อ่านบทกวีด้วยกันสิที่รัก ๒



ลมหนาว...
เช้าตุลาคม
ฉันคิดถึงบทกวีหน้าที่สามบรรทัดที่เจ็ด

"สนิมจับคมเคียวที่เกี่ยวค้าง
ก้นกระบุงยุ้งฉางก็ว่างเปล่
ฝูงหนูอิงแอบแนบเนา
กอบโกยข้าวเบาจากในนา"

คันนาหญ้าเปียกชุ่ม
น้ำค้างจับเกาะใบข้าว
รอละลายพร้อมแสงแดดยามสาย
กระยางขาวสี่ตัวยืนนิ่งที่กิ่งก้านต้นกุง
สายตาจับนิ่งที่"ปลาข่อนแจนา"

หญิงสาวในบทกวี
ทุ่งรักนาเรา
เยาว์วัยของความรัก
อดีตหลังอันยาวนาน
เมื่อราวพุทธศตวรรษที่17
"น้องสิไลลืมอ้าย
ส่างมาไลตั้งแต่บ้านเมืองเก่า
นางเอ้ย"
เสียงขับลำ
นุ่มเศร้า...
บางจังหวะลำ
ถ้อยคำแหบหายไปในลำคอ

"ความฮักเฮายาวนานเนิ่น
ตั้งแต่เดิ่นท่งกุลา
อ้ายเคยย่างข่วมไปมา
กล่าวจาพะนางน้อง
ฟังเสียงหัวลมต้อง
ตอนลมหนาวใกล้สิอ่วย
ซูนสองแก้มป่วยล่วย
คืนฟังลำเก่ากี้
เคยมีเจ้าอุ่นกายได้กอดเคียง เดนอ"

ฉันคำนึงถึงอุ่นไอรัก
คืนลงแขกตีข้าว
ลมหนาวตุลาคม
สบตาบอกภาษารัก
คืนค่ำนวลแสงจันทร์งาม

"บรรจงกอดพรอดรักสลักจิต
หนาวสะกิดใจสะท้านกายหวั่นไหว
ก็เพียงพอต่ออุ่นลมหายใจ
เพียงอ้อมกอดรัดรึงไว้ในอุ่นรัก"

ฉันยิ้มอย่างมีความสุข





ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศาลาการเปรียญไม้ทรงโบราณ ที่อำเภอเสาไห้

ตำนาน และประวัติความเป็นมา ของอำเภอเถิน จังหวัดลำปาง

[คติธรรม] คมธรรมของหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ