[ข่าวลุงพล] ทนายนิทัศน์ ถามว่า ใครสอนให้ใครโกหกใครกันแน่
คนที่ชอบโกหกจนเป็นนิสัยนั้น
ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาสร้างเรื่องโกหกนั้น เพื่อทำให้ตนเองรู้สึกดี มีความมั่นใจ
ในการเข้าร่วมสังคม ในขณะที่บางคนนั้นสร้างเรื่องโกหก
เพื่อปฏิเสธความจริงในชีวิตตนเอง ไม่มีความภูมิใจในตนเอง
ทำให้ต้องสร้างเรื่องโกหกขึ้นมา เพื่อให้ได้รับการยอมรับ และมีตัวตนอยู่ในสังคม อาการโกหกนั้นจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จากที่โกหกเฉพาะคนรอบข้าง ก็เริ่มสร้างความเชื่อมั่นให้กับตัวเอง ด้วยการโกหกคนแปลกหน้า
จากนั้นก็ไปถึงระดับชุมชน และเพิ่มดีกรีไปจนถึงระดับประเทศ ทั้งหมดคือ
อาการในลักษณะของคนที่ชอบหลอกตัวเอง เพราะต้องการลบปมบางอย่างในใจ
โดยไม่สนใจว่าเรื่องที่พวกเขาสร้างขึ้นมานั้น
จะสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นมากมายขนาดไหน
สำหรับคนที่ชอบโกหกนั้น
มักจะให้ข้อมูลมากจนล้น เพราะพวกเขาต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนที่ฟัง และต้องการชักจูงให้คนที่ฟังนั้นคล้อยตาม
ดังนั้น เมื่อเจอคนที่ให้ข้อมูลในเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเกินความจำเป็น
ก็ขอให้ฟังหูไว้หู อย่าเพิ่งเชื่อตามไปเสียทุกอย่าง แล้วลองถามคำถาม ที่ไม่เกี่ยวกับหัวข้อที่เขานำเสนอดู
คุณจะพบว่าคนเหล่านี้ ไม่สามารถหาคำตอบให้คุณได้ เพราะเขาไม่ได้เตรียมข้อมูลมา
สัญชาตญาณของคนชอบโกหกนั้น
มักจะเปลี่ยนหัวข้อที่จะคุยได้อย่างรวดเร็ว
เพราะพวกเขารู้ดีว่าถ้ายิ่งคุยลึกลงไปในรายละเอียด จะทำให้พวกเขาถูกจับได้ว่าโกหก
และถ้าคุณอยากดูว่า เขาจะแถต่ออย่างไร ให้คุณพยายามดึงเขากลับมาในหัวข้อเดิม จะเห็นว่าคนที่ชอบโกหกนั้น
จะพยายามหลีกเลี่ยง หรือไม่ก็ยุติบทสนทนาไปเลย
หลายคนคิดว่า
อาการโกหกของคนที่ชอบโกหกจะหยุดไปเอง ถ้าขุดเอาความจริงมาเปิดเผย
และลงโทษเขาอย่างหนัก แต่ในความเป็นจริงแล้ววิธีดังกล่าวจะทำให้คนที่ชอบโกหก
หยุดการโกหกไว้เพียงชั่วขณะ ก่อนจะไปสร้างเรื่องโกหกใหม่ ๆ กับกลุ่มคนใหม่ ๆ แทน
หนทางที่ดีที่สุดในการรับมือกับคนที่มีอาการแบบนี้คือ ทำความเข้าใจทำให้เขาไว้ใจ และหาทางที่จะทำให้เขาพูดความจริงออกมา
ท่านทนายนิทัศน์ ประเสริฐเนติกุล
ได้เขียนบทความ เกี่ยวกับคดีของน้องชมพู่อย่างน่าสนใจ ใครสอนให้ใครโกหกใครกันแน่
ถ้าเริ่มต้นด้วยการไม่พูดความจริง พูดง่ายๆ ก็คือให้การเท็จ ภาษาชาวบ้านเรียกว่า โกหก ต่อมามีคนจับได้ ท่านว่าคำพูดของบุคคลนั้น น่าเชื่อถือได้หรือไม่
หลังเกิดเหตุ สะดิ้งให้การว่า เล่นเกมส์อยู่บนแคร่หน้าบ้านและเผลอหลับไป เมื่อตื่นขึ้นจึงรู้ว่าน้องหายไปและเที่ยวตามหา ต่อมาความลับแตก เมื่อสะดิ้งไปให้การกับตำรวจ กลายเป็นว่า แม่เป็นคนสั่งให้สะดิ้งพูดเช่นนั้น เพราะกลัวอันตรายที่อาจเกิดกับสะดิ้ง แท้จริงแล้วสะดิ้งไม่ได้เผลอหลับ
คำถาม
ทำไมแม่จึงต้องทำเช่นนั้น
แม่กลัวอะไรนักหนา หรือว่าแม่รู้ว่าใครเป็นคนร้าย และคนร้ายคนนั้น มีอิทธิพลที่แม่และครอบครัวกลัวมาก สะดิ้งอายุ ๑๐
กว่าขวบ คิดเองไม่เป็นหรอก
ดังนั้นจึงฟันธงได้เลยว่า หลังเกิดเหตุใหม่ๆ หลายคนรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่กล้าพูดเพราะกลัวภัยที่อาจมาถึงตัว นั้น ย่อมแสดงว่า ใครพาน้องชมพู่ไป คนใกล้ตัวน้องชมพู่รู้อยู่เต็มอกตั้งแต่วันแรกแล้ว
แต่พูดไม่ได้ เพราะคนๆนั้น
ต้องมีอิทธิพลสูงมากทีเดียว
การพาน้องชมพู่ไป ทำคนเดียวไม่ได้แน่นอน ต้องมีการวางแผน มาดูลาดเลา สำรวจเส้นทาง และอาจมีคนใกล้ตัวเป็นผู้ส่งข่าว ดังนั้นข่าวเกี่ยวกับมอเตอร์ไซค์ ที่ขับเข้ามาในหมู่บ้านพร้อมขับออกไปกับเด็กหญิง ทำไมตำรวจถึงเมินเฉย ตำรวจควรตอบคำถามนี้ให้ได้เสียก่อน ก่อนที่จะออกหมายจับใครลุงพล ไม่ได้เกี่ยวข้องกับขบวนการผู้มีอิทธิพลแน่นอน ดูได้จากบ้านและห้องน้ำ
คนมีเงินจะปล่อยให้บ้านและห้องน้ำเป็นแบบนี้หรือ
เมื่อลุงพลจนมาก จึงไม่มีศักยภาพ
ที่จะทำการลักพาตัวน้องชมพู่แน่นอน
และไม่รู้จะทำไปทำไม
โดยหลังเกิดเหตุต้องอยู่เดียวดาย
หมดอาลัยกับชีวิต จนสื่อตามติด ดังแบบคาดไม่ถึง แต่เมื่อฝ่ายหนึ่งจำใจต้องเลือกว่า
จะปกป้องคนในครอบครัว
หรือจะปกป้องคนนอกครอบครัว
ไม่ต้องทายฟันธงไปได้เลย อันนี้ถือว่าเป็นธรรมชาติ
โทษกันไม่ได้
จำคลิปๆ หนึ่งได้ไหม เป็นการสนทนาระหว่างพระ
กับโยมกลุ่มหนึ่ง โดยพระบอกว่าคนร้ายมี ๔
คน แต่ถูกโต้กลับทันทีทำนองว่า “ถึงรู้ว่าใครฆ่าน้องชมพู่ เมื่อไม่มีหลักฐาน ก็กล่าวหาเขาไม่ได้” ท้ายสุดพระต้องเผ่นกลับทันทีเพราะกลัวถูกแจ้งจับ
การจะอุ้มน้องชมพู่ขึ้นเขาในทันที่ คนเดียวไม่น่าทำได้ เพราะระยะทางไกลพอควร
แถมการเดินก็ลำบาก จึงอาจมีการส่งต่อกันไปช่วงๆ
หรือพาไปหลบซ่อนในสถานที่ที่คิดไม่ถึง คือในบ้านหลังหนึ่งหลังใด
ในบริเวณนั้น
หรือใช้รถซึ่งสามารถพาไปให้เร็วที่สุดได้
ดังนั้นการค้นหารอบหมู่บ้าน จึงทำให้ค้นเท่าไหร่ก็ค้นไม่เจอ
หลังจากพาไปซ่อนในที่ปลอดภัยแล้ว
ตัวคนร้ายน่าจะเข้ามาทำทีช่วยค้นหาด้วย
แต่ด้วยสถานการณ์บางอย่าง ทำให้น้องชมพู่ถูกปล่อยไว้นานเกินไป ขาดอาหาร
ขาดน้ำ ถึงแก่ความตาย
คนร้ายจึงได้นำร่างน้องไปบนภูเขา ถอดเสื้อผ้าให้เหมือนกับถูกละเมิดทางเพศ
แต่ผลทางนิติเวช กลับไม่ปรากฏว่ามีการล่วงละเมิดทางเพศ มีบาดแผลเล็กน้อย จากการถูกขีดข่วนบริเวณอวัยวะเพศเท่านั้น
ดังนั้น คดีนี้จึงไม่น่าเป็นคดีฆาตกรรมอำพราง แต่เป็นการลักพาตัว อันเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
เมื่อเรื่องเลยเถิดไปเช่นนั้น
ทำให้คนอยู่ต้องช่วยคนอยู่ ความจริงผสมเท็จ
จึงถูกปรุงแต่งเพื่อตบตาตำรวจไม่ให้จับคนร้าย
แต่เมื่อสังคมและสื่อตามติด
ตำรวจเลยต้องหาทางจบคดีให้ได้
แล้วใครที่เหมาะสมที่จะเป็นคนร้ายนอกจากลุงพล เพราะไม่มีพวก ไม่มีเงิน แต่เมื่อมีพวกและมีเงินเข้ามา ทำให้ตำรวจชะลอคดีนี้ไปก่อน ช่วงนี้เป็นฤดูเลือกทหาร ใบดำใบแดง
ไม่คนใดก็คนหนึ่งก็ต้องรับไปหนึ่งใบ แล้วไปหลุดที่ศาลเอาเอง
ใบแดงจะออกที่ใคร ถ้าออกที่ลุงพล
เกมส์ก็จบเพราะสาวไปถึงคนอื่นไม่ได้
เพราะไม่ได้ร่วมรู้เห็น ผลคำพิพากษา
ไม่มีพยานหลักฐานพิสูจน์หรือยืนยันได้ว่า ลุงพลเป็นคนร้าย จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย
ยกฟ้อง แต่หากออกอีกคน ถ้าสาวกันจริงๆ
โอ๊ย เจอขบวนการน่ากลัว แต่คงไม่ให้สาวไปถึง
เดี๋ยวพังทั้งแถบ เอาคุกไปเหนาะๆ ประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แต่มีเหตุลดโทษ โทษจำให้รอลงอาญา ๓ ปี /ปิดฉากละครกกกอก

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น