพยพเข้ามาในประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง สาเหตุเกิดจากพวกเมืองแถง เมืองพวน แข็งข้อต่อเมืองเวียงจันทน์ เจ้าเมืองเวียงจันทน์จึงยกกองทัพไปตี ได้ไททรงดําและลาวพวนมาไว้ที่ เพชรบุรี ต่อมาในรัชกาลที่ 3 หัวเมืองบางหัวเมืองที่ขึ้นต่อเมืองหลวงพระบางกระด้างกระเดื่อง พ.ศ. 2371 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้แม่ทัพยกกองทัพไปปราบเมืองแถง และ ได้ครอบครัวไทยทรงดําลงมาไว้ที่เมืองเพชรบุรีอีกครั้งหนึ่ง พ.ศ. 2379 เมืองหึม (ฮึม) เมืองคอย เมืองควร แข็ง ข้อต่อเมืองหลวงพระบาง เจ้าอุปราช เจ้าราชวงศ์แต่งให้ท้าวพระยาคุมกองทัพขึ้นไปปราบ ได้ไททรงดําส่งมาไว้ ที่เมืองเพชรบุรี ต่อมาปี พ.ศ. 2381 เจ้าอุปราช เจ้าราชวงศ์ เจ้านายทางเมืองหลวงพระบางและเวียงจันทน์เกิด วิวาทกัน เจ้าราชวงศ์ได้คุมไทยทรงดําลงมาไว้ที่กรุงเทพฯ ไทยทรงดําที่นํามาไว้ในจังหวัดเพชรบุรีในรัชกาลที่ 3 นี้ตั้งหลักแหล่งอยู่ตําบลท่าแร้ง อําเภอบ้านแหลม แต่เนื่องจากไทยทรงดําชอบอาศัยอยู่ที่ดอน น้ําไม่ท่วม และ บริเวณที่อาศัยเดิมขาดแคลนไม้ จึงได้อพยพไปอยู่ที่อําเภอเขาย้อยเพิ่มเติมอีกในเวลาต่อมา
ม.ศรีบุษรา (2530) ได้กล่าวถึงการอพยพของชาวไทยทรงดําเพิ่มเติมว่า “คณะพรรคกอบกู้อิสรภาพ แห่งชาติเวียดนาม” หรือที่เรียกกันย่อๆ ว่า “เวียดมินห์” มีจุดประสงค์ที่จะให้ญวนเป็นเอกราชโดยสมบูรณ์ โดยทําการขับไล่ฝรั่งเศสให้ออกไปพ้นดินแดนอินโดจีน ในปี พ.ศ. 2497 พวกเวียดมินห์ได้เข้าโจมตี
ในปี พ.ศ.2407 เกิดความระส่ำระสายใน แคว้นตังเกี๋ย สิบสองจุไท และลาวเหนือ พวกจีนฮ่อ บุกเข้ามาก่อกวนในแถบแม่น้ําดํา แม่น้ําแดง และที่ ราบสูงทรานนินท์ ในระหว่างแผ่นดินพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 หัวเมืองฝ่าย เหนือ คือ หลวงพระบาง และเวียงจันทน์ถูกพวกจีน ฮ่อบุกเข้ามาโจมตี เจ้าเมืองหัวเมืองฝ่ายเหนือขอ ความช่วยเหลือมายังกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงส่งกองทัพไปปราบฮ่อในปี พ.ศ.2421 และได้นําครอบครัวไทดําอพยพเข้ามาใน อาณาจักรไทย พ.ศ.2428 และ พ.ศ.2430 ได้โปรด เกล้าฯให้จอมพลเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี จัดกองทัพ ไปปราบอีกครั้งหนึ่งและนําครอบครัวไทดําเข้ามาอยู่ ในประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง
เดียนเบียนฟู (เมืองแถง) เมืองป้อมของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นบริเวณที่มีไทดําอาศัยอยู่หนาแน่น จนกระทั่ง เดียนเบียนฟูแตก และฝรั่งเศสยอมจํานน จากการสู้รบนี้ทําให้ชาวไทดําประมาณ 2,000 คนอพยพเข้าไปตั้ง บ้านเรือนอยู่แถบเมืองหลวงพระบาง และอีกกลุ่มหนึ่งประมาณ 3,000 คนอพยพเข้าไปอยู่ที่เชียงขวาง สถานที่ ทํามาหากินคับแคบ ไทดําส่วนหนึ่งจึงอพยพมาอยู่ที่แขวงเวียงจันทน์ ที่บ้านอีไล ห่างจากเวียงจันทน์ไปทาง เหนือประมาณ 20 กิโลเมตร ไทดําอาศัยอยู่ที่เวียงจันทน์ประมาณ 20 กว่าปี จนกระทั่งคอมมิวนิสต์เข้าครอง ลาว ชาวไทดําผู้รักอิสรเสรีจํานวนกว่า 2,000 คน ต้องอพยพหลบภัยเข้ามาในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ.2518 ใน จํานวนนี้ส่วนหนึ่งอยู่ในศูนย์ผู้อพยพ ส่วนหนึ่งกลับไปอยู่ลาว อีกส่วนหนึ่งขอลี้ภัยคอมมิวนิสต์ไปอยู่ที่ประเทศ ฝรั่งเศส อเมริกา แคนาดา ออสเตียเลีย
ภาษาโส้ง คือภาษาไทดำซึ่งเป็นประชากรชาวเวียดนามในปัจจุบัน อย่างไรก็ดี ระยะเวลาร่วม ๒๐๐ กว่าปี และสภาพสังคมสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน ย่อมมีผลทำให้ภาษาเดียวกันมี ความแตกต่างกันได้
ภาษาโส้งหรือภาษาไทดำ จัดอยู่ในภาษาตระกูลไท (คำว่า ไท ในตระกูลภาษา ไม่ต้องเติม ย) มีวิธีการเรียงคำ (วากยสัมพันธ์) อย่างเดียวกันกับภาษาอื่นๆ ในตระกูลไท คือมีประธาน ของประโยค มีคำกริยาและหรือมีกรรมตามท้าย นอกจากนี้ยังมีอักษรใช้เขียนภาษา เรียกว่า อักษรไทดำ (ไม่เรียกอักษรโส้ง/โซ่ง หรืออักษรไทยทรงดำ)
มีข้อน่าสังเกตเกี่ยวกับภาษาโส้ง คือ คำไทยถิ่นกรุงเทพฯ ที่สะกดด้วยเสียง ก ภาษาโส้งจะไม่ออกเสียงตัวสะกดเต็มมาตรา คล้ายกับหยุดเสียงไว้ ส่งผลให้แปรเสียงเป็นวรรณยุกต์ตรี เช่น ลูก ว่า ลุ, ยาก ว่า ญะ, นอก ว่า เนาะ
ภาษาพูดคล้ายๆภาษาลาว ภาษาเหนือล้านนา หรือภาษาอีสาน
วัฒนธรรม ห้าไหในครัวไททรงดำที่ขาดไม่ได้ ประกอบด้วย ไหเกลือ ไหปลาร้า ไหหน่อไม้ดอง ไหมะขามเปียก และไหพริก ห้าอย่างนี้ เป็นเครื่องปรุงสำคัญของอาหารลาวโซ่ง เป็นอาหารหลักที่หล่อเลี้ยงชีพ ปรุงขึ้นตามวัตถุดิบที่มีอยู่รายรอบบ้าน ตามสภาพแวดล้อมและฤดูกาล




ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น