[ข่าวลุงพล] อย่าดูถูกความเชื่อความศรัทธาของคนอื่นว่า งมงาย
ความเชื่อความศรัทธาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
แต่ถ้าเราไม่เชื่อ ในสิ่งที่คนอื่นเขาเชื่อ เราก็ไม่ควรไปพูดจาเสียดเย้ยความเชื่อของเขา
ผมอ่านเจอคอมเมนต์ของพี่คนหนึ่ง ที่คอมเมนต์เอาไว้ว่า
“อย่าว่าเขานะ เดียวบักพล
บอกเจ้าแม่ทรพีเข้าสิงนะ”
ผมก็อยากจะบอกกับพี่เขาว่า คำว่า ‘ไม่เชื่ออย่าลบหลู่’ ไม่ใช่ประโยคตัดบท
สำหรับคนที่มีความเชื่ออย่างเหนียวแน่น ต่อเรื่องที่ยังหาทฤษฎีมาอธิบายอย่างชัดเจนไม่ได้
แต่มันทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการสืบสานวัฒนธรรม และกล่อมให้คนรุ่นใหม่คล้อยตามหรือคลายความขัดขืนในใจลงได้
เพราะบางครั้ง สิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คน ก็คือเรื่องที่โดนฝั่งตรงกันข้ามบอกว่า
‘งมงาย’
อิทธิพลความเชื่อต่อผู้คน จริงๆ
แล้วศาสนามาหลังความเชื่อด้วยซ้ำไป ถ้าเราจะมองโลกแบบย้อนอดีตไปไกลๆ
การที่มนุษย์มาอยู่รวมกันได้ ต้องอาศัยการปกครองของคนที่มีภาวะผู้นำในกลุ่มนั้น
ซึ่งส่วนใหญ่จะได้มาโดยการต่อสู้หรือรบรา แล้วเขาก็จะได้รับความนับถือ
ได้รับความเชื่อถือ โดยเราจะเรียกสิ่งนี้ว่าการอุปโลกน์ของมนุษย์
สามารถเชื่อมโยงกับพลังเหนือมนุษย์ทั่วไป ซึ่งตรงนี้คือ ‘กระบวนการที่เริ่มสร้างความเชื่อ’ ที่ตอนนั้น
คนในสังคมจะถูกหล่อหลอมให้ต้องเชื่อฟังผู้นำในกลุ่ม
ต่อมาเมื่อสังคมวิวัฒนาการขึ้น
ก็เกิดศาสนา ที่ช่วยทำให้ความเชื่อเป็นระเบียบแบบแผนมากขึ้น เริ่มมีพิธีกรรม มีศาสดาอย่างเป็นทางการ
แต่สุดท้าย ทั้งศาสนาก็ยังคงอาศัยกลไกลเดิม ของระบบสังคมในสมัยก่อน
นั่นก็คือการใช้ความเชื่อมาเป็นตัวตั้งอยู่ดี
ในแง่ของวิทยาศาสตร์ เรายึดถือพิธีกรรมบางอย่าง ก็เพื่อเรียกความมั่นใจในชีวิตประจำวัน
เช่น ไม่ตัดผมวันพุธ ห้ามพูดจาหยาบคายในวันสำคัญทางศาสนา ไม่ปักธูปกลับหัว
หรือการปลูกต้นไม้มงคลไว้ในบ้าน จะทำให้เงินทองไหลมาเทมา
มนุษย์มีความกังวลต่ออนาคตของตัวเอง เพราะคนเราต้องเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอน
ทั้งเรื่องของความเชื่อเอง ก็อยู่นอกเหนือการควบคุมจากอำนาจรัฐและอำนาจอื่นๆ
เราเป็นคนเดียวที่มีสิทธิ์จะเลือกว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ
รวมถึงเลือกที่จะใช้ความเชื่อนั้นบรรเทาความทุกข์ในใจ
“ไม่ใช่เรื่องผิดเลย
ที่คุณจะหาอะไรบางสิ่งมาเยียวยาจิตใจ”
สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ความเชื่อนั้นมีพลังและเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้เราหลงใหล
คล้อยตาม ซึ่งนั่นมาจากจิตใต้สำนึกของเรา ที่ต้องการความตื่นเต้น ท้าทาย
ซึ่งการตกอยู่ในสภาวะ ‘ต้องมนตร์’ ก็เป็นกลไกหนึ่งของสมอง
ที่ทำให้เรามีความสุขโดยไม่รู้ตัว การขอพร บนบานศาลกล่าว
แล้วได้สิ่งที่หวังเป็นการตอบแทน มนุษย์ก็จะเอาผลลัพธ์นี้ ไปผูกกับความเชื่อว่าเป็นเพราะพระเจ้า
เป็นเพราะภูตผีที่ให้โชคลาภ แบบนี้เป็นการผูกพันในเชิงบวก
ส่วนในเชิงลบคือการได้รับโทษ เช่น เรื่องภพชาติ บาปกรรม ชีวิตหลังความตาย
สิ่งเหล่านี้จะทำให้เรารู้สึกตามไปด้วยว่า ถ้าทำหรือไม่ทำตามความเชื่อก็จะส่งผลต่อชีวิต ความเชื่อและความศรัทธา
จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของ มนุษย์
ส่วนคุณพี่ที่คอมเมนต์ ในเชิงหมิ่นแคลนความศรัทธาของคนอื่น เรื่องนี้
ก็แล้วแต่เวรแต่กรรมละกันนะครับ

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น