[พุทธสถาน] “วัดพันเตา” จากคุ้มเจ้าหลวงสู่วิหารไม้สัก
พ.ศ.2419 พระเจ้าอินทวิชยานนท์ ทรงมีพระดำริว่า
หอคำของพระเจ้ามโหตรประเทศฯนั้นสมควรจะอยู่ในวัด
มากกว่าอยู่ในวัง
จึงทรงให้ช่างช่วยกันรื้อหอคำแล้วย้ายมาปลูกสร้างขึ้นใหม่ที่วัดพันเตา
เมื่อวันเสาร์เดือน 10 ขึ้น 8
คํ่า เพราะในขณะนั้นพระเจ้าอินทวิชยานนท์กำลังทรงปฏิสังขรณ์วัดหอธรรม
วัดเจดีย์หลวงและวัดสุขมิ้น การก่อสร้าง
วิหารของพระอารามทั้งสามแห่งกับหอคำของวัดพันเตา จึงแล้วเสร็จในปี
พ.ศ.2429
ใครที่เคยเข้าไปเที่ยววัดเจดีย์หลวงอาจจะสังเกตเห็นว่ามีวัดเล็กๆ วัดหนึ่ง ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของวัดเจดีย์หลวง ชื่อว่า “วัดพันเตา” คนเมืองเชียงใหม่มักจะเรียกชื่อวัดนี้ว่า “วัดปันเต้า” สร้างขึ้นเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 21 ตามตำนานประวัติศาสตร์ว่ากันว่าวัดพันเตาสร้างขึ้นในสมัยเดียวกับวัดเจดีย์หลวงคือเมื่อราว 500 ปีมาแล้ว ==ตำนานนิทานปฐมเหตุการตั้งเมืองเชียงใหม่ สมัยลัวะปกครองเล่าว่า “เศรษฐีผู้หนึ่งหื้ออยู่กลางเวียง ทั้ง 5 คนนี้มีชื่อว่า เศรษฐีพันเท้า เขาก็ได้ตั้งคุ้มอยู่ตามคำเจ้าระสีแล” ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่าแต่เดิมวัดพันเตาเป็นบริเวณบ้านของเศรษฐีคนดังกล่าว ต่อมาพระเจ้าแสนเมืองมาจึงได้ตั้งชื่อว่าวัดพันเตา ออกเสียงเป็นภาษาล้านนาว่า “ปันเต้า” ขณะที่อีกตำนานหนึ่งของวัดพันเตาซึ่งพระครูสุวรรณสารพิศิษฐ์ เจ้าอาวาสวัดศรีบุญโตช่างฆ้อง กล่าวว่า “เดิมเป็นสถานที่ตั้งเส้าจำนวนพันเตาหลองทองหล่อพระพุทธรูปอัฎฐารส ซึ่งประดิษฐานในวิหารวัดเจดีย์หลวง เมื่อทำการหล่อพระเสร็จแล้ว ชาวเมืองจึงสร้างวัดขึ้นในบริเวณนั้นเรียกว่า “วัดพันเตา”
ความโดดเด่นของวัดพันเตาที่สามารถดึงดูดให้ผู้คนหรือแม้กระทั่งนักท่องเที่ยวจากที่ต่างๆ
เดินทางมาที่วัดนี้ก็คือ
วิหารหลวงที่สร้างจากไม้สักทองทั้งหลังแกะสลักลวดลายวิจิตรบรรจงที่ว่ากันว่าเป็นวิหารที่สร้างจากหอคำหรือคุ้มเจ้าหลวงที่เหลืออยู่อย่างสมบูรณ์เพียงหลังเดียวและสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในล้านนา
ในอดีตวิหารวัดพันเตาหลังนี้เคยเป็น “หอคำ” ที่ประทับของเจ้ามโหตรประเทศ
เจ้าหลวงเชียงใหม่องค์ที่ 5 (พ.ศ.2390
– 2397) อยู่ที่พระตำหนักเวียงแก้วปัจจุบันคือบริเวณเยื้องด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือศาลากลางหลังเก่าไปจนถึงวิทยาลัยเทคนิคเชียงใหม่
ตามตำนานมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับหอคำหลังนี้ว่า พระยาอุปราชมหาวงศ์
ได้สร้างขึ้นถวายเป็นพุทธบูชาเมื่อจุลศักราช 1209 ซึ่งตรงกับ พ.ศ.2390 เนื่องจากท่านได้เลื่อนฐานันดรศักดิ์และตำแหน่งหน้าที่จากพระยาอุปราชขึ้นเป็นพระยาเชียงใหม่
ท่านได้สร้างหอคำขึ้นไว้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปอันเป็นปูชนียวัตถุลํ้าค่าภายในที่อยู่ของท่าน
พระยาอุปราชมหาวงศ์ได้มีการเฉลิมฉลองหลังจากที่สร้างหอคำแล้ว
ในการสร้างหอคำหลังนี้ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ได้ใช้ช่างพื้นเมืองและช่างพม่าผสมกัน
ต่อมาพระยาเชียงใหม่มหาวงศ์
ได้รับพระราชทานเลื่อนฐานันดรศักดิ์ขึ้นเป็นเจ้ามีพระนามในสุพรรณบัฏเป็น
พระเจ้ามโหตรประเทศราชาธิบดินทร์นพีสิทรมหานคราธิษฐาน เมื่อปี พ.ศ.2396
หลังจากที่ได้รับพระราชทานฐานันดรศักดิ์ไม่กี่เดือน พระองค์ก็ถึงแก่พิราลัย
เมื่อพระเจ้ามโหตรประเทศฯถึงแก่พิราลัยแล้ว
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงแต่งตั้งให้นายสุริยวงศ์
บุตรของพระเจ้าบรมราชาธิบดี (กาวิละ) ขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 6
ชื่อว่าพระเจ้ากาวิโรรสสุริยวงศ์ ทรงดำรงตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่มาได้ 16
ปีเศษก็ถึงแก่พิราลัยเมื่อปี พ.ศ.2413 เจ้าอุปราชอินทนนท์
รักษาการในตำแหน่งเจ้าหลวงเชียงใหม่มาร่วม 3 ปี จึงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น
พระเจ้าอินทวิชยานนท์พหลเทพภักดีฯ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 7 เมื่อ พ.ศ.2416
พ.ศ.2419 พระเจ้าอินทวิชยานนท์ ทรงมีพระดำริว่า หอคำของพระเจ้ามโหตรประเทศฯนั้นสมควรจะอยู่ในวัดมากกว่าอยู่ในวัง จึงทรงให้ช่างช่วยกันรื้อหอคำแล้วย้ายมาปลูกสร้างขึ้นใหม่ที่วัดพันเตา เมื่อวันเสาร์เดือน 10 ขึ้น 8 คํ่า เพราะในขณะนั้นพระเจ้าอินทวิชยานนท์กำลังทรงปฏิสังขรณ์วัดหอธรรม วัดเจดีย์หลวงและวัดสุขมิ้น การก่อสร้างวิหารของพระอารามทั้งสามแห่งกับหอคำของวัดพันเตา จึงแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2429 โดยมีการเฉลิมฉลองงานปอยหลวงอย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่และถือเป็นงานปอยหลวงที่สนุกสนานที่สุดครั้งหนึ่งของนครเชียงใหม่ และหากจะนับรวมอายุของหอคำที่ย้ายมาสร้างใหม่ที่วัดพันเตาแล้วประมาณได้ 132 ปี (พ.ศ.2419 – 2551)
หอคำวิหารวัดพันเตา
จึงมิใช่เป็นเพียงวิหารไม้เก่าแก่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และกาลเวลาเท่านั้น
หากแต่ยังมีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่คงเอกลักษณ์ของล้านนาไว้อย่างสมบูรณ์ที่สุด
ความสวยงามของสถาปัตยกรรมวิหารวัดพันเตาเป็นศิลปะแบบเชียงแสนสร้างจากไม้เป็นวัสดุหลักมีโครงสร้างแบบกรอบยึดมุม
เสาและฝาทุกส่วนเป็นไม้โดยเฉพาะฝามีแบบวิธีการสร้างพิเศษคล้ายกับฝาปะกนของศิลปะสมัยอยุธยา
แต่มีขนาดตัวไม้ที่แน่นหนาแข็งแรงกว่า มีประตูเข้าออกทั้งหมด 3 ทาง
คือประตูใหญ่ทางด้านหน้า ประตูด้านข้างทางทิศเหนืออยู่ค่อนมาทางประตูหน้า
ส่วนประตูทางทิศใต้อยู่ค่อนไปทางด้านหลัง ประตูที่สำคัญคือประตูหน้า
ซึ่งประกอบด้วยซุ้มประตูไม้แกะสลักประดับกระจกเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ ได้แก่ นกยูง นาค
ลิง หงส์ ประกอบลวดลายที่กรอบประตูส่วนบนเป็นโก่งคิ้วไม้แกะสลักลายดอกไม้ใบไม้
บานประตูเป็นไม้แผ่นเรียบ
วิหารวัดพันเตา ผ่านการบูรณะมาหลายยุคหลายสมัย ครั้งหลังสุดเมื่อปี
พ.ศ.2518 มีการบูรณะส่วนฐานและผนังด้านหลัง ซึ่งถูกฝนทำลายจนหลุดพังเสียหาย
ประกอบกับครั้งนั้นเกิดนํ้าท่วมเนื่องจากฝนตกหนัก
ส่วนของผนังด้านในเสียหายมากเศษไม้ที่หลุดหล่นลงมาจมนํ้า
บางส่วนก็ถูกนํ้าพัดไปจึงได้มีการซ่อมแซมผนังด้านหลังโดยทำผนังคอนกรีตระหว่างช่วงเสาตรงกึ่งกลางผนัง
สำหรับฐานเดิมของวิหารที่เป็นเสาไม้ซึ่งมีการผุกร่องมาก่อน
ทางวัดได้ทำการเสริมฐานเสาเดิมด้วยคอนกรีตและทำการก่ออิฐโบกปูนเสริมระหว่างเสาจากบริเวณร่องตีนช้างที่หายไป
หอคำวิหารวัดพันเตา จึงนับเป็นตัวอย่างของอาคารที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้สมบูรณ์
แม้ว่าจะล่วงผ่านกาลเวลามาแล้วกว่าร้อยปี
แต่รูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่สวยงามทำให้เราสามารถศึกษาถึงประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่ได้อย่างถนัด
หากใครมีโอกาสผ่านไปแถววัดเจีดย์หลวงลองแวะเข้าไปชมความสวยงามของวิหารไม้แกะสลักที่สมบูรณ์และสวยงามที่สุดในล้านนาสักครั้ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น