[พุทธสถาน] ไขปริศนา ‘ประตูผี’ วัดโอกาส ‘นครพนม’ ใช้โกศคนตายเป็นกำแพงแก้ว
“วัดโอกาส” เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง
ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ถนนสุนทรวิจิตร เขตเทศบาลเมืองนครพนม จ.นครพนม
ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ.1994
เดิมชื่อว่า “วัดพระศรีบัวบานพระเจ้าติ้ว”
มีพื้นที่ 3 ไร่ 2 งาน 28 วา
วัดโอกาสจะหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ริมแม่น้ำโขง โดยด้านหน้าจะมีประตูโขง เคียงข้างกัน 2 แห่ง ด้านแรกจะมีรูปปั้นท้าวมหาพรหมในท่านั่งสถิตอยู่ด้านบน ส่วนประตูโขงอีกด้านที่อยู่ใกล้กัน จะมีรูปปั้นท้าวมหาพรหมในท่ายืน ซึ่งชาวบ้านเรียกประตูโขงทั้งสองนี้ว่า “ประตูพรหม”
โดยมีตำนานเล่าขานกันว่าพญานาคนั้นมีอยู่ 4 ตระกูลด้วยกัน คือ ตระกูลวิรูปักษ์ เป็นพญานาคสีทอง,กัณหาโคตมะ พญานาคสีดำ,ฉัพพยาปุตตะ พญานาคสีรุ้ง และ ตระกูลเอราปถ พญานาคสีเขียว
ตระกูลวิรูปักษ์ เป็นตระกูลที่ใหญ่ที่สุด
เป็นเทพนาคราชคู่พระทัยของท้าวสักกะเทวราชในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
และได้ทรงเป็นอริยบุคคลขั้นโสดาบัน
เนื่องจากได้ฟังธรรมจากพระโคดมและทรงบำเพ็ญเพียร
เมื่อท้าววิรูปักษ์องค์เดิมสิ้นอายุขัยแล้ว ท่านจึงได้รับโองการจากท้าวสักกะฯ ให้มาเป็นเจ้าแห่งโลกบาลทั้ง 4 และถือเป็นเจ้าแห่งทรัพย์ในบาดาลพิภพ
โดยท่านจะปกครองในทิศปัจจิม (ตะวันตก) ในสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา
นอกจากนี้
ท้าววิรูปักษ์นาคราชยังดำรงตำแหน่งอธิบดีปกครองหมู่นาคด้วย
ซึ่งพญานาคนั้นมีฤทธิ์มาก จะแปลงกายเป็นเทวดา เป็นมนุษย์หรือสิ่งอื่นๆก็ได้
ลักษณะกายของวิรูปักโขนาคราชนั้น จะมีสีทองทั้งองค์
ดวงตามีสีขาวอมฟ้าคล้ายตาของมนุษย์ ที่มีฤทธิ์อานุภาพและความเมตตาอย่างมาก
หากใครบูชาท่านด้วยใจบริสุทธิ์จะเกิดความเป็นสิริมงคลในชีวิตและประสบพบแต่โชคลาภ
เงินทอง
เพราะตามประวัติท่านเป็นพญานาคราชที่เป็นเจ้าแห่งทรัพย์ในบาดาลพิภพนั่นเอง
นอกจากพระครูศรีปริยัติการ จะไขปริศนาเกี่ยวกับท้าววิรูปักษ์แล้ว วักโอกาสยังมีความแปลกพิสดารกว่าวัดอื่นๆ คือเป็นวัดที่ไม่มีกำแพงแก้ว ซึ่งลักษณะกำแพงแก้วเป็นกำแพงเตี้ยๆ ที่ทำไว้เพื่อล้อมโบสถ์ วิหาร หรือเจดีย์ของพระอารามแต่ละแห่งให้ดูดียิ่งขึ้น ดังนั้นกำแพงแก้วจึงมีกันเกือบทุกวัด คล้ายกับเป็นส่วนหนึ่งของพุทธจักร แต่ที่วัดโอกาส(ศรีบัวบาน)แห่งนี้ ดูเหมือนจะเป็นวัดแห่งเดียวที่ฉีกตำราการสร้าง ที่ไม่มีกำแพงแก้ว แต่กลับใช้โกศบรรจุอัฐิผู้ล่วงลับไปแล้วล้อมรอบแทน นับว่าเป็นเรื่องน่าแปลกและชวนสนใจไม่น้อย
“เรื่องกำแพงแก้วล้อมรอบโบสถ์นั้น
เท่าที่ทราบจากปากต่อปากว่า เดิมทีทางวัดจะสร้างกำแพงแก้วล้อมโบสถ์ให้เหมือนกับวัดทั่วๆไป
แต่วัดมีเนื้อที่น้อยและจำกัด
ประกอบกับต้องบริจาคพื้นที่ส่วนหนึ่งไปสร้างศาลเจ้าหมื่น(เจ้าพ่อหลักเมือง)ไป
เวลามีญาติโยมมาขอสร้างโกศบรรจุอัฐบรรพบุรุษ
ทางวัดไม่สามารถจัดหาพื้นที่อันเหมาะสม จึงตัดสินใจให้ไปสร้างโกศล้อมรอบพระอุโบสถ
ดังที่พบเห็นอยู่ในปัจจุบัน” พระครูศรีปริยัติการ กล่าว
ที่มีประวัติการสร้างยาวนานกว่า 1,300 ปี (สมัยพระบรมราชากู่แก้วเป็นเจ้าผู้ครองนครศรีโคตรบูร) และถึงแม้จะมีเนื้อที่เพียง 3 ไร่เศษ แต่ก็มีการสร้างประตูโขงมากถึง 11แห่ง โดยแต่แห่งผู้สร้างมักจะเป็นคหบดีใหญ่ของจังหวัด และนอกจากวัดโอกาสจะมีงานบุญสรงน้ำพระติ้ว พระเทียม ในทุกปีของเทศกาลวันวิสาขบูชาแล้ว ยังมีบุญเดือน 7 หรือ บุญซำฺฮะ(ชำระ) ซึ่งเป็นประเพณีท้องถิ่นอีสาน ฮีต 12 ครอง(คอง) 14 ปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน เทศบาลเมืองนครพนมโดยนายนิวัต เจียวิริยบุญญา นายกเทศมนตรี ได้จัดงานบุญซำฮะเมืองขึ้น ส่วนคำว่า“ซำฮะ” หมายถึง การชำระนั่นเอง มีความหมายว่า ต้องการให้ชำระล้างสิ่งสกปรกรุงรังให้สะอาดปราศจากมลทิน แต่การซำฮะในที่นี้มีอยู่ 2 อย่าง คือ 1. การชำระความสกปรกภายนอก ได้แก่ร่างกายเสื้อผ้า อาหารการกิน ตลอดจนที่อยู่อาศัย 2. การชำระความสกปรกภายใน ได้แก่จิตใจเกิดความโลภ โกรธ หลง
พิธีนี้ชาวบ้านจะปลูกปะรำขึ้นกลางหมู่บ้านหรือจะเอาศาลากลางบ้านก็ได้
แต่ทุกเรือนจะต้องเตรียมดอกไม้ ธูปเทียน ขันน้ำ ไหมหลอด ฝ้ายผูกแขน
หินแฮ่(กรวด)ทรายมารวมกัน ณ ปะรำพิธี พอเวลากลางคืนนิมนต์พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์
ตอนเช้าถวายอาหารบิณฑบาต หลังจากที่พระสงฆ์ฉันแล้ว
จะประพรมน้ำพุทธมนต์ให้แก่ผู้ที่มาในงาน ซึ่งทุกคนจะเอาขันน้ำมนต์ ฝ้ายผูกแขน
หินแฮ่(กรวด) ทรายของตนกลับคืนไป เพื่อนำน้ำมนต์ไปรดให้ลูกหลานบ้านเรือนวัวควาย
ฝ้ายเอาไปผูกแขนลูกหลาน หินแฮ่(กรวด)ทรายเอาไปหว่านรอบบ้านเรือน
เพื่อให้เกิดความสวัสดิมงคลตลอดปี
![]() |
| ประตูโขง |
สำหรับคำว่า “ประตูโขง” หรือซุ้มประตูโขง เป็นภาษาอีสาน มีลักษณะเป็นซุ้มยอมดอกบัวตูม สันนิษฐานว่า “โขง” หมายถึง “โค้ง” ซึ่งจะเห็นได้จากวงประตูรูปโค้งครึ่งวงกลมเชื่อว่าประตูโขงคงพัฒนามาจากทวารโตรณะ (Drava Torana) ของอินเดีย ซึ่งเป็นเครื่องหมายบอกทางเข้าพุทธสถาน ประตูโขงมีลักษณะคล้ายปราสาทย่อส่วนซ้อนชั้น ส่วนหลายสุดเป็นยอดแหลม ซึ่งตามความหมายของคำว่า “ปราสาท” จะเห็นได้จากเหนือชั้นหลังคาเอนลาดจะสร้างปราสาทย่อส่วนซ้อนขึ้นไป ที่องค์ปราสาทจะมีซุ้มโค้งประดับ ในศิลปะอินเดียเรียกซุ้มโค้งนี้ว่า “กุฑุ(Kudu)” อันเป็นสัญลักษณ์แห่งสวรรค์ชั้นฟ้า คือเขาไกรลาส ที่ประทับแห่งพระศิวะ หรือเขาพระสุเมรุศูนย์กลางแห่งจักรวาล




ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น