[สาระน่ารู้] สรีกัญไชย

ดาบสรีกัญไชย

 “สรีกัญไชย” คำนี้ เขียนตามอักษรธรรมล้านนา ออกเสียงว่า “สะ-หลี๋-กั๋น-ไจ” บางแห่งใช้ “สรีกัญชัย” ก็มี หมายถึงดาบวิเศษของพระโพธิสัตว์ ปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันในนามของดาบศักดิ์สิทธิ์ ที่ครูบาอาจารย์พระเถระสังฆเจ้า ได้เมตตาสร้างไว้เป็นเครื่องรางทรงพุทธานุภาพ ปกป้องคุ้มครองบรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่ได้มีไว้สักการบูชา กล่าวได้ว่าเป็นที่สุดแห่งศาสตร์พระเวทย์ล้านนา เป็นวิชาชั้นสูงของภาคเหนือก็ว่าได้


ดาบชื่อนี้ เป็น ๑ ใน ๕ อย่างของเครื่องราชกกุธภัณฑ์ล้านนา มีรูปลักษณ์ต่างกันออกไป เช่น เป็นดาบยาววาก็มี เป็นดังมีดน้อยก็มี หรือมีด้ามยาวอย่างง้าว ที่ใช้เป็นเครื่องเทียมยศพระพุทธรูป ปักเรียงกับละแอบังสูรย์ ทั้งหมดต่างเรียกขานว่า ดาบสรีกัญไชย และหากจะเทียบศักดิ์แห่งดาบนี้ คงทำนองเดียวกับพระแสงขรรค์ชัยศรีของภาคกลาง รูปแบบดาบโดยละเอียดเป็นอย่างไร เนื้อเหล็กเป็นอย่างไร ในเอกสารล้านนาไม่ได้พรรณนาไว้ รู้แต่ว่าเป็นของวิเศษคู่บุญพระโพธิสัตว์


หากจะพูดถึงที่มาที่ไปของดาบสรีกัญไชย  คงต้องนับย้อนไปถึงตำนานความเชื่อตามโบราณกาล ที่เล่าสืบทอดกันมาว่าพญาอินทร์ (พระอินทร์) หรือสักกะเทวราช ได้มีบัญชาให้พระเวสสุกรรมเทวบุตร ซึ่งเทพผู้เชี่ยวชาญงานช่างของสวรรค์ ลงมาตีพระขรรค์ถวายพระเกตุมาลา


ตามตำนานเล่าว่า พระเวสสุกรรมเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในงานช่าง ประกอบกับมีฤทธาอภินิหารพอตัว การตีดาบจึงไม่ใช่ธรรมดา ต้องใช้เหล็กถึงสี่หาบ นำมาผ่านพิธีการเผาตีไล่เนื้อเหล็ก และใช้ว่านยาซัด จนเหลือเป็นพระขรรค์เนื้อบริสุทธิ์เพียงเล่มเดียวมาถวายพระเกตุมาลา


ด้วยความไม่รู้ถึงพิธีกรรมที่พระเวสสุกรรมได้ตั้งอกตั้งใจทำพระขรรค์วิเศษเล่มนี้ขึ้น เมื่อพระเกตุมาลาเห็นดาบเล่มเดียวก็พาให้คิดว่าพระเวสสุกรรมมีจิตคิดไม่ซื่อ ฉ้อฉลเอาเนื้อเหล็กไปถึงสี่หาบแต่นำพระขรรค์เล่มเดียวมาถวายก็เลยออกปากต่อว่าพระเวสสุกรรม


แม้พระเวสสุกรรมไม่ได้พูดตอบโต้อย่างไร แต่ก็บังเกิดความน้อยใจลุกขึ้นลากพระขรรค์เล่มนั้นไปบนท้องพระโรง เกิดเป็นอัศจรรย์ คมพระขรรค์นั้นกล้านัก ผ่าท้องพระโรงแยกออกเป็นสองซีกในทันที จากนั้นเวสสุกรรมก็โยนพระขรรค์เล่มนั้นทิ้งลงไปในทะเลสาบ ดาบสรีกัญไชย จึงจมอยู่ใต้ทะเลสาบตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา


ตำนานต่อจากนี้ค่อนข้างจะสับสนและมีหลายกระแส ตามแต่ว่าผู้รจนาไว้เป็นชนชาติใด บ้างก็ว่าพระอินทร์ใช้อิทธิฤทธิ์เรียกเอาดาบสรีกัญไชยขึ้นมามอบให้กับเจ้าเมืองผู้มีบุญาธิการพระองค์หนึ่ง ซึ่งพระองค์ก็ได้ใช้เป็นอาวุธคู่พระวรกายจนสามารถรวบรวมผู้คนตั้งตนเป็นอาณาจักรขึ้นมา อาณาจักรที่ว่านี้ จะเป็นล้านนา ล้านช้าง จะเป็นชนชาติขอม มอญ พม่า ก็สุดจะเดาได้


บางสำนวนก็ว่า พระเกตุมาลาเห็นปาฏิหาริย์ของดาบสรีกัญไชยจึงได้ไปงมขึ้นมาใช้คู่พระวรกาย และสืบทอดมาจนถึงคนรุ่นหลัง กลายเป็นดาบคู่บ้านคู่เมือง เป็นเครื่องแสดงพระเกียรติยศ หรือที่เรียกว่าเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในที่สุด


ตำนานมักจะเป็นเช่นนี้แล... เมื่อได้ฟังจากหลายแหล่ง จากผู้เล่าแตกต่างเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ กัน ก็มักจะได้เนื้อหาที่แตกต่างหลากหลาย เพราะผู้รจนาตำนานเหล่านี้ในอดีต ต่างปรารถนาจะสรรเสริญชนเผ่าของตนนั่นเอง แต่ไม่ว่าจะเป็นตำนานฉบับไหนก็ตาม ล้วนมีความเชื่อตรงกันว่า ดาบสรีกัญไชย เป็นดาบวิเศษที่พญาอินทร์ ท่านประธานให้ผู้มีบุญ เป็นของสูง เป็นเครื่องแสดงบุญาธิการ มีอิทธิฤทธิ์ในการปราบเหล่าร้ายศัตรู เป็นต้น


 ตำนานดาบสรีกัญไชยกับพระขรรค์ไชยศรี


ดาบสรีกัญไชยในส่วนที่เกี่ยวพันในแง่ของประวัติศาสตร์มีเล่าขานสืบทอดกันมานานตั้งแต่ยุคสมัยอยุธยากับแผ่นดินล้านนา เนื้อหารายละเอียดแตกต่างกันไปตามความเชื่อถือศรัทธาของผู้บันทึก แต่เนื้อหาหลักพอจะสรุปเป็นสังเขปได้ว่า ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ผู้มีบุญญาธิการ ทรงแผ่พระราชอำนาจไปทั่วแคว้น พระองค์มีอาวุธวิเศษคู่พระวรกายคือ “พระขรรค์ไชยศรี” ยามเมื่ออกรบทัพจับศึกก็แสดงอานุภาพเอาชนะข้าศึกได้ทุกครั้งไป เป็นพระแสงดาบที่นอกจากจะเป็นอาวุธคู่พระวรกายแล้ว ยังเป็นขวัญกำลังใจให้กับเหล่าแม่ทัพนายกอง ทหารหาญทั้งหลายที่ร่วมทัพอีกด้วย


ในขณะเดียวกันนั้น อาณาจักรทางล้านนาก็มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถเป็นอย่างยิ่งนามว่าพระเจ้าติโลกราช กษัตริย์ผู้เปี่ยมด้วยเดชานุภาพทั้งในการรบ และการทำนุบำรุงบ้านเมือง พระศาสนาเป็นที่ร่ำลือไปทุกทิศ ยุคนั้นเป็นเสมือนยุคทองของเมืองเชียงใหม่ มีการขยายเขตแดนแสดงอานุภาพออกไปอย่างกว้างขวางเช่นเดียวกับพระบรมไตรโลกนาถของทางอยุธยา


การแย่งชิงหัวเมืองที่เป็นยุทธศาสตร์ทั้งด้านการค้าและการสงคราม ถือเป็นภารกิจหนึ่งของพระมหากษัตริย์ในยุคนั้น ซึ่งหนึ่งในหัวเมืองที่เป็นที่หมายปองของอาณาจักรใหญ่ในย่านอุษาคเณย์ นี้ก็คือเมืองเชลียง ด้วยว่าเป็นหัวเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญ การแย่งชิงครอบครองเมืองเชลียงจึงเป็นเหตุให้เกิดข้อพิพาทขึ้นระหว่างกรุงศรีอยุธยากับอาณาจักรล้านนา


สองอาณาจักรยกทัพขึ้นประลองกำลังกันเป็นสามารถ อยุธยามีของวิเศษ คือ พระขรรค์ไชยศรี ส่วนพระเจ้าติโลกราชแห่งอาณาจักรล้านนาก็ทรงมีดาบวิเศษคู่พระวรกาย คือ ดาบสรีกัญไชย จึงมิได้เกรงกลัวต่อทัพกรุงศรีอยุธยาแต่อย่างใด ต่างก็ยกทัพเข้ารบพุ่งกันอยู่เนิ่นนานก็ไม่มีผู้ใดแพ้ชนะ ทำให้ขุนทหารทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมาก จนสุดท้ายก็ได้เลิกราทัพกลับไป ต่อมาเผ่าไทยทั้งสองหัวเมืองอ่อนแอลงเรื่อยๆ และเสียแก่พม่าทั้งสองอาณาจักรในที่สุด


เรื่องดาบสรีกัญไชยของพระเจ้าติโลกราช มีข้อถกเถียงกันอยู่ในปัจจุบันหลายกระแส บ้างเชื่อว่าพระเจ้าติโลกราชได้รับดาบอาญาสิทธิ์วิเศษนี้ตกทอดมาจากยุคพ่อขุนมังรายมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งนครเชียงใหม่ แต่บางตำนานกล่าวว่า ขณะกองทัพอยุธยายกมาถึงนั้น ทางล้านนาทราบถึงความวิเศษของพระขรรค์ไชยศรี จึงประชุมเสนาอำมาตย์ราชครู ผู้มีความรู้มนตราอาถรรพ์ ประกอบพิธีจัดสร้างดาบสรีกัญไชยขึ้น เพื่อรับมือกับพระขรรค์ไชยศรีโดยเฉพาะ


อีกตำนานหนึ่งกล่าวย้อนไปในอดีตกว่ายุคนั้นว่า ในสมัยที่อยุธยาขยายอาณาเขตเข้ามาสู่แผ่นดินล้านนา เมื่อทัพของอยุธยาได้มาตีเมืองต่างๆ ก็ไม่สามารถเอาชนะแย่งชิงได้สะดวก เนื่องว่าเหล่าทหารนักรบของล้านนานั้น มีคาถาอาคมที่แก่กล้า มีสุดยอดของขลัง อีกทั้งสักยันต์รูปรอยตามร่างกาย จึงทำให้ฟันแทงไม่เข้า ยากที่จะเอาชนะได้ เมื่อทองทัพของอยุธยาไม่สามารถที่จะแย่งชิงอาณาจักรล้านนาได้ จึงถอยทัพกลับไปยังเมืองของตน และได้ปรึกษาหารือกันว่า ทำอย่างไรจึงจะทำลายอาคมของเหล่านักรบของล้านนาได้ จึงได้ทำศาสตราวุธวิเศษขึ้น และให้ชื่อว่า “พระขรรค์ไชยศรี” ซึ่งได้ลงคาถาอาคมต่างๆ ตั้งแต่ขั้นตอนหล่อหลอมจนถึงกระทั่งตี และทำการลงอักขระปลุกเสกคาถาอาคมอีกมากมาย

เมื่อได้ดาบวิเศษดังนี้แล้ว เมื่อทัพอยุธยายกขึ้นมาตีชิงหัวเมืองฝ่ายเหนือ ก็สามารถเอาชนะคาถาอาคมของเหล่าทหารล้านนาได้โดยง่าย


เมื่อเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว เหล่านักรบ ผู้เก่งกล้าทางอาคมและพระเกจิของอาณาจักรล้านนา จึงได้ปรึกษาหารือกันถึงสาเหตุที่พระเวทย์คาถาด้านอยู่ยงคงกระพันถึงได้พ่ายแพ้ต่อคมดาบของอยุธยา เมื่อส่งคนไปสืบก็ได้ทราบถึงอานุภาพของพระขรรค์ไชยศรี เหล่าปราชญ์ล้านนาจึงได้คิดหาทางแก้ โดยการสร้างศาสตราวุธโดยลงย้อนคาถากลับ เหมือนกับเป็นการย้อนเกล็ดปลา หรือเกล็ดชะมด เพราะเกล็ดก็เหมือนเกราะกำบัง เมื่อขูดเกล็ดย้อนกลับก็สามารถถอดเกล็ดปลาหรือเกล็ดชะมดได้ ด้วยเหตุนี้จึงได้สร้างและตั้งชื่อดาบนั้นว่า “ดาบสรีกัญไชย” หรือ “พระศรีขรรค์ไชย” ตามสำเนียงภาคกลาง เป็นการย้อนเกล็ดตั้งชื่อกลับจากพระขรรค์ไชยศรีนั่นเอง


เมื่อกองทัพล้านนายกออกไปรับมือกับทัพอยุธยาด้วยดาบสรีกัญไชย ก็เสมือนคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ มีอาวุธที่ทัดเทียมกัน จึงสามารถป้องกันเขตขันธ์สีมา ไม่ให้ถูกยึดครองได้ ต่างฝ่ายต่างก็รบพุ่งเป็นสามารถแต่ไม่สามารถเอาชนะกันได้ จนเลิกราทัพกลับไป


นี่คือตำนานอิงประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเชื่อในตำนานใดก็ตาม อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า ดาบสรีกัญไชย เป็นดาบที่ทรงอิทธิฤทธิ์ สามารถป้องกันภูมิผีปีศาจ ป้องกันอาถรรพ์ ป้องกันภัย ชนะข้าศึกหมู่มาร หรือทำให้เกิดโชคลาภที่ดีได้ พึงมีไว้กราบไหว้ ให้เกิดเป็นมงคลแก่ผู้สักการบูชา จึงได้มีครูบาอาจารย์ที่ทรงพระเวทย์วิทยาคมของล้านนา หลายรูปหลายองค์ได้จัดสร้างดาบสรีกัญไชย ดาบศักดิ์สิทธิ์ตามตำนานล้านนา ให้ลูกศิษย์ลูกหาผู้เคารพนับถือได้มีไว้สักการะ ซึ่งก็มีแตกต่างกันหลายสำนัก


ดาบสรีกัญไชยของแต่ละท้องถิ่นมีรูปแบบที่แปลกแตกต่างกันไปตามแต่ผู้สร้าง เช่นทางน่านก็จะเป็นแบบหนึ่ง แถบลำพูนจะใกล้เคียงกับทางเชียงใหม่ ส่วนของลำปางบางครูบาอาจารย์ลงแตกต่างจากของเชียงใหม่โดยสิ้นเชิง บางตำราแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย ซึ่งอาจจะเป็นได้ว่าในอดีตเกิดการคัดลอกถ่ายเทศาสตร์โบราณ ดังนั้นเมื่อได้พบเห็นตำรับที่ได้รับความนิยมในท้องถิ่นที่แตกต่างกันจึงไม่ใช่เรื่องแปลก


เมื่อกล่าวถึงดาบสรีกัญไชยในอดีตที่โด่งดังที่สุด ได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จักแพร่หลายไปทั่วประเทศ เห็นจะไม่มีเกินดาบสรีกัญไชยของหลวงปู่ครูบาขันแก้ว วัดสันพระเจ้าแดง จังหวัดลำพูน ด้วยเชื่อว่า ท่านครูบาขันแก้ว และครูบาชุ่ม โพธิโก วัดชัยมงคล (วังมุย) ได้รับสืบทอดวิชาการสร้างดาบสรีกัญไชยจากครูบาเจ้าศีลธรรม (ศรีวิไชย) ซึ่งเป็นที่เล่าลือกันในอดีตว่า ครูบาเจ้าศรีวิชัย ได้รับดาบทองคำจากพระอินทร์ จนเป็นเหตุให้มีผู้กล่าวอ้างว่าครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทยมีดาบสรีกัญไชยฝักทองคำ ตกลงมาจากสวรรค์สู่แท่นบูชา ใช้เป็นอุบายเกลี้ยกล่อมซ่องสุมผู้คน คิดแข็งขืนต่อบ้านเมือง เรื่องนี้เลยกลายเป็นหนึ่งในหลายๆ ข้อกล่าวหา ที่ทำให้ครูบาเจ้าศีลธรรมต้องอธิกรณ์ถูกไต่สวน ซึ่งสุดท้ายครูบาเจ้าศีลธรรมก็สามารถยืนยันในความบริสุทธิ์ของท่านต่อสมเด็จพระมหาสมณะเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชเจ้า


ซึ่งในสำนวนการไต่สวน โดยกรมหมื่นชินวรสิริวัฒน์ พระญาณวราภรณ์ และ พระธรรมไตรโลกาจารย์ (สมณศักดิ์ในขณะนั้น) ที่มีถวายต่อองค์สมเด็จพระมหาสมณะเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราช ได้ยืนยันคำพูดของครูบาเจ้าศรีวิชัยว่า “ของเช่นนี้ (ดาบสรีกัญไชย) ท่านไม่มี”


ซึ่งข้อมูลนี้ตรงตามบันทึกคำบอกเล่าของครูบาชุ่ม โพธิโก วัดวังมุย ที่ว่าท่านครูบาเจ้าศีลธรรมได้เจอตำรายันต์เล่มหนึ่ง เป็นตำราคาถาอาคม ตลอดจนวิธีการสร้างดาบสรีกัญไชย (มิใช่ดาบ) ที่ถ้ำเชียงดาว จึงได้เก็บรักษาไว้ ต่อมาครูบาชุ่มซึ่งเป็นศิษย์ใกล้ชิด ได้คัดลอกตำราเล่มนี้ไว้ และสืบทอดมายังครูบาขันแก้ว วัดสันพระเจ้าแดง ผู้เป็นสหธรรมิกของครูบาชุ่ม และในเวลาต่อมาตำรายันต์เล่มนี้ได้สูญหายไปในที่ใด ไม่เป็นที่ปรากฏ


ในตำนานการสร้างเครื่องรางของขลังในอดีตมีพระเกจิอาจารย์มากมายหลายครูบาอาจารย์ที่ท่านได้สร้างเครื่องรางของขลังประเภทมีดและประเภทดาบซึ่งเป็นที่นิยมของบรรดาลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมาก เช่น หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ จังหวัดนครสวรรค์ เจ้าตำรับการสร้างมีดหมอปราบไพรีพินาศอันโด่งดังเลื่องลือชื่อ หลวงพ่อโสก วัดปากคลองบางครก จังหวัดเพชรบุรี เจ้าตำรับการสร้างมีดหมอเขาควายเผือก ส่วนทางภาคใต้ก็มีการสร้างมีดหมอหรือดาบกายสิทธิ์ของสำนักตักศิลาเขาอ้อเช่นกัน


สำหรับภาคเหนือเมืองล้านนานั้น ก็มีเกจิอาจารย์ที่โด่งดังมากในอดีต ที่ได้สร้างดาบสรีกัญไชย ด้วยเชื่อว่าเป็นดาบที่ใช้ลบล้างอาถรรพ์ คุณผี คุณคน ได้ฉมังนัก แต่ไม่ได้สร้างเป็นรูปทรงดาบ แต่ใช้การลงอักขระเป็นรูปดาบบนแผ่นทองแดงแทนการลงบนตัวดาบจริงๆ ทั้งนี้อาจเป็นด้วยว่า การหาวัสดุมาทำดาบเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยุ่งยาก แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นการลงอักขระบนแผ่นทองแดง หรือแม้กระทั่งผืนผ้ายันต์ ก็มีคุณวิเศษไม่ด้อยไปกว่ากัน ซึ่งตะกรุดยันต์ดาบสรีกัญไชยที่สร้างโดยครูบาขันแก้ว วัดสันพระเจ้าแดง และครูบาชุ่ม โพธิโก วัดวังมุยนี้ก็โด่งดังและในปัจจุบันก็เป็นสิ่งที่หายากอีกด้วย


ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า ตำราการสร้างและเสกดาบสรีกัญไชยในแผ่นดินล้านนานั้น มีตำรับวิชาที่แตกต่างกันมากมายหลายวิธี ทั้งที่แตกต่างกันในลักษณะของขนาดและแตกต่างกันที่อักขระยันต์ ตามรูปแบบของสูตรลงยันต์ต่างๆ ของแต่ละสำนัก แต่ทั้งนี้สำหรับพุทธคุณแล้วล้วนมีอิทธิฤทธิ์ไม่แตกต่างกัน ดังตัวอย่างหนึ่งที่หนานบุญ เมืองงาช้างดำ ได้พบข้อความจารึกในตำราโบราณกล่าวว่า ใครก็ตาม ที่ได้ถือเอาคุณแห่ง “พระยันต์ดาบสรีกัญไชย หรือยันต์มีดดาบสรีกัญไชย” นั้น ก็

“จักสมดั่งกำมักอยู่เย็นเป็นสุข จ๊ะนะผาบแป๊ฝูงผีสางมารแมนทั้งหลาย มีไจยจ๊ะนะต่อข้าศึกสัตถู มีป๋าระมีอำนาจวาสนามากมูลตุ่นเต้านักแล”


ความหมายก็คือ


“ใครก็ตามถ้าได้เคารพบูชาในยันต์ดาบสรีกัญไชย ก็จะประสพตามความปรารถนาทุกประการ จะอยู่เย็นเป็นสุข มีชัยชนะต่อข้าศึกศัตรู ผีร้ายทุกประการ มีบารมี อำนาจวาสนาสูงส่ง มากนักแล”


ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่า ตั้งแต่อดีตกาลจวบจนถึงปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนตำบลใด หากเป็นผู้ที่มีความเคารพนับถือในศาสตร์แห่งคุณพระคุณเจ้าและพระเวทย์อาคมแล้ว ก็มักจะนิยมเสาะหาเครื่องรางของขลังประเภทมีดหมอ มีดครู ดาบครูต่างๆ มาบูชาสักการะ และนำมาเป็นเครื่องช่วยป้องกันตัว ป้องกันครอบครัวให้อยู่เย็นเป็นสุขกันถ้วนหน้า


ตำรายันต์มีดดาบสรีกัญไชยหรือมีดดาบกายสิทธิ์ เป็นตำราการสร้างวัสดุอาวุธอาถรรพ์ที่เปรียบเสมือนเป็นอาวุธของพระอินทร์ พระพรหม พระนารายณ์ พระฤาษี และอาวุธของพระพุทธเจ้า มีคุณวิเศษมากนักตามความเชื่อของเกจิอาจารย์มาหลายยุคหลายสมัย ลักษณะของมีดดาบสรีกัญไชยที่ได้มีการบันทึกไว้คือ


ดาบขนาด ๑ กำมือ แทนคุณครูบาอาจารย์


ดาบขนาด ๓ กำมือ แทนคุณพระรัตนตรัยทั้งสามประการ


ดาบขนาด ๕ กำมือ แทนคุณพระพุทธเจ้าห้าพระองค์


ดาบขนาด ๙ กำมือ แทนคุณพระเจ้าทั้งหลาย คุณเทพ คุณอินทร์ คุณพรหมทุกๆ องค์ ทั่วทั้งจักรวาล เป็นต้น


จะเห็นได้ว่า คนโบราณหรือครูบาอาจารย์ในอดีต ท่านจะมีการสร้างอาวุธเครื่องรางของขลังต่างๆ แต่ละอย่างแต่ละชิ้นขึ้นมานั้น ย่อมมีคุณค่าและมีความหมายเป็นที่สุด กำหนดเอาคุณแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายมาเป็นตัวเชื่อมกับวัสดุที่ทรงคุณเหล่านั้นเสมอ เพื่อให้ผู้ที่นำเอาไปใช้ไปบูชานั้น ได้รับสิ่งที่มีคุณค่าและทรงคุณที่สุด



แหล่งข้อมูล ; เพจ เรื่องเล่าชาวล้านนา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ดินแดนล้านนา เมืองเชียงใหม่

บอกใจไว้รอเจ็บ แท้งก่อนเกิด หลังพับเก็บความคิดฝันเข้าแฟ้มไปแล้ว

ศาลาการเปรียญไม้ทรงโบราณ ที่อำเภอเสาไห้