[บทความ] จากหนุุ่มชื่อ “วา” ถึงชายชื่อ “กระแสร์” สะท้อนอะไรในกระบวนการยุติธรรมบ้านเรา
ผมได้อ่านบทความนี้แล้ว รู้สึกว่าเป็นบทความที่ดี
จึงนำมาถ่ายให้ได้รับชมรับฟังกัน ซึ่งมันน่าจะมีประโยชน์ ไม่มากก็น้อย
เป็นบทความที่นำมาจากบล็อก เขียนบทความโดย คุณเนาวรัตน์ เสือสอาด เผยแพร่ไว้เมื่อวันที่ 19 กรกฏาคม 2560
ฉันนั่งดู live
ของเพจดังเพจหนึ่ง ที่ถ่ายทอดสดวินาทีที่แพะคนหนึ่งที่ชื่อ
“วา” ได้รับอิสรภาพออกจากเรือนจำอุบลราชธานี
ได้สวมกอดแม่ เมีย พี่สาวและอุ้มลูกสาวตัวน้อยไว้แนบอก
วินาทีที่วาก้าวออกมาจากเรือนจำและก้มลงกราบผู้เป็นแม่ ทั้งสองร้องไห้และสวมกอดกัน
ฉันกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ สะอื้นไห้ราวกับว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับครอบครัวของตัวเอง
หลังจากนั้นญาติผู้ใหญ่ มารายล้อมผูกข้อไม้ข้อมือรับขวัญ ตามธรรมเนียมของคนอีสานพร้อมเอาน้ำมนต์
9
วัดมาราดตัวเพื่อล้างความซวยที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา
วา หรือวรวิทย์ สินทองน้อย
คือแพะคนล่าสุดที่ฉันได้รู้จัก
เขาถูกศาลชั้นต้นตัดสินประหารชีวิตในคดีร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้อื่นเสียชีวิต
ต่อมาศาลฎีกายกฟ้อง โดยได้รับความช่วยเหลือจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
โดยใช้หลักนิติวิทยาศาตร์เข้ามาช่วย เพื่อพิสูจน์ว่าผู้ต้องหาทั้งหมดเป็นผู้บริสุทธิ์
แต่ความซวยยังไม่หมดแค่นั้น
ในวันเดียวกันนั้นเอง
วาถูกตำรวจอายัดตัวในคดียาเสพติดต่ออีกหนึ่งคดี
โดยอ้างว่าเขาใช้มือถือในเรือนจำโทรไปสั่งยาเสพติด
ซึ่งทางดีเอสไอก็ได้ลงพื้นที่เพิ่มเติมจนพิสูจน์ได้ว่า
วาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดียาเสพติดภายนอกเรือนจำ
และยังพบว่าผู้ต้องขังในเรือนจำจังหวัดอุบลราชธานี มีคนชื่อวรวิทย์ ซ้ำกันถึง 6 คน โดย 5 คน
เป็นผู้ต้องขังคดียาเสพติด มีวาเพียงคนเดียวเป็นผู้ต้องในคดีฆ่าผู้อื่น
เขาถึงรอดมาได้และกลับสู่อ้อมกอดของคนในครอบครัวอีกครั้ง
ดูจบรำพึงกับตัวเองว่า “อยากให้เขาเป็นแพะคนสุดท้ายของประเทศไทย” ทั้งๆ
ที่รู้ว่ามันอาจจะไม่เป็นจริง เมื่อพูดถึง “แพะ” ทำให้ฉันอดคิดถึง “แพะคนสุดท้ายของคดีเชอรรี่แอน” ไม่ได้
เขาเป็นแพะคนแรกที่ฉันได้รู้จัก ได้พูดคุย ได้ช่วยสนับสนุนอาชีพของเขา
และได้แม้กระทั่งไปร่วมไว้อาลัย ในวาระสุดท้ายของชีวิตเขา กระแสร์ พลอยกลุ่ม
อดีตหัวหน้า รปภ. และเสาหลักของครอบครัวที่ถูกปรักปรำด้วยการสร้างพยานเท็จในคดีฆ่าเชอรี่แอน
เด็กสาววัยรุ่นลูกครึ่งเชื้อชาติ ไทย-อเมริกัน เมื่อปี 2529
ส่งผลให้ถูกศาลตัดสินประหารชีวิตพร้อมเพื่อนอีก 3 คน
จนกระทั่งตำรวจอีกชุดสามารถสืบสวนจนจับผู้ร้ายตัวจริงได้
7 ปี
กับชีวิตนักโทษประหาร ส่งผลทำให้ครอบครัวพังพินาศ ภรรยาเครียดจัดจนเสียชีวิต
ลูกสาววัย 17 ที่กำลังเตรียมสอบชิงทุนไปญี่ปุ่น
ถูกฆ่าข่มขืนโดยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถจับตัวผู้ที่กระทำความผิดได้
ในขณะที่ลูกชายคนเล็กก็หายสาปสูญ
ส่วนตัวเขาเองถูกตำรวจซ้อมให้รับสารภาพทำให้ต้องพิการเนื่องจากกระดูกสันหลังร้าวจึงต้องไปรับยาจากโรงพยาบาลทุกเดือนผลจากการถูกตำรวจทรมานด้วยวิธีการต่างๆ
นานา จนกลายเป็นภาพหลอนฝังแน่นในจิตใจ “ผมเห็นตำรวจก็ยังกลัวอยู่ กลัวถูกทรมานในคุกอีก”
ส่วนเพื่อนอีก 3 คนก็สูญเสียไม่แพ้กัน
คนหนึ่งถูกโรคประจำตัวรุมเร้าเพราะร่างกายและจิตใจอ่อนแอ
บวกกับความทุกข์ระทมจนตรอมใจเสียชีวิตในเรือนจำ
อีกคนติดโรคจากในคุกและเสียชีวิตไม่นานหลังหลุดคดี
ส่วนอีกคนหนึ่งรอดออกมาในสภาพสมบูรณ์แต่ก็หมดโอกาสในชีวิตไปมากมายและเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในเวลาต่อมา
ท้ายสุดคดีนี้คุณกระแสร์และครอบครัวผู้เสียหายทั้งหมดได้ยื่นฟ้องแพ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
โดยศาลมีคำสั่งชดเชยค่าเสียหายให้ทั้ง 4 คน จำนวน 26 ล้านบาท เมื่อปี 2546
ฉันมีโอกาสได้พบกระแสร์ในปี 2554
ได้ชวนเขามาคุยเกี่ยวกับการทรมานโดยเจ้าหน้าที่รัฐ
ซึ่งเขายืนยันอย่างหนักแน่นว่าการทรมานไม่ใช่วิธีการที่ทำให้ได้รับความจริง
เพราะเมื่อถูกทรมานมากๆ ผู้ต้องหาก็พร้อมจะพูดอะไรก็ได้ที่ตำรวจอยากได้ยิน
เพื่อยุติการทรมานที่เกิดขึ้น ซึ่งนั่นก็เป็นที่มาของการจับแพะนั่นเอง
ในที่สุดกระแสร์ก็เสียชีวิตเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2555
ด้วยอาการหัวใจล้มเหลว ภรรยา (คนใหม่พบกันหลังหลุดคดี)
ของเขาเล่าให้ฟังว่าหลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ
นั่งดูทีวีกับครอบครัวเขาก็ล้มฟุบไปและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
สิ้นสุดความเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจที่ตามหลอกหลอนเขามากว่า 26 ปี
ขณะนี้นายกรัฐมนตรีกำลังให้ความสนใจเรื่องการปฏิรูปตำรวจ
ขอยกมือสนับสนุนและหวังว่าจะไม่ได้ปรับเปลี่ยนแค่ระบบโครงสร้างเท่านั้น คุณภาพในการทำงานก็เป็นเรื่องสำคัญ
จึงฝันอยากให้ทีมสืบสวนของไทยเน้นใช้หลักนิติวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยมากขึ้น
หาพยานหลักฐานอื่นๆ ที่สามารถมัดตัวผู้กระทำผิดให้แน่น หนามากกว่าแค่คำรับสารภาพหรือคำบอกเล่าของพยานบุคคล
และที่สำคัญต้องสลายมายาคติเก่าที่ว่าผู้ร้ายมักจะปากแข็ง ไม่ยอมรับสารภาพแต่โดยดี
จึงต้องทรมานให้รับสารภาพ พาเข้าเซฟเฮ้าส์เพื่อรีดเค้นความจริง
เพราะนั่นไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องตามหลักกระบวนการยุติธรรม
เพราะกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เป็นธรรมส่งผลมากกว่าที่เราคิด
กระบวนการสอบสวนที่มีการทรมานร่วมอยู่ด้วย ไม่สามารถค้นหาความจริงได้
และเสี่ยงที่จะลงโทษผิดคน และทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องกลายเป็นแพะรับบาป
ดังนั้นอาจต้องยอม “ปล่อยคนผิดสิบคนดีกว่าจับหรือลงโทษผู้บริสุทธิ์เพียงคนเดียว” สุภาษิตทางกฎหมายที่ยึดถือกันทั่วโลกนี้ควรถูกนำมาปฏิบัติใช้ในบ้านเมืองของเราด้วยเช่นกัน

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น