[เล่าข่าว] #ลุงพล_ป้าแต๋น ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ก็เช่นกัน
ทำไม ทั้งที่ลุงพลกับป้าแต๋น เขาเป็นพี่สาวพี่เขยเรา ตำรวจก็ยืนยันแล้วว่า ลุงพลไม่ใช่ผู้ร้าย แล้วทำไม ถึงยังกัดแซะแขวะจิกเขาอยู่ไม่ยอมเลิกรา ถ้าเขาไม่ได้ทำก็อย่าไปปรักปรำเขาเลย บาปกรรมเปล่าๆไม่ใช่เอาความคิดที่เกลียดชังอคติแล้วคิดว่าเขาทำ มันเป็นเพียงความคิด ถ้าพิสูจน์มาแล้วว่าใช่นั่นหละถึงจะว่าเรื่องจริง
ที่ผ่านมา ลุงตัวคนเดียว จะทำสิ่งใดก็ยากแท้
แค่ผู้ร่วมงานสักสามสี่คน ก็ยากมาก เพราะไม่มีเงินจ้างเขา ไม่มีอำนาจใดๆเลย
แถมไม่มีญาติอยู่ใกล้ อยู่อย่างหัวเดียวกระเทียมลีบ สิ่งใดที่ต้องทำกันเป็นหมู่คณะเพื่อให้งานเสร็จเร็วๆ
ก็ยากมาก แกจึงกรีดยางอยู่คนเดียว
อย่างมากก็ป้าช่วย
อย่างที่คุณพูดถูกต้องเลยครับ ทำดีได้ดี
ทำชั่วได้ชั่ว ไปว่าร้ายคนอื่นทั้งที่เขาไม่เคยว่าร้ายเราเลย ไปโทษเขาอย่างนั้นอย่างนี้
ดูคุณหน้าตาไม่มีความสูขเลยนะครับ
หรือมันเป็นความสุขส่วนตัวของคุณที่ค่อนข้างแปลกประหลาด หรืออาจจะมีนรกอยู่ในใจหรือเปล่า
ผมแค่ถามดูนะครับ สูงตํ่าอยู่ที่ทำตัว ใช่เลยครับ เดินไปไหนก็กลัวไม่กล้าเดินยืดอกไปไหนมาไหนเลย
คนพวกนี้ แม้แต่จะทำบุญยังกล้าๆกลัวๆเลยครับ
ทำดีได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว ไม่มีเป็นอื่นไปได้ เป็นสัจจธรรมที่เที่ยงแท้ แต่ในปัจจุบันมีผู้ไม่เห็นเป็นไปเช่นนี้ จึงมักได้ยินคนพูดเป็นทีเล่นทีจริงอย่างแพร่หลายคือ ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วได้ดีมีถมไป เป็นเพราะความไม่เข้าใจธรรมหรือเกิดความน้อยเนื้อตํ่าใจ หรือทั้งอิจฉาริษยา จึงมองเห็นแต่สภาวะความเป็นไปตามความเห็นเข้าใจของตน เช่น เห็นคนทำชั่วแล้วรํ่ารวยมีอำนาจ แต่ตามความเป็นจริงนั้นการทำดีนั้นยังย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว ไม่สามารถแปรผันเป็นอื่นได้ กล่าวคือ ย่อมเป็นไปตามผลกรรม ผลของการกระทำนั่นเอง อุปมาดั่ง ปลูกข้าวย่อมได้ข้าว จะได้องุ่น เผือก มัน ย่อมเป็นไปไม่ได้ฉันใด ก็ฉันนั้น ผู้ที่ไม่เข้าใจนั้นเพียงแต่ไม่เห็นความเป็นจริงว่า เมื่อปลูกข้าวแล้ว ย่อมได้ข้าว อันเป็นสภาวธรรม แต่เกิดไปอยากไปยึดให้มันรวย คือขายได้ราคาดี ตามความเป็นจริงอย่างปรมัตถ์แล้วจึงเป็นคนละเหตุปัจจัยกัน คือปลูกข้าวย่อมได้ข้าวเป็นเหตุปัจจัยหนึ่ง ส่วนการขายข้าวเป็นอีกเหตุปัจจัยหนึ่ง ที่ขึ้นอยู่กับเหตุดังเช่นความต้องการของตลาด จึงย่อมไม่สามารถเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันได้กับสภาวธรรม ความจริงของการปลูกข้าวย่อมได้ข้าว แต่ด้วยความไม่รู้คืออวิชชาจึงไม่เห็นตามความเป็นจริง กล่าวคือ ไปมองเห็นหรือเข้าใจว่าทำดีแล้วไม่รวย หรือทำไมทำดีแล้วยังมีเหตุแห่งทุกข์มากระทบอีก หรือคนทำชั่วทำไมถึงรวย คือไปมองในมุมมองที่ผิดไม่ได้เป็นเหตุเป็นผลกัน มองตามความเห็นความเข้าใจและความต้องการของตนเป็นสำคัญจึงเอาไปคิดว่าเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันด้วยความไม่รู้หรืออวิชชานั่นเอง และเพราะว่าวิบากกรรม คือผลที่ได้รับจากการกระทำเป็นอจินไตย ไม่สามารถระบุเฉพาะเจาะจงให้เป็นสูตรตายตัวได้ ผลกรรมนั้นจึงเพียงไปแสดงออกในรูปแบบอื่นโดยไม่รู้เท่านั้นเอง ดังนั้นจึงอย่าท้อแท้ด้วยมิจฉาทิฏฐิ เพราะว่าทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว นั้นเป็นสภาวธรรมอันเที่ยงแท้แน่นอนเป็นที่สุดอย่างหนึ่ง และเกิดขึ้นแก่จิต ณ ขณะนั้นโดยทันทีด้วยเช่นกัน เพียงแต่เป็นไปโดยการซึมซาบย้อมจิตของท่านโดยไม่รู้ตัว ฉะนั้น ความจริง คงหนีความจริงไปไม่พ้น ว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" อยู่จนตลอดกัลปาวสาน เป็นอย่างน้อย คุณว่าจริงไหมครับ

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น