[พุทธสถาน] วัดกุฎีดาว เรื่องราวของ ปู่โสมเฝ้าทรัพย์
วัดกุฎิดาว
เรื่องเล่าของปู่โสมเฝ้าทรัพย์ที่ไม่มีใครกล้าขุดจนถึงปัจจุบันนี้
เป็นวัดที่ไม่ปรากฎหลักฐานชัดเจนเกี่ยวกับประวัติการสร้าง
มีเพียงแต่ข้อความที่บันทึกลงในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาว่า
ได้รับการบูรณปฎิสังขรณ์ครั้งใหญ่เมื่อปี 2254 ในสมัยของสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ
โดยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศในขณะที่ดำรงพระยศเป็นพระมหาอุปราช
จากการศึกษาทางโบราณคดีบอกไว้ว่า วัดนี้น่าจะสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น
และถูกทิ้งร้างไปเมื่อคราวเสียกรุงครั้งที่ 2 ใน ปี พ.ศ. 2310
เรื่องราวของตำนานปู่โสมเฝ้าทรัพย์ที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปขุดนั่น
เริ่มตั้งแต่เมื่อสมัยก่อน ในช่วงปี 2503 มาจากการที่พระองค์เจ้าพีระพงษ์ภานุเดช
ได้รับสมุดข่อยโบราณ จากพระสงฆ์รูปหนึ่ง มีลักษณะเป็นกระดาษข่อย
เขียนอักษรไทยโบราณด้วยสี แต่ตัวอักษรได้ซีดจางเป็นสีขาวไปจนหมด
อีกด้านหนึ่งเป็นผ้าเยื่อไม้มีอักขระไทยโบราณ เขียนด้วยหมึกสีดำ
มีรอยวาดแสดงที่ตั้งโบสถ์เจดีย์ของวัดกุฎีดาว แสดงตำแหน่งที่ฝังขุมทรัพย์ถึง 16 แห่ง
โดยก่อนทำการขุดพระองค์ได้ไปทำเรื่องขออนุญาตต่อกรมศิลปากรเพื่อทำการขุดหาสมบัติ
โดยมีข้อตกลงว่า หากเจอสัมบัติโบราณจริงๆ พระองค์จะมอบให้แก่รัฐ 90% ส่วนอีก 10% จะเป็นของพระองค์ เมื่อกรมศิลปากรตกลงตามข้อเสนอ
พระองค์จึงทำการขุดหาทันที
พระองค์เจ้าพีระฯ
จึงไปชวนพระสหายจากต่างประเทศให้มาร่วมทำการขุดในครั้งนี้
โดยใช้เครื่องมือที่ทันสมัยอย่างเครื่อง ไมน์ ดีเทคเตอร์ (Mine Detester) เครื่องมืออุปกรณ์ที่สามารถตรวจวัดว่าลึกลงไป 20 เมตร มีแหล่งแร่อะไรบ้าง เช่น เงิน ทอง
และวัตถุต่างๆได้อย่างแม่นยำ เมื่อตรวจเจอ
ก็ยังสามารถบอกได้อีกว่ามีปริมาณแร่มากน้อยแค่ไหน ถ้ามีมาก
เครื่องก็จะส่งเสียงดังมาก
หลังจากเตรียมงานพร้อมแล้วพระองค์เจ้าพีระฯและคณะขุดหาสมบัติก็ออกเดินทางไปวัดกุฎีดาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเพื่อเริ่มต้นขุดหาสมบัติ
ซึ่งก่อนที่จะเริ่มต้นขุดค้นหาสมบัติใต้ดินมีผู้รู้แนะนำพระองค์ท่าน
ให้ทรงทำพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้ต่อภูตผีปีศาจหรือวิญญาณที่เฝ้าสมบัตินั้นเพื่อขอขมาที่ล่วงเกิน
แต่พระองค์ท่านไม่เชื่อว่าภูตผีปีศาจหรือวิญญาณมีจริง
จึงมิได้สนพระทัยและไม่ได้ทำอะไรเลย!
คณะขุดค้นหาสมบัติได้ไปตั้งแคมป์หรือที่พักชั่วคราวอยู่ในวัดกุฎีดาว
ส่วนพระองค์เจ้าพีระฯ เสด็จเช้าไปเย็นกลับ
ด้วยพาหนะรถยนต์ส่วนพระองค์ทุกวัน
วันแรกที่ดำเนินการขุดค้นหาสมบัติใต้ดินได้ใช้เครื่องมือค้นหา
ไมน์ ดีเทคเตอร์
ตรวจหาไปรอบๆบริเวณโบสถ์ก็ปรากฎพบว่าที่หน้าโบสถ์มีทองคำถูกฝังอยู่เป็นจำนวนมาก!
การขุดจึงเริ่มต้นทันทีด้วยความคึกคักพอขุดลงไปได้ 6-7 ฟุต
กลับพบกระเบื้องโบราณลวดลายสวยงามทับถมซับซ้อนกันอยู่เป็นจำนวนมากต้องโกยเอากระเบื้องไม่มีราคาเหล่านั้นขึ้นมาเสียเวลาไปมาก
เวลาล่วงเข้าสู่ตอนเย็นจึงต้องหยุดพักเอาแรง คืนนั้นพระองค์เจ้าพีระฯ
เสด็จกลับกรุงเทพฯ ด้วยรถยนต์ส่วนพระองค์
กลับมาถึงคืนวันนั้นเวลาประมาณ
เที่ยงคืน ปรากฎมีเสียงคล้ายคนขุดดินดัง "ฉึก ฉึก ฉึก"
อยู่ที่ใต้พื้นดิน จึงนึกว่าคงเป็นขโมย
มาขโมยดิน เพราะพึ่งขุดสระน้ำเอาไว้ใหม่ๆ จึงถือปืนเดินออกมาดูแต่ไม่เห็นมีอะไร
จึงกลับเข้ามานอนใหม่ แต่ก็ได้ยินเสียงขุดดินอีก! พระองค์จึงถือปืนเดินออกไปใหม่
เดินตามเสียงไปรอบๆ แต่กลับว่ายิ่งเดินไป ยิ่งหาไม่เจอ พอเดินไปตรงจุดที่ได้ยิน
เสียงกลับหายไปอยู่ตรงอื่น พระองค์เจ้าพีระฯ
จึงเสด็จกลับเข้ามาที่บรรทมต่อและเสียงที่ขุดดินก็ตามมาดังที่นอกห้องบรรทมเหนือพระเศียรกระทั่งรุ่งเช้า
ตอนเช้าได้ไปเดินดูตรงที่ได้ยินเสียงแต่กลับไม่มีร่องรอยผิดปกติอะไรเลย
เมื่อกลับมาที่วัดพระองค์ก็ทรงเล่าให้พระสหายฟัง ตลอดจนชาวบ้าน ซึ่งทุกคนที่รับรู้ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
ต้องเป็นผีปู่โสมเฝ้าทรัพย์ที่มาแสดงตัวตนให้เห็น และข้อให้ยกเลิกการขุดหาสมบัติ
แต่พระองค์เจ้าพีระฯ และพระสหายไม่ยอมยกเลิกและตรัสให้ขุดต่อไป
เรื่องราวแปลกประหลาดดำเนินขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งเย็นวันนั้น พระองค์เจ้าพีระฯ ได้เห็นชายคนหนึ่งเดินออกมาจากทางหลังโบสถ์
ชายคนนั้นรูปร่างสูงใหญ่กำยำล่ำสันผิดมนุษย์แต่งตัวแบบนักรบไทยโบราณ
สวมเสื้อแขนกระบอกกางเกงขาลีบๆสั้นๆสีน้ำเงินเข้มทั้งชุด มีแขนใหญ่และลำคอใหญ่
หายไปตรงพุ่มไม้ที่ห่างจากโบสถ์ประมาณ 100 เมตร พระองค์เจ้าพีระฯได้ทรงนำเรื่องที่เห็นผีไปเล่าให้ชาวบ้านฟัง
และตรัสถามชาวบ้านว่าเป็นใคร ชาวบ้านก็ทูลว่าเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์
และการมาปรากฎให้เห็นเช่นนี้แสดงว่าผู้ที่เห็นปู่โสมเข้าใกล้ขุมสมบัติแล้ว
ซึ่งหมายความว่าพระองค์เจ้าพีระฯ กำลังขุดเข้าใกล้ขุมสมบัติเข้าไปทุกที
แม้ชาวบ้านจะบอกว่าปู่โสมเป็นวิญญาณหรือเป็นผีที่เฝ้าขุมทรัพย์กระนั้นพระองค์เจ้าพีระฯก็ไม่ทรงเชื่อ
พระสหายชาวต่างประเทศที่ชื่อแฮริสัน
ทราบรายละเอียดว่าพระองค์เจ้าพีระฯทรงเห็นผีหัวขาดเดินออกมาจากทางหลังโบสถ์
จึงเปิดเผยออกมาบ้างว่า เขาเองก็พบเห็นชายหัวขาดเดินออกมาจากทางหลังโบสถ์
แล้วไปหายที่พุ่มไม้เช่นเดียวกัน!
วันต่อมาพระองค์เจ้าพีระฯและทีมงานได้ใช้เครื่องไมน์
ดีเทคเตอร์ ลงไปตรวจที่ก้นหลุมอีก สัญญาณดังแรงมาก
ประหนึ่งว่าจวนเจียนใกล้จะได้พบแร่ทองคำจำนวนมหาศาลแล้ว
เพียงไม่กี่อึดใจเดียวเท่านั้น...แต่ทันใดนั้นเอง!ได้เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดขึ้น
เมื่อคนงานระดมขุดอย่างชนิดที่เรียกว่าเต็มแรงสุดกำลังเลยที่เดียว...เสียงดังครืดๆๆ
มาจากใต้ดินคล้ายมีอะไรบางอย่างขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนตัวอยู่ข้างใต้เสียงนี้ดังอยู่ชั่วขณะแล้วก็เงียบหายไป
คนงานที่กำลังขุดดินอยู่ต่างพากันเผ่นหนีกระโจนขึ้นจากหลุมด้วยความรักตัวกลัวตาย
เมื่อเหตุการณ์เป็นปกติแล้ว
พระองค์เจ้าพีระฯและพระสหาย
ได้ทรงนำเครื่องมืออันทันสมัยลงไปตรวจสอบที่ก้นหลุมอีกแล้วก็ต้องประหลาดใจเป็นหนที่สอง
เพราะปรากฎว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงจากเครื่องมือ
นั้นคือสัญญาณแต่เดิมที่เคยร้องดังลั่น กลับเงียบเสียงลงอย่างแผ่วเบามาก
และยังชี้ไปทิศทางอื่น
เป็นการบ่งชัดว่าขุมทองคำมหาศาลได้เคลื่อนย้ายหนีไปตำแหน่งอื่น!จึงตรัสสั่งให้คนขุดย้ายไปตำแหน่งใหม่แต่เมื่อระดมขุดลึกลงไปๆใกล้จะถึงจุดที่เครื่องบอกว่ามีขุมทรัพย์จำนวนมากฝังอยู่
ก็ต้องเจอกับเหตุการณ์แปลกประหลาดซ้ำอีก นั้นคือได้ยินเสียงดัง ครืดๆๆ
แล้วเครื่องวัดสัญญาณก็เงียบหายไป! จึงทำให้พระองค์เกิดความสนพระทัยในสิ่งลี้ลับ
แล้วบังเอิญได้พบกับพระอาจารย์รูปหนึ่งที่มีชื่อเสียงทางพุทธไสย์เวทพุทธาคม
เมื่อท่านทราบก็รับปากจะทำพิธีบรวงสรวงขออนุญาตให้ เพราะรู้ว่าที่แห่งนี้มีสมบัติถูกฝังไว้อย่างมากมาย
แล้วยังรู้อีกด้วยว่าผู้ที่เป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ได้สาปแช่งผู้ที่เข้ามาขุดหาโดยไม่ทำตามแบบแผน
ให้มันทำมาค้าขายไม่ขึ้น ไม่ประสบความสำเร็จอีกเลย
แต่สุดท้ายก็พิธีบวงสรวงก็ทำไม่สำเร็จ เนื่องจากเข้าฤดูฝนเสียก่อน แม้ผ่านฤดูฝนแล้วก็ยังไม่ได้ดำเนินงานต่อ
เนื่องจากไม่แน่ใจว่าวิญญาณที่เฝ้าทรัพย์จะอนุญาตหรือไม่?...
แล้วเชื่อหรือไม่?
หลังจากนั้น
พระสหายชาวต่างประเทศที่ร่วมขุดสมบัติได้เสียชีวิตกระทันหัน
ส่วนพระสหายอีกคนก็หายสาบสูญโดยไม่ทราบชะตากรรม ส่วนพระองค์เจ้าพีระฯ
ภายหลังได้หันมาดำเนินธุรกิจหลายอย่าง
แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จการดำเนินงานขุดหาสมบัติจึงเท่ากับล้มเลิกไปโดยปริยาย
ซึ่งเป็นเหตุให้พระองค์หันมาศึกษาพุทธศาสตร์อย่างจริงจังโดยมุ่งเน้นด้านจิตศาสตร์เป็นสำคัญ
เพื่อหวังว่าในสักวันหนึ่งพระองค์จะทรงติดต่อกับวิญญาณผีปู่โสมด้วยพระองค์เอง
ถ้ายังติดต่อไม่ได้ก็จะไม่ล่วงละเมิดอีกต่อไป
เรื่องราวการขุดสมบัติ
บริเวณวัดกุฏีดาว
จึงต้องล้มเลิกและจวบจนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครกล้าเข้าไปขุดหาสมบัติที่วัดนี้อีก
เพราะเกรงว่าวิญญาณจะยังคงวนเวียนเฝ้าสมบัติ และตามมาหลอกหลอนสาปแช่ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น