[ย้อนรอยพุทธศาสนา] เมื่อพระทักขิณโมลีธาตุ (พระธาตุศรีจอมทอง) สูญหายไปเป็นเวลา ๙ ปี

พระทักขิณโมลีธาตุ

 เมื่อพระทักขิณโมลีธาตุ (พระธาตุศรีจอมทอง) สูญหายไปเป็นเวลา ๙ ปี


 จากศิลาจารึกของพระเจ้ากาวิละ พระเจ้านครเชียงใหม่  แปลโดย พ่อศรีทน  ยศถามี  เมื่อวันที่  25  สิงหาคม  พ.ศ.  2533  (ศิลาจารึกนี้ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พระวิหาร  วัดพระธาตุศรีจอมทอง  อำเภอจอมทอง  จังหวัดเชียงใหม่) ได้กล่าวถึงเหตุการณืหายไปของพระบรมธาตุไว้ตอนหนึ่งว่า 


เอวัณณา ตุโชตะกะปาปะนาคะมิสัพพะทา ปีขาล จุลศักราช ๑๑๓๒ ตัว (พ.ศ. ๒๓๑๓) เดือนห้า (เดือนเจ็ดเหนือ) แรม ๑๑ ค่ำ วันจันทร์ พระมหาชินธาตุเจ้าองค์ประเสริฐก็ได้อันตรธานสูญหายไปนับตั้งแต่นั้นมาถึงปีกาบ (ปีมะเมีย) จุลศักราช ๑๑๓๖ ตัว (พ.ศ. ๒๓๑๗) เดือนสาม(เดือนห้าเหนือ) ขึ้น ๑๕ ค่ำ วันเสาร์ยามเที่ยงคืน มหากษัตริย์เมืองอยุธยาได้ยกพลโยธาขึ้นมารบกับพม่าที่นครเชียงใหม่ ได้รับชัยชนะแล้วไปสู่เมืองหริภุญชัย(ลำพูน) แล้วจึงได้อภิเษก(แต่งตั้ง) ให้พระยาจ่าบ้านขึ้นเป็นพระเจ้านครเชียงใหม่ ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นพระยาหลวงวชิรปราการกำแพงเพชร (พญาวิเชียรปราการ) เวนบ้านเวนเมืองให้เป็นเจ้าเมืองนพบุรีศรีมหานครพิงค์ชัยเชียงใหม่ ในที่ต่อหน้าพระมหาชินธาตุเจ้าลำพูน





ลำดับต่อมาถึงปีเปิกเส็ด(ปีจอ) จุลศักราช ๑๑๔๐ ตัว (พ.ศ. ๒๓๒๑) พญาหลวงวชิรปราการกำแพงเพชร ผู้เป็นพระเจ้านครเชียงใหม่ ผู้มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา มาคำนึงถึงพระมหาชินธาตุเจ้าองค์ประเสริฐว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสทำนายไว้ว่า" ตราบ ๕๐๐๐ พระวรรษา ธาตุของเราจักมาประดิษฐาน ณ ที่นี้ "


แต่ในปีสุภมัสดุกฎยี พระบรมธาตุเจ้าได้อันตรธานหายไปนานได้ ๙ ปีแล้วท่านจึงให้ช่างสร้างโกศทองคำขึ้นเพื่อให้เป็นที่สำราญแก่ พระมหาชินธาตุเจ้าองค์ประเสริฐ แล้วบัวระมวลจึงให้เสนาอำมาตย์ทั้งหลายหมายมีพระมหาพิเศษ พระมหาพิชัยหาญม้างเมฆ และพระสงฆ์ ๑๒ รูป มีท่านพุทธิมาวังโสผู้เป็นเจ้าอาวาสวัดศรีจอมทองเป็นประธาน ได้พร้อมใจกันอัญเชิญยังองค์พระมหาชินธาตุเจ้าให้เสด็จมาประดิษฐาน ณ โกศทองคำตามโบราณประเพณีเป็นครั้งแรก พระบรมธาตุเจ้าก็ยังไม่เสด็จกลับคืนมาลำดับต่อมาถึงปีกัดไก๊(ปีกุน) จุลศักราช ๑๔๑๑ ตัว (พ.ศ. ๒๓๒๒) เดือนห้า (เดือนเจ็ดเหนือ) แรม ๑๓ ค่ำ วันพฤหัส พญาหลวงวชิรปราการกำแพงเพชร พระเจ้านครเชียงใหม่ พร้อมทั้งเสนาอำมาตย์ประชาราษฎร์และพระสงฆ์ ได้นำเอาโกศเงินและโกศทองคำมาอาราธนาสักการะบูชาด้วยเครื่องบูชาทั้งมวลเป็นครั้งที่สอง พระมหาชินธาตุเจ้าก็ยังไม่เสด็จคืนมา


ลำดับต่อนั้นมาถึงเดือนหก (เดือนแปดเหนือ) แรม ๑ ค่ำ วันเสาร์ ยามตุดค่ำ (เวลาเย็น) สาธุเจ้าพุทธิมาวังโสเจ้าอาวาสได้ทำพิธีสัตยาธิษฐานว่า "พญาหลวงวชิรปราการกำแพงเพชร พระเจ้านครเชียงใหม่ ได้ปราถนาสัพพัญญุตญาณ ถ้าความปรารถนานั้นจักสมดังมโนรถแล้ว ขออัญเชิญพระมหาชินธาตุเจ้าเสด็จกลับคืนมาให้ปรากฎอยู่ในคูหาปราสาททองเหมือนดังเก่าด้วยเทอญ" อัญเชิญเป็นครั้งที่สาม เมื่ออธิษฐานแล้วถึงวันแรม ๔ ค่ำ วันอังคารเวลารุ่งเช้า พระบรมธาตุเจ้าได้เสด็จกลับคืนมาปรากฎอยู่ในคูหาปราสาทตามคำอธิษฐานของพระเถระเจ้ารูปนั้นแล สาธุเจ้าอาวาสจึงมีสมณสาสน์ไปถวายพร บอกกล่าวแก่พญาาหลวงวชิรปราการกำแพงเพชร พระเจ้านครเชียงใหม่ให้ได้รับทราบ ตามที่ตนได้ตั้งสัตยาธิษฐานนั้นทุกประการ


ฝ่ายพระเจ้านครเชียงใหม่เมื่อได้ทราบดังนั้นก็มีความปิติยินดีไปทั่วสรีรร่าง จึงได้ตกแต่งวัตถุไทยทานพร้อมด้วยเสนาอำมาตย์ราชบริพารชาวบ้านชาวเมืองพระสงฆ์องค์เจ้าเป็นอันมาก ได้พร้อมกันนำวัตถุไทยทานไปถวายในวันแรม ๙ ค่ำ เดือนหก (เดือนแปดเหนือ) เวลาเย็น ได้อาราธนานิมนต์พระสงฆ์ทำพิธีมหามงคลพุทธาภิเษกอดิเรกสวดเบิกฉลองตามประเพณีเพื่อให้อยู่รักษาพระบรมธาตุเจ้าตามโบราณประเพณีที่พระรัตนราช (พระเมืองแก้ว) ได้กระทำไว้แต่หนหลัง และได้อาราธนาพระบรมธาตุเจ้า เข้าไปสู่ในเมืองเชียงใหม่ ประกาศให้ชาวบ้านชาวเมืองมาสักการะบูชาและสรงน้ำพระบรมธาตุเจ้า จัดงานฉลองสมโภช ๗ วัน ๗ คืน แล้วจึงอัญเชิญพระบรมธาตุเจ้าเสด็จคืนสู่ที่เก่าในคูหาปราสาทวัดศรีจอมทองก็มีในวันนั้นแล






ข้อมูล : ประวัติพระทักขิณโมลีธาตุ 

ภาพ : หอภาพถ่ายล้านนา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ดินแดนล้านนา เมืองเชียงใหม่

(ชาติพันธุ์) ลาวทรงดํา ไทยทรงดํา ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง

มาชู ปิกชู ประเทศเปรู เมืองสาบสูญแห่งอินคา