บ้านท่าวัด ชุมชนริมฝั่งหนองหาน ยุคก่อนประวัติศาสตร์
บ้านท่าวัด ตำบลเหล่าปอแดง อำเภอเมืองสกลนคร
เป็นชุมชนที่ผ่านมิติธรณีวิทยา ความหลากหลายทางชีวภาพ
การตั้งถิ่นฐานของบรรพชนก่อนประวัติศาสตร์
เข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์นำหน้าโดยอารยธรรมทวารวดี
เปลี่ยนมือมาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรขอม ส่งต่อไปยังอาณาจักรล้านช้าง เข้าสู่อารยธรรม
แห่งรัตนโกสินทร์ตอนต้น จวบจนปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดสกลนคร
ชุมชนบ้านท่าวัด ได้รับเลือกให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของจังหวัดสกลนคร
เนื่องจากมีเรื่องราวน่าสนใจหลากหลาย ที่ภาษาการท่องเที่ยวใช้คำว่า "จุดขาย” (Gimmick) องค์ประกอบทางธรรมชาติที่มีแหล่งน้ำขนาดใหญ่
"หนองหาร” เป็นหลักฐานสำคัญทางธรณีวิทยาที่แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกตั้งแต่ยุคที่เป็นทะเล
และยกตัวขึ้นมาเป็นแผ่นดิน จนเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "หลุมยุบ”
(Sinkhole) และความหลากหลายทางชีวภาพในรูปแบบของทรัพยากรประมงน้ำจืด
เป็นแหล่งอาหารหล่อเลี้ยงชุมชนรอบข้างมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์
จวบจนถึงยุคสมัยของเราๆท่านๆในปัจจุบัน
เรื่องราวการกำเนิดหนองหารในภาพลักษณ์ของนิยายอมตะแบบจักรๆวงศ์ๆที่ตื่นเต้นเร้าใจ
เล่าขานได้ชั่วลูกชั่วหลาน ของ "ท้าวผาแดง และนางไอ่คำ” ที่ผสมผสานระหว่างศาสนาความเชื่อ
และการชิงรักหักสวาทระหว่างมนุษย์ธรรมดากับพญานาคผู้ทรงอิทธฤทธิ์
จนทำให้แผ่นดินล่มสายกลายเป็นทะเลสาปหนองหารหลวง
ขณะเดียวกันก็ยังมีนิยายทำนองเดียวกันแต่เป็นอีกเวอร์ชั่นคือเรื่อง
"พญาสุระอุทก” กับพญานาคธนมูล และฟานด่อน
ที่สะท้อนยุคขอมเรืองอำนาจ หลักฐานทางโบราณคดี
ที่ยืนยันว่าที่นี่มีการตั้งถิ่นฐานของบรรพชนตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์
ภายใต้ชื่อของ "วัฒนธรรมบ้านเชียง” ที่ทั่วโลกรู้จักดีในนามของมรดกโลก
แสดงว่าดินแดนแห่งนี้เป็นที่ต้องตาต้องใจของผู้คนมาไม่น้อยกว่าห้าพันปี
จากการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์โดยผู้เชี่ยวชาญของสถาบันชิคาโก สหรัฐอเมริกา
พบว่าโบราณวัตถุที่นี่มีอายุเก่าแก่ราว 5,500 ปี
สิ่งที่หลงเหลืออยู่ของโบราณสถาน โบราณวัตถุ และคำจารึก
แสดงให้เห็นชัดเจนว่าชุมชนแห่งนี้เข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยอารยธรรมทวารดีที่นำพุทธศาสนามายังดินแดนแห่งนี้เมื่อ
1,500 ปีที่แล้ว
และต่อเนื่องมายังยุคขอมเรืองอำนาจซึ่งมีทั้งศาสนาพุทธและศาสนาฮินดู
เรื่อยมายังยุคอิทธิพลของอาณาจักรล้านช้าง
ที่นำวัฒนธรรมและภาษาลาวเข้ามาฝังรากลึกในดินแดนแห่งนี้จวบจนปัจจุบัน เจดีย์
หรือภาษาลาวล้านช้างเรียกว่า "พระธาตุ” ที่บ้านท่าวัด
แม้ว่าสร้างในสมัยปัจจุบันแต่ก็สะท้อนให้เห็นอิทธิพลที่ยังไม่เสื่อมคลายของอาณาจักรล้านช้าง
เป็นสิ่งก่อสร้างที่เด่นชัดเห็นได้แต่ไกล สมกับเป็น Landmark ของสถานที่ เป็นที่ทราบกันดีว่าเมื่ออาณาจักรขอมล่มสลายในราว ค.ศ.1432
หรือ พ.ศ.1975 อาณาจักรล้านช้างได้เข้ามาแทนที่
โดยมีศูนย์กลางอยูที่เมืองหลวงพระบาง
ดินแดนในภาคอีสานตอนบนจึงตกอยู่ใต้อิทธิพลของล้านช้าง
และเป็นที่มาของวัฒนธรรมอีสาน ซึ่งถึอศาสนาพุทธนิกายเถรวาท พูดภาษาลาว
และสร้างเจดีย์ในรูปแบบศิลปะที่เรียกว่า "พระธาตุ” มารู้จักกับบ้านท่าวัด
ปัจจุบันบ้านท่าวัด แบ่งออกเป็น 2 หมู่ คือบ้านท่าวัดเหนือ
หมู่ที่ 3 และบ้านท่าวัดใต้ หมู่ที่ 9 ตั้งอยู่ที่ริมหนองหาร
ทางฝั่งด้านทิศตะวันออกของตัวเมืองสกลนคร ขึ้นกับตำบลเหล่าปอแดง อำเภอเมืองสกลนคร
ในราวยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นบริเวณบ้านท่าวัดกลายเป็นบ้านเมืองร้าง
การตั้งถิ่นฐานของชุมชนบ้านท่าวัดที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 170
กว่าปีที่แล้ว โดยเป็นการอพยพเข้ามาของกลุ่มชนหลายเผ่าพันธุ์
เริ่มต้นจากเผ่าย้อ เผ่ากะเลิง ที่อาศัยอยู่ในเขตอำเภอเมืองสกลนคร
ห่างจากบ้านท่าวัดไปประมาณ 7-8 กม.
โดยตั้งบ้านเรือนอยู่ริมฝั่งหนองหารบริเวณคุ้มวัดใต้ในปัจจุบันเนื่องจากมีความอุดมสมบูรณ์
ภายใต้การนำของนายเชียงนนท์ ต้นตระกูลของสกุล "นนท์สะเกต” จากนั้นมีอีก 2-3 ครอบครัวย้ายตามมา
ได้แก่ต้นตระกูลของ หอมจันทร์ และสาขันธ์โคตร กลุ่มต่อมาเป็นเผ่าผู้ไท กะโส้
และลาว จากบ้านหนองผือ อำเภอกุสุมาลย์ ซึ่งประสบกับความแห้งแล้งติดต่อกันหลายปี
ได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ในบริเวณคุ้มวัดเหนือ จากเสียงเล่าลือถึงความอุดมสมบูรณ์
ทำให้มีผู้คนจากทุกสารทิศ เช่น
ชนเผ่าลาวจากอุบลราชธานีอพยพเข้ามาอยู่เพิ่มขึ้นและสืบเนื่องจนกลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ในปัจจุบัน
เพื่อให้ทราบถึงความเป็นมาของหมู่บ้านแห่งนี้ จึงขอท้าวความตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์
ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ไล่มาเรื่อยจนถึงยุคของจังหวัดสกลนครในปัจจุบัน
ยุคดึกดำบรรพ์ หลายร้อยล้านปีก่อนดินแดนภาคอีสานทั้งหมดเป็นทะเล
และถูกยกตัวขึ้นมาเป็นแผ่นดินเรียกว่า "แอ่งโคราช และแอ่งสกลนคร” ราว 250 - 70 ล้านปีที่แล้ว
ตรงกับยุคของไดโนเสาร์ที่มีชื่อทางวิชาการว่า เมโซโซอิก (Mesozoic) ดินแดนแถบนี้จึงมีหินเกลือสะสมอยู่ใต้ดินจำนวนมาก
หลายแห่งหินเกลืออยู่ตื้นกลายเป็นพื้นที่ดินเค็ม
หลายแห่งก็มีอุตสาหกรรมสูบเอาน้ำเค็มขึ้นมาตากแห้งทำเกลือสินเทาว์ เช่น อำเภอ คำตากล้า
และอำเภอวานรนิวาส
ขณะเดียวกันก็มีการขุดพบฟอสซิลกระดูกไดโนเสาร์มากมายทั่วภาคอีสาน
ที่จังหวัดสกลนครก็มีฟอสซิลจำนวนมากบริเวณบ้านภูเพ็ก ตำบลนาหัวบ่อ อำเภอพรรณานิคม
จากการที่มีหินเกลือสะสมอยู่ใต้ดินตื้นๆจำนวนมากบริเวณที่เป็นหนองหารในปัจจุบัน
ทำให้เกิดปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยา เรียกว่า "หลุมยุบ” (Sinkhole) กลายเป็นทะเลสาปตื้นๆขนาดใหญ่ และแปรสภาพเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ (Wetlands)
เชื่อมโยงกับแม่น้ำโขงโดยลำน้ำก่ำ
ในฤดูฝนมีน้ำขังเอิ่อล้นเป็นบริเวณกว้าง
ส่วนฤดูแล้งน้ำไหลลงแม่น้ำโขงกลายเป็นบึงชื้นแฉะ หรือ”ป่าบง
ป่าทาม” เหมือนกับบริเวณอำเภอ ศรีสงคราม ต่อมาในช่วงรัฐบาล
จอมพลแปลก พิบูลสงคราม พ.ศ.2484 – 2496 ได้มีการสร้างประตูควบคุมระดับน้ำชื่อว่า
"ประตูน้ำก่ำ” ต่อมาราว พ.ศ.2535 ได้สร้างประตูน้ำใหม่โดยใช้เงินกู้จากประเทศญี่ปุ่น
ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จากการค้นพบโบราณวัตถุที่เป็นภาชนะดินเผา และเครื่องใช้ต่างๆ
บวกกับการส่งตัวอย่างไปพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ที่สถาบันชิคาโก้ ประเทศสหรัฐอเมริกา
ทำให้รู้ว่าชุมชนที่บ้านท่าวัดมีอายุไม่น้อยกว่า 5,500 ปี
ตรงกับยุควัฒนธรรมบ้านเชียงตอนต้น ซึ่งกำหนดอายุไว้ตั้งแต่ 5,600 – 3,000 ปี ยุคทวารวดี เป็นที่ทราบอย่างกว้างขวางแล้วว่า อารยธรรม "ทวารวดี”
มีต้นกำเนิดจากประเทศอินเดีย เข้ามายังประเทศไทยราวพุทธศตวรรษที่ 11
มีศูนย์กลางอยู่ในบริเวณจังหวัดนครปฐม และราชบุรี
ส่วนในภาคอีสานศูนย์กลางอยู่ที่เมือง "ฟ้าแดดสงยาง” อำเภอกมลาไสย
จังหวัดกาฬสินธุ์ และแผ่อิทธิพลมายังบริเวณบ้านท่าวัดในระยะต่อมา
ด้วยอิทธิพลของอารยธรรมทวาราวดีทำให้ดินแดนบริเวณนี้เข้าสู่
"ยุคประวัติศาสตร์” เป็นครั้งแรกด้วยการมีศาสนาพุทธ
และใช้อักขระแบบอินเดียโบราณ แม้ว่าเรายังค้น
ไม่พบหลักฐานว่าผู้คนที่บ้านท่าวัดในยุคนั้นมีหน้าตาอย่างไร แต่จากหลักฐานเทียบเคียงจากศิลาจารึกและ
รูปสลัก ที่เมืองฟ้าแดดสงยาง
ทำให้ทราบว่าคนชั้นสูงที่มีอำนาจปกครองน่าจะเป็นชาวต่างถิ่นที่มีเชื้อสายอินเดีย
ส่วนผู้คนทั่วไปประเภทชาวบ้านธรรมดาอย่างเราๆท่านๆ
น่าจะเป็นคนในท้องถิ่นที่ยกระดับจากวัฒนธรรมบ้านเชียงและชุมชนที่ตั้งหน้าตั้งตาหาอยู่หากินไปวันๆโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก
มาเป็นผู้คนที่นับถือศาสนาพุทธ และดำรงชีวิตอยู่ภายใต้การปกครองที่มีกฏระเบียบ
มีรูปแบบการอยู่อาศัยเป็นตัวเมือง หรือเป็นส่วนหนึ่งของเมืองราชธานี
หลักฐานทางโบราณคดี เป็นแท่งเสมาสกัดจากหินทรายในรูปแบบศิลปะยุคทวารวดี
ตั้งแสดงอยู่ที่บ้านท่าวัดเหนือ
แสดงว่าบริเวณนี้ต้องเป็นศาสนสถานของพุทธนิกายเถรวาท
ที่แผ่อิทธิพลเข้ามาประเทศไทยตั้งแต่พุทธศตวรรษ ที่ 11 และเจริญรุ่งเรืองต่อเนื่องกันมาจนถึง
พุทธศตวรรษ ที่ 15 จากนั้นอารยธรรมขอมก็เข้ามาแทนที่
ทำให้ดินแดนหนองหารแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรขอม เป็นที่น่าคิดอย่างหนึ่งว่า
อารยธรรมทวารวดีที่แผ่เข้ามายังบริเวณริมหนองหารเมื่อพันกว่าปีที่แล้วจะต้องมีปัญหากับคนพื้นเมืองที่อยู่มาก่อนหรือไม่
เพราะดินแดนแห่งนี้ไม่ใช่ที่รกร้างว่างเปล่าแต่มีการตั้งถิ่นฐานมาอย่างยาวนานในยุคก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งนักวิชาการตั้งชื่อบรรพชนเหล่านี้ว่า
"วัฒนธรรมบ้านเชียง"
ในความเห็นส่วนตัวผมเชื่อว่ามีปัญหาแน่ๆเพราะสัญชาติญาณของมนุษย์ไม่ว่าจะมีอารยธรรมหรือบ้านป่าเมืองเถื่อนย่อมมีสิ่งเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ
"หวงแหนในสมบัติ และดินแดน" เรื่องนี้ยังไม่มีการค้นคว้าอย่างเป็นทางการและยังไม่พบจารึกที่แสดงถึงการต่อสู้แย่งชิงดินแดน
ผมขอยกตัวอย่างการเข้ายึดครองดินแดนในทวีปอเมริการะหว่างชาวยุโรปกับชนเผ่าพื้นเมือง
มีการต่อสู้ด้วยอาวุธแต่ชาวยุโรปมีเทคโนโลยีทางทหารที่ดีกว่าจึงเป็นฝ่ายชนะและได้ครอบครองดินแดนเหล่านั้นเป็นอาณานิคม
ส่วนเจ้าของเดิมก็ถูกเปลี่ยนฐานะเป็นประชาชนชั้นสองไปโดยปริยาย
เป็นไปได้ว่าผู้เข้ามาใหม่ที่นักวิชาการตั้งชื่อว่า "ทวารวดี"
มีอารยธรรมและระบบการเมืองการปกครองที่เพียบพร้อม
จึงเอาชนะเจ้าของถิ่นเดิมไม่ยากนักและที่สุดชาวพื้นเมืองก็ถูกกลืนกลายเป็นประชาชนในอาณัติที่ต้องเข้าระบบการปกครองตามระเบียบ
อย่างไรก็ตาม
ผมก็มีอีกแง่มุมหนึ่งคือผู้มาใหม่เป็นชาวพุทธนิกายเถรวาทที่ยึดหลักธรรมะไม่เบียดเบียน
ไม่ฆ่าฟัน อาจจะเปิดการเจรจาแบบสันติวิธีให้อยู่ร่วมกันได้
และก็ช่วยเหลือถ่ายทอดความรู้พร้อมทั้งพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนพื้นเมืองให้ดีขึ้น
ที่สุดก็กลายเป็นสังคมเดียวกันและนับถือศาสนาพุทธอย่างถ้วนหน้าในรุ่นลูกรุ่นหลาน
ยุคขอมเรืองอำนาจ
เป็นที่ทราบดีว่าดินแดนหนองหารแห่งนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ใต้อิทธิพลของอารยธรรมเขมรโบราณ
หรือรู้จักกันอีกนัยหนึ่งว่า "ขอม” เราจึงมีโบราณสถานศิลปะขอมหลายแห่ง
เช่น พระธาตุนารายณ์เจงเวง พระธาตุภูเพ็ก พระธาตุดุม
และพระธาตุเชิงชุมซึ่งถูกอิทธิพลศิลปะลาวล้านช้างสร้างรูปทรงพระธาตุคล่อมตัวปราสาทของเดิม
จากข้อมูลการค้นคว้าทางโบราณคดีทำให้ทราบว่า อิทธิพลของอาณาจักรขอมเข้ามาสู่ดินแดน
หนองหาร ราวพุทธศตวรรษ ที่ 15 – 16 (พ.ศ.1400 – 1500)
โดยเข้ามาแทนที่อารยธรรมทวารวดี
ผู้คนก็ได้รับการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตจากศาสนาพุทธนิกายเถรวาท
ไปเป็นศาสนาฮินดูสลับกับศาสนาพุทธนิกายมหายาน
ขณะเดียวกันการสร้างตัวเมืองริมฝั่งหนองหารก็เลียนแบบสถาปัตยกรรมของเมืองพระนครซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรขอม
มีคูเมืองรูปทรงสี่เหลี่ยม
เข้าใจว่าบริเวณบ้านท่าวัดถูกใช้เป็นที่ทำการเกษตรเพราะมีความอุดมสมบูรณ์
พระพุทธรูปนิกายมหายาน ในรูปแบบพระโพธิสัตว์ศิลปะขอม สกัดจากหินทราย
ตั้งแสดงอยู่ที่ศูนย์วัฒธรรม บ้านท่าวัดเหนือ เข้าใจว่าสร้างในสมัยของพระเจ้าสุริยะวรมัน
ที่ 1 ซึ่งเป็นกษัตริย์ขอมที่นับถือศาสนาพุทธ นิกายมหายาน
หรือไม่ก็ในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่นับถือศาสนาพุทธอีกพระองค์หนึ่ง
ยุคอาณาจักรล้านช้าง ปลายพุทธศตวรรษ ที่ 19 อาณาจักรขอมเสื่อมอำนาจลงและอาณาจักรล้านช้างได้เข้ามาแทนที่
กษัตริย์ที่สำคัญของล้านช้างได้แก่เจ้าฟ้างุ้ม มีเมืองหลวงอยู่ที่นครหลวงพระบาง
และพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่เวียงจันทร์
จากการค้นคว้าทางโบราณคดีพบว่าอิทธิพลของล้านช้างทำให้บริเวณบ้านท่าวัดเจริญขึ้นมาอย่างมาก
และได้เป็นส่วนหนึ่งของเมือง "ศรีเชียงใหม่หนองหาร” ศิลาจารึกอักษรไทน้อย
ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์วัดศรีเชียงใหม่ บ้านท่าวัดใต้
แสดงถึงอารยธรรมของอาณาจักรล้านช้าง ที่ทำให้บ้านท่าวัดเจริญขึ้นเป็นเมือง
ในราวพุทธศตวรรษ ที่ 22 โดยจารึกนี้ได้ระบุศักราช 998
ตรงกับปฏิทินปัจจุบัน พ.ศ.2179 ยุคอาณาจักรรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ในช่วงปลายยุคอาณาจักรล้านช้างต่อเนื่องกับยุคต้นของอาณาจักรรัตนโกสินทร์
อาจเกิดความไม่สงบขึ้นในดินแดนบ้านท่าวัด ทำให้กลายเป็นเมืองร้างไปช่วงหนึ่ง
ต่อมาประมาณ 170 กว่าปีที่แล้วได้มีการอพยพเข้ามาอยู่ใหม่ของชนเผ่าต่างๆ
ดังนี้ การตั้งถิ่นฐานบ้านท่าวัดตั้งขึ้นบริเวณศรีเชียงใหม่ เริ่มต้นเมื่อประมาณ
๑๗๐ กว่าปี โดยมีร่องรอยของการตั้งชุมชนโบราณในอดีตให้ปรากฏเห็นในปัจจุบันคือ
ฐานสถาปัตยกรรมที่ใช้วัสดุศิลาแลงของสิ่งก่อสร้างคงหลงเหลืออยู่
เป็นหลักฐานว่าที่บ้านท่าวัดมีผู้คนมาอาศัยอยู่ก่อนแล้ว โดยผู้คนที่อยู่บริเวณท้องถิ่นใกล้เคียงได้อพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่งก่อนและในช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกันนั้นก็ได้มีบุคคลที่อยู่ห่างออกไปได้ทยอยอพยพเข้ามาแล้วก็ได้ตั้งถิ่นฐานที่บ้านท่าวัดเป็นหลักฐานว่าที่บ้านท่าวัดมีผู้คนมาอาศัยอยู่ก่อนแล้ว
ได้กล่าวว่าชุมชนแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ๓ กลุ่ม ดังนี้คือ ชนกลุ่มแรก
ได้แก่พวกเผ่าย้อ เผ่ากะเลิงจากบ้านงิ้วด่อน
และคูสนามซึ่งอยู่ในเขตอำเภอเมืองสกลนคร จากบ้านท่าวัดไปทางทิศตะวันตกประมาณ ๗-๘
กม. ชนกลุ่มนี้ได้เข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่ทางตอนใต้ของบ้านท่าวัด
ริมฝั่งหนองหารโดยการนำของตาเชียงนนท์ซึ่งเป็นหัวหน้า
เป็นต้นสกุลนนท์สะเกตด้วยเหตุผลที่ว่า
บริเวณหนองหารแห่งนี้มีความอุดมสมบูรณ์กว่าที่อยู่ก่อนครั้งแรกก็มี ๒-๓
ครอบครัวแล้ว ก็ติดตามกันเข้ามาและก็ได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมฝั่งหนองหาร
ซึ่งเป็นคุ้มท่าวัดใต้ในปัจจุบัน เป็นต้นตระกูล นนท์สะเกต หอมจันทร์ สาขันธ์โคตร
ชนกลุ่มที่สอง ได้แก่ พวกผู้ไทย กะโซ่และลาว จากบ้านหนองผือจากอำเภอกุสุมาลย์
ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านท่าวัดไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ ๒๐ กม.
เป็นชนกลุ่มที่สองที่พากันอพยพเข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ริมฝั่งหนองหารตอนเหนือบริเวณนี้จึงเรียกว่าคุ้มเหนือหรือคุ้มหนองผือหรือคุ้มผือด้วยเหตุที่พวกอพยพเข้าเป็นชาวบ้าน
หนองผือเหตุผลที่อพยพเข้ามาก็เนื่องจากถิ่นฐานเดิมเกิดความแห้งแล้งติดต่อกันมาหลายปี
ขาดน้ำในการทำไร่ทำนาทำเกษตรไม่ได้ผล แต่พอทราบข่าวจากการลงมาหาปลาในน้ำหนองหาร
แล้วกลับไปเล่าถึงความอุดมสมบูรณ์ของบริเวณหนองหารให้ฟังว่า
ถ้าอยากอยู่ดีกินดีให้ไปอยู่เมืองศรีเชียงใหม่เป็นบ้านเก่าเมืองหลัง (เมืองฮ้าง)
ในน้ำมีปลาในป่ามีสัตว์ แข้ก็หลาย คุ้มเหนือเป็นคุ้มที่มีคนอพยพเข้ามามากที่สุด
พวกอพยพเข้ามาตอนแรกมียายบัว (พวกโซ่) ตาสีแพง ตาทิดสา ตาจันโท คำมั่นหล้า ยายพา
ยายวันนา เป็นต้นตระกูล ทุมเชียงเข้ม ดาโอภา นานาวัน มูลทองสุข ดาบสมเด็จ
มนต์อินทร์ ในปัจจุบัน ชนกลุ่มที่สาม
กลุ่มชาติพันธุ์ลาวในเวลาไล่เลี่ยกันนั้นก็มีพวกลาวจาก บ้านสร้างมิ่ง
จังหวัดอุบลราชธานี อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่บ้านท่าวัดหลังกลุ่มที่สอง เพียงไม่กี่ปี
สาเหตุคือถิ่นเดิมเกิดความแห้งแล้งติดต่อกันหลายปีเช่นเดียวกันกับกลุ่มที่สอง
ตอนแรกเข้ามาไม่มีนามสกุล
โดยเข้ามาหักล้างถางพงจับจองที่ดินตั้งหลักแหล่งระหว่างคุ้มเหนือกับคุ้มใต้
ซึ่งต่อมาบริเวณดังกล่าวเรียกว่าคุ้มกลาง ต้นตระกูลของสกุลฮัมภาราช และดาบสีพาย จากบัดนั้นจนถึงบัดนี้จึงได้กลายมาเป็นชุมชนบ้านท่าวัด
ปัจจุบันได้แบ่งเขตการปกครองออกเป็น ๒ หมู่คือ หมู่ ๓ และหมู่ ๙ ตำบลเหล่าปอแดง
อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร (พูลสวัสดิ์ มูลตองคะ : ๒๕๕๑)
ส่วนนามสกุลที่อพยพเข้ามาภายหลัง ทั้ง ๓ กลุ่ม นี้คือกลุ่มบ้านท่าวัดน้อย
มาจากจังหวัดศรีสะเกษ มาตั้งอยู่คุ้มเหนือก็มี
แต่อยู่ไม่ได้เนื่องจากไม่ถนัดกับพื้นที่ทำมาหากิน จึงได้อพยพไปอยู่บ้านศรีวิชา
นอกจากนี้ยังมีตระกูลชมชายผลมาจนถึงปัจจุบัน
จะเห็นได้ว่าการเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่บ้านท่าวัดนั้นเกิดขึ้นจากสาเหตุของการคมนาคม
หนีสภาพความแห้งแล้ง ขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติในการดำรงชีวิต
จึงได้มีการแสวงหาแหล่งที่อยู่ใหม่ที่มีความอุดมสมบูรณ์กว่า
ซึ่งพื้นที่แห่งใหม่ที่บ้านท่าวัดนี้มีทรัพยากรทางธรรมชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์
มีป่าไม้หนาแน่น มีสัตว์ป่าและปลามากมายในหนองหาร มีน้ำสมบูรณ์ตลอดปี การอพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่งที่อยู่ใหม่ที่บ้านท่าวัดจะเห็นว่ามีกลุ่มคนสามกลุ่มคนที่เข้ามาตาม
ทั้งนี้โดยชาวย้อสกลได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่คุ้มใต้เป็นอันดับแรก
ส่วนชาวบ้านหนองผือเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่คุ้มเหนือเป็นอันดับที่สอง
และพวกลาวจากจังหวัดอุบลเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่คุ้มกลางเป็นอันดับสุดท้าย
ปัจจุบันได้มีการอพยพผสมผสานกันทางวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่มคน
และสามารถดำรงชีวิตอยู่รวมกันได้อย่างผาสุก บ้านท่าวัดในปัจจุบัน
เป็นชุมชนที่ผสมผสานระหว่างชนเผ่าต่างๆที่ได้หลอมรวมกันเป็นราษฏรส่วนหนึ่งของจังหวัดสกลนคร
ที่ยังคงรักษาขนบธรรมเนียมและประเพณีแต่ดั่งเดิมของตนไว้
ปัจจุบันหมู่บ้านท่าวัดได้รับการส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเชิงอนุรักษ์
โดยการสนับสนุนของจังหวัดสกลนครร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
ผู้ที่ไปท่องเที่ยวที่นี่จะได้สัมผัสกับสิ่งที่น่าสนใจ กล่าวคือ 1.ธรรมชาติอันงดงามของบรรยากาศหนองหาร ทั้งยามเช้าและยามเย็น
และหากได้มีการนั่งเรือชมทิวทัศน์ทางน้ำด้วยแล้ว
จะได้เห็นความหลากหลายทางชีวภาพของพืชและสัตว์น้ำนานาชนิด
รวมทั้งได้ชมวิถีชีวิตการประมงของชาวบ้านที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน
ตลอดจนดอนที่อยู่กลางน้ำ 2.วัดเก่าแก่ที่มีความเป็นมาอย่างยาวนาน
อย่างวัดกลางศรีเชียงใหม่ และวัดบ้านท่าวัดเหนือ
ซึ่งมีพิพิธภัณฑ์แสดงโบราณวัตถุตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จนถึงยุคล้านช้าง
อีกทั้งยังได้นมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และทำบุญ
เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว อนึ่ง พิพิธภัณฑ์วัดกลางศรีเชียงใหม่
ได้จัดสร้างขึ้นตามพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี
เมื่อครั้งที่ได้ทรงเสด็จนำคณะครูอาจารย์ และนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
มาศึกษาแหล่งประวัติศาสตร์ เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2532
และจังหวัดสกลนครได้สนองพระราชดำริ
จัดสร้างพิพิธภัณฑ์แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ.2534 3.สินค้าพื้นเมืองและของที่ระลึก
เช่น ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปลาชนิดต่างๆ และงานฝีมือของท้องถิ่น จำพวกเสื่อกก ผ้าทอ
กระติบข้าว รวมทั้งได้สัมผัสกับอาชีพเกษตรกรรมของชาวบ้านตามฤดูกาล 4.แหล่งท่องเที่ยวของชุมชนอื่นๆที่สามารถเชื่อมโยงกันทางเรือรอบๆหนองหาร
ซึ่งสะท้อนบรรยากาศของนิทานแห่งความรักอันลือลั่น ในเวอร์ชั่น
ท้าวผาแดงและนางไอ่คำ บวกกับนิทานอมตะในเรื่องของพระยาสุระอุทก กับพญานาคธนมูล
ซึ่งทั้งสองเรื่องลงเอยที่การกำเนิดหนองหาร และดอนต่างๆ
ที่เราๆท่านๆเห็นในปัจจุบัน 5.สำหรับท่านที่สนใจในปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยาก็จะได้สัมผัสกับผลพวงของ
"หลุบยุบ” ที่เริ่มก่อตัวตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์
เมโสโซอิก เมื่อ 250 ล้านปีที่แล้ว

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น