[พุทธสถาน] วัดบุพพาราม วัดสำคัญอีกแห่งหนึ่งในกรุงสาวัตถี
![]() |
บริเวณที่เชื่อว่าเป็นที่ตั้งของวัดบุพพารามเมื่อกว่า
๒,๕๐๐ ปีที่แล้ว |
"วัดบุพพาราม" เป็นวัดสำคัญอีกแห่งหนึ่งในกรุงสาวัตถี
รองจากวัดพระเชตวันมหาวิหาร โดยพระพุทธเจ้าทรงประทับจำพรรษา ณ วัดแห่งนี้ ๓ พรรษา
บุพพารามเป็นมหาวิหารแห่งที่สองของนครสาวัตถี เคยมีผู้ชี้ให้ดูบอกว่านี่คือวัดบุพพาราม ซึ่งต้องเดินลัดเลาะตามทุ่งนาเลียบฝั่งแม่น้ำอจิรวดีไปประมาณ ๓ กิโลเมตร บางท่านบอกว่าน่าจะเป็นเมืองอโยธยาในปัจจุบัน ยังไม่มีความชัดเจนกว่านี้ก่อน จึงขอกล่าวเนื้อหาตามที่อรรถกถาธรรมบทเล่าไว้ว่านางวิสาขาผู้เป็นธิดาธนัญชัยเศรษฐี และเป็นภรรยาของปุณณวัฒนะเศรษฐี แห่งเมืองสาวัตถี นางวิสาขานับถือพระพุทธศาสนา แต่สกุลสามีนับถือศาสนาเชน ภายหลังได้ชักชวนสกุลของสามีเข้ามานับถือพระพุทธศาสนา
หลังจากที่ได้ซื้อเครื่องประดับอันมีค่ายิ่งชื่อ มหาลดา
หรือเมรปสันทนา ของตนเองทีี่ลืมไว้ในศาลาโรงธรรม
และใช้เงินนั้นสร้างพระอารามขึ้นทางทิศตะวันออกของนครสาวัตถี ให้ชื่อว่า บุพพาราม
แปลว่า อารามด้านทิศตะวันออกตามชื่อของป่านั้น
การที่นางวิสาขาเลือกสร้างพระอารามขึ้นที่บุพพาราม
ก็เพราะเป็นที่ที่พระบรมศาดาโปรดปราน
เสด็จไปประทับภายหลังจากได้มาเสวยที่เรือนของอนาถบิณฑิกเศรษฐี
หลังจากสร้างเสร็จแล้วพระพุทธองค์เสด็จประทับจำพรรษาที่วัดบุพพาราม ๓ พรรษา
ตามตำนานกล่าวว่า
พระโมคคัลลานะเป็นผู้กำกับการก่อสร้างพระอารามแห่งนี้ ได้ทำเป็นโลหะปราสาท ๒ ชั้น
ชั้นบนมี ๕๐๐ ห้อง ชั้นล่างมี ๕๐๐ ห้อง ใช้เวลาสร้าง ๙ เดือนก็แล้วเสร็จ
โลหะปราสาทของนางวิสาขานี้ เป็นแบบอย่างที่มีการสร้างขึ้นในพระพุทธศาสนาในกาลต่อมา
อีก ๒ แห่ง คือ ที่เมืองอนุราธปุระ ประเทศศรีลังกา และที่วัดราชนัดดา ประเทศไทย
พระพุทธองค์โปรดประทับที่วัดบุพพารามในบางโอกาส คือ ถ้าประทับที่พระเชตวันมหาวิหารเวลากลางวัน
พระองค์จะเสด็จไปประทับที่บุพพารามในเวลากลางคืน ในบุพพารามนี้
พระพุทธองค์ได้ตรัสแสดงพระสูตรต่าง ๆ ไว้หลายพระสูตร เช่น อัคคัญญสูตร ในทีฆนิกาย
อุฎฐนสูตร ในสุตตนิบาต อริยปริเยสณสูตร คณกโมคคัลลานสูตร ในมัชฌิมนิกาย ปราสาทกัมปนสูตร
ในสังยุตนิกาย เป็นต้น
หลวงจีนฟาเหียนมาถึงที่นี่ ยังทันได้เห็นซากบุพพารามของนางวิสาขา
สำหรับที่เชตวันมหาวิหาร หลวงจีนฟาเหียนบอกว่า ได้เห็นสถูปมากมายสร้างขึ้นไว้ ณ
ที่ซึ่งพระบรมศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนาบ้าง ที่ซึ่งพระบรมศาสดาประทับบ้าง
ที่ซึ่งพระบรมศาสดาเสด็จจงกรมบ้าง
แม้ที่ซึ่งนางสุนทริกาถูกฆ่าก็ยังมีสถูปสร้างเป็นอนุสรณ์ด้วย
บุพพารามเป็นอุทยานนอกกรุงสาวัตถีทางด้านตะวันออก
มีมาแต่เมื่อใดไม่ปรากฎรายละเอียด หลักฐานมีเพียงว่า
บุพพารามเป็นสถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงใช้พักผ่อนพระอิริยาบท หลังจากเสวยภัตตาหารในเรือนอนาถบิณฑิกเศรษฐีแล้วเป็นประจำ
ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์รับสั่งให้สามเณรรูปหนึ่งคือสุมนะ ไปตักน้ำจากสระอโนดาต
มาใช้รักษาโรคของพระอนุรุทธะซึ่งอาพาธอยู่
ต่อมาหลังจากนางวิสาขาลืมเครื่องประดับมหาลดาปสาธน์ไว้ในพระเชตวันมหาวิหาร
และสร้างวัดบุพพารามนั้นได้นำเงินส่วนหนึ่งซื้ออุทยานบุพพารามเพื่อสร้างปราสาทตามคำแนะนำของพระพุทธองค์
มิคารมาตุปราสาท เป็นปราสาทที่นางวิส่าขาสร้างถวาย ด้วยเงิน ๙ โกฏิ
ขณะอยู่ในระหว่างก่อสร้าง พระพุทธองค์ตรัสให้พระโมคคัลลานะและพระภิกษุอีก ๑๐๐ รูป
เป็นผู้ให้คำแนะนำ ลักษณะเป็นปราสาทสองชั้น มีห้องพำนักชั้นละ ๕๐๐ ห้อง
บนหลังคาปราสาทสร้างที่เก็บน้ำด้วยทองคำเก็บน้ำได้ ๖๐ ถัง
เมื่อแล้วเสร็จนางทำการฉลองสิ้นเงินอีก ๙ โกฏิ
เรื่องนางวิสาขาสร้างมิคารมาตุปราสาท
ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าสร้างประมาณพรรษาใด จากการเทียบเคียงระยะเวลาในพรรษาที่ ๕
ที่พระพุทธองค์เสด็จไปภัททิยนคร แคว้นอังคะ
เพื่อโปรดตระกูลของนางวิสาขาได้บรรลุโสดาบัน
และโปรดภัททชิหลานชายของเมณฑกเศรษฐีให้บรรลุพระอรหัตตผลนั้น นางวิสาขาเพิ่งมีอายุ
๗ ขวบ หลังจากนั้นครอบครัวของธนัญชัยเศรษฐีผู้บิดา นางสุมนาเทวีมารดา
และตัวนางวิสาขาพร้อมทั้งเหล่าบริวาร ได้ย้ายมาพำนัก ณ เมืองสาเกต
ตามพระประสงค์ของพระเจ้าปเสนทิโกศล ราชาแห่งแคว้นโกศล ต่อมาเมื่อมีอายุ ๑๖ ปี
จึงแต่งงานกับปุณณวัฒนะเศรษฐี หลังจากมีบุตร และไปฟังพระธรรมเทศนา
และลืมเครื่องประดับมหาลดาปสาธน์ ไว้ในมหาวิหาร นางวิสาขาน่าจะมีอายุประมาณ ๒๑
ปีแล้ว ๑๔ ปีให้หลังจากวันที่นางวิสาขาบรรลุโสดาบัน นางวิสาขาจึงเริ่มสร้างปราสาท
คาดว่าคงอยู่ในระหว่างพรรษาที่ ๑๙ -๒๐ (พระราชรัตนรังษี )
เมื่อครั้งพุทธกาล
วัดบุพพารามตั้งอยู่นอกเมืองสาวัตถีไปทางทิศตะวันออก
เป็นวัดที่สมบูรณ์เพียบพร้อมและกว้างขวางมาก มีถาวรวัตถุชื่อ มิคารมาตุประสาท
ประกอบด้วยห้องพักอาศัยถึง ๑,๐๐๐ ห้อง แต่ละห้องมีสิ่งของเครื่องใช้อำนวยความสะดวกทั้งสิ้น
แต่ปัจจุบัน
วัดบุพพารามไม่มีซากปรักหักพังให้เห็นเด่นชัดเหมือนวัดพระเชตวันมหาวิหาร
เนื่องจากตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำอจิรวดี จึงถูกพัดพังจมน้ำไปเกือบหมด
นางวิสาขามหาอุบาสิกาได้สร้างวิหารให้เป็นที่ประทับของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์
ซึ่งตอนที่กำลังก่อสร้าง นางได้อาราธนาพระมหาโมคคัลลานะเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง
ด้วยฤทธานุภาพของพระเถระ ผู้ที่ไปหาวัสดุก่อสร้างแม้ในระยะทางไกลถึง ๕๐-๖๐ โยชน์
ก็สามารถขนเอามาได้ภายในวันเดียว
หรือแม้การยกท่อนไม้หรือก้อนหินใส่เกวียนก็ไม่ลำบาก เพลาเกวียนก็ไม่หัก
ครั้งนั้นพระบรมศาสดาเสด็จจาริกโปรดเวไนยสัตว์ที่เมืองอื่น ครั้นครบ ๙
เดือน พระองค์ทรงเสด็จกลับกรุงสาวัตถี
นางวิสาขาจึงไปอาราธนาให้พระบรมศาสดาเสด็จไปประทับบนปราสาทในวิหารชื่อ บุพพาราม
เพื่อจะได้ฉลองมหาวิหาร นางได้ถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุขตลอด
๔ เดือน วันสุดท้ายได้ถวายผ้าไตรจีวรชั้นเลิศแด่ภิกษุสงฆ์
พร้อมถวายจตุปัจจัยไทยธรรมอีกมากมาย การฉลองมหาวิหารคราวนั้น
นางได้บริจาคทรัพย์รวมทั้งหมด ๒๗ โกฏิ คือ ในการซื้อที่ดิน ๙ โกฏิ สร้างวิหาร ๙
โกฏิ และในการฉลองวิหารอีก ๙ โกฏิ
หลังจากฉลองมหาวิหาร
นางวิสาขาแวดล้อมด้วยลูกหลานได้เดินชมมหาวิหารภายในบริเวณวัด
เห็นสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่สำเร็จอย่างสวยงาม เกิดความปีติปราโมทย์ใจ
คิดว่าความปรารถนาที่ตั้งใจไว้ในภพชาติก่อน ๆ ได้สำเร็จบริบูรณ์แล้วในชาตินี้
เวลาเดินรอบมหาวิหาร นางได้เปล่งอุทานคล้ายกับร้องเพลงด้วยสำเนียงอันไพเราะว่า
“ความดำริที่เราตั้งใจว่า เราจักสร้างวัดสร้างมหาวิหาร จักถวายเตียงตั่งฟูกและหมอนเป็นเสนาสนภัณฑ์ จักถวายสลากภัตด้วยโภชนะอันประณีต เราจักถวายผ้ากาสิกพัสตร์ ผ้าเปลือกไม้ และผ้าฝ้ายเนื้อดีเป็นจีวรทาน เราจักถวายเนยใส เนยข้น น้ำผึ้ง น้ำมัน และน้ำอ้อยเป็นเภสัชทาน ความปรารถนาทั้งหมดนั้นได้สำเร็จบริบูรณ์ทุกประการแล้ว” เมื่อภิกษุทั้งหลายได้ยินเสียงรำพึงของนาง ต่างรู้สึกแปลกใจที่เสียงนั้นเปล่งเป็นทำนอง จึงกราบทูลพระบรมศาสดาว่า
“พวกข้าพระองค์ไม่เคยเห็นนางวิสาขาร้องเพลงเลย วันนี้นางมีบุตรและหลานห้อมล้อม แล้วขับเพลงเดินรอบมหาวิหาร นางคงเสียจริตไปแล้วกระมัง”
พระบรมศาสดาตรัสว่า
“ธิดาของเราไม่ได้ร้องเพลง
แต่ว่าความปรารถนาในการสั่งสมบุญของเธอเต็มเปี่ยมบริบูรณ์แล้ว
จึงเดินเปล่งอุทานอย่างนั้น”
จากนั้นพระองค์ทรงนำเรื่องราวในอดีตมาตรัสเล่าให้ฟังว่า
นับย้อนหลังไป ๑๐๐,๐๐๐ มหากัป
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ทรงอุบัติขึ้นในโลก พระองค์มีพระชนมายุถึง
๑๐๐,๐๐๐ ปี มีภิกษุขีณาสพ ๑๐๐,๐๐๐ เป็นบริวาร ครั้งนั้น
นางวิสาขาเป็นเพื่อนของมหาอุบาสิกาผู้เป็นเลิศในทางอุปัฏฐากพระพุทธองค์
นางเห็นมหาอุบาสิกาท่านนั้นพูดคุยกับพระบรมศาสดาด้วยความสนิทสนมคุ้นเคย จึงคิดว่า
“เพื่อนเราทำบุญอะไรไว้หนอ
จึงเป็นผู้สนิทสนมคุ้นเคยกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างนี้”
นางจึงตั้งความปรารถนาจะได้ตำแหน่งนั้นบ้าง
พระบรมศาสดาตรัสแนะวิธีการที่นางสามารถทำความปรารถนานั้นให้สำเร็จได้
นางจึงกราบทูลอาราธนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมเหล่าภิกษุสงฆ์ให้ไปฉันภัตตาหารที่บ้านตลอด
๗ วัน ในวันสุดท้ายนางได้ถวายผ้าสาฎกเพื่อทำจีวร แล้วตั้งความปรารถนาว่า
“ด้วยผลแห่งทานนี้ หม่อมฉันไม่ปรารถนาความเป็นใหญ่ในเทวโลก แต่หม่อมฉันปรารถนาที่จะตั้งอยู่ในฐานะดังมารดา เป็นยอดของมหาอุบาสิกาผู้สามารถอุปัฏฐากบำรุงด้วยปัจจัย ๔ แด่พระภิกษุสงฆ์ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันเลิศ”
พระบรมศาสดาทรงพยากรณ์ว่า
“จากนี้ไป ๑๐๐,๐๐๐ กัป พระพุทธเจ้าพระนามว่า โคดม จักอุบัติขึ้นในโลก ในกาลนั้นเธอจักเป็นอุบาสิกาชื่อว่าวิสาขา และเธอจะได้ตั้งอยู่ในฐานะดังมารดา จักเป็นเลิศของอุบาสิกาผู้เป็นอุปัฏฐายิกา ผู้บำรุงด้วยปัจจัย ๔” นางได้ฟังดังนั้น รู้สึกดีอกดีใจราวกับจะได้สมปรารถนาในวันพรุ่งนี้
ตั้งแต่นั้นมานางตั้งใจทำบุญจนตลอดชีวิต
เมื่อละโลกก็ไปบังเกิดในสวรรค์ ท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกและมนุษยโลกเท่านั้น
จนมาถึงภพชาตินี้ นางได้เกิดเป็นธิดาของธนัญชัยเศรษฐี
เป็นมหาอุบาสิกาผู้ได้รับการยกย่องจากพระพุทธองค์ว่าเป็นเลิศแห่งอุปัฏฐายิกาในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา
สมดังที่นางได้ตั้งความปรารถนาไว้ทุกประการ

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น