เจ้านางทิพย์ธิดา(เจ้านางติ๊บสาสีลา) นางเสือดาว แห่ง รัฐฉานเชียงตุง
เรื่องราวชีวิตของสตรีผู้เคยสูงศักดิ์ ที่มีพระชะตาชีวิตที่โลดโผนท่านหนึ่ง......
เจ้านางทิพย์ธิดา(เจ้านางติ๊บสาสีลา)
นางเสือดาว แห่ง รัฐฉานเชียงตุง
เมื่อเรามองดูเจ้านางทิพย์ธิดา ก็เหมือนกับการมองลงไปในบ่อน้ำแห่งหนึ่งที่มี ใบหน้ารูปปั้นโบราณยิ้มละไมจมอยู่ที่ก้นบ่อและ ไม่มีใครกล้า พอที่จะลงไปงม ขึ้นมาได้ รูปปั้นจึงยิ้มอยู่ในบ่อน้ำ ชั่วนิจนิรันดร์หลังจากที่ได้พบกับเจ้านางทิพย์ธิดาแล้วทุกสิ่งทุกอย่างในรัฐฉาน ก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเลย Lord of The Sunset
เจ้านางทิพย์ธิดา เป็นธิดาในเจ้าฟ้าโชติกองไตเป็นพี่สาวต่างมารดาของเจ้าก้อนแก้วอินแถลงเจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงเจ้านางมีพี่น้องทั้งหมด 6 องค์ดังนี้
เจ้านางปอมป้ะ
เจ้านางแว่นทิพย์
เจ้านางทิพย์ธิดา
เจ้าหม่อมเสือ(เจ้าฟ้าเชียงตุงองค์ที่39)
เจ้านางขานคำ
และ เจ้าฟ้าก้อนแก้ว อินแถลง(เจ้าฟ้าเชียงตุงองค์ที่40)
ในบรรดาเจ้านาง แห่ง ราชวงค์เชียงตุงทั้งหมดนั้นเจ้านางมีบุคลิคลักษณะโดดเด่นเป็นที่สุดทั้งรูปร่าง หน้าตา บุคลิคมั่นอกมั่นใจในตนเองและ การแต่งกายที่มีรสนิยม มีสง่าราศี สมกับผู้เป็นเจ้านาง
เจ้านางเป็นผู้มีส่วนช่วยในการปกครองบ้านเมืองเมื่อแรกเริ่ม ปกครองเชียงตุง ในขณะนั้นเจ้านางทิพย์ธิดา อายุ 16 ปี เจ้าก้อนแก้ว 14 ปี ท่านจึงมีส่วนร่วมในการตัดสินใจต่างๆ ในสองปีแรกของการครองบัลลังค์เจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงของเจ้าฟ้าก้อนแก้ว อินแถลง ต่อมาเจ้านางทิพย์ธิดา ก็ได้เสกสมรส ระหว่างเมืองดังจารีตโบราณ กับ มะโยซา เชียงคำ มีบุตรชายด้วยกัน ๑ คน หลังจาก มีลูกชาย เจ้านางก็แยกทางกับเขาและกลับคืนสู่เชียงตุง เมื่อมาอยู่ที่เชียงตุงเจ้านางเดินทางไปกับน้องชายทำสงครามขับไล่กองกำลังชาวจีนจากนั้น เจ้านางขึ้นครองเมืองปู่หลวงอีก 4 ปีเพราะว่าเกิดสงครามกลางเมืองและพวกเขาต้องการเจ้าปกครอง สามีเจ้านางมะโยซา เชียงคำ สิ้นพระชมน์ในขณะที่ลูกชาย เจ้านาง อายุได้ ๑๑ ขวบเจ้านาง ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการเมืองเชียงคำ และ ปกครองยาวนานถึง ๑๑ ปี
จนกระทั่งบุตรชาย อายุได้ 22 ปี บรรลุนิติภาวะจึงได้มอบเมือง ให้บุตรปกครองต่อไปบุตรชายของท่าน ได้แต่งงานกับเจ้านางทิพย์เกษร ธิดาคนแรกของเจ้าฟ้าก้อนแก้ว(น้องชายเจ้านางทิพย์ธิดา)เจ้านางเสกสมรสกับ เจ้าเมืองเชียงคำ มีหลักฐานว่า เจ้านางทิพย์ธิดาสมรสใหม่กับท้าวพญาเมืองปูหลวง เเต่จากการให้สัมภาษณ์เจ้านางบอกเเต่เพียงว่าไปครองเมืองปู่หลวงต่ออีก 5 ปี ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องการสมรสครั้งที่ 2 เเต่อย่างใด?
สำหรับเรื่องของเจ้าหญิงทิพธิดานี้ ในหนังสือ“เที่ยวเมืองเชียงตุง และแคว้นสาละวิน”ก็มีกล่าวถึงท่านในวัยสาวตอนอังกฤษเข้าเมืองหลังจากอังกฤษตี ได้เมืองมัณฑะเลย์แล้วก็เนรเทศพระเจ้าสีป้อ กษัตริย์พม่า ไปอินเดียต่อจากนั้นอังกฤษ เริ่มเข้าไปจัดการรัฐไต โดยถือว่าเป็นของพม่ามาก่อน แต่ก่อนที่อังกฤษจะเข้ามายึดเมืองพม่านั้น หมู่เจ้าฟ้าเมืองไตก็ได้ต่อสู้กับ พม่าอยู่ก่อนแล้ว เริ่มรบกันที่เมืองนายก่อน พม่าระดมพลเข้ามา ปรากฏว่าเจ้าฟ้าเมืองนาย เมืองหนอง และ เมืองล๊อกจ๊อกสู้ไม่ได้เลยหนีมาเชียงตุง ดึงเอาเมืองเชียงตุงเข้าไปช่วยแล้วก็ได้ไปเชิญเจ้าชายลิมปิน มาเป็นแม่ทัพ
เจ้าชายลิมปิน เป็นโอรสองค์หนึ่งของพระเจ้ามินดงที่เกิดจาก มารดา ซึ่งเป็นนางละครในวังตอนที่พระนางอเลนันดอ มเหสีรองของพระเจ้ามินดง พยายามแผ่อำนาจเหนือพระนางนันมะดอ พระอัครมเหสี พระนางอเลนันดอ ได้กวาดล้างประหารเจ้าทั้งหลายทั้งเจ้าชาย และ เจ้าหญิงกว่า ๗๐ องค์ที่เป็นคู่แข่งจนเกือบหมดวัง เจ้าลิมปิน ลูกนางละครไม่ใช่เจ้าองค์สำคัญก็เลยรอดชีวิตมาได้ แล้วหนีลงเรือล่องไปย่างกุ้ง อังกฤษ เห็นว่าเป็นเจ้าชาย ก็เลยต้อนรับโดยการรับรองของรัฐบาล แล้วก็ไปได้ภรรยาที่ย่างกุ้งการที่อังกฤษต้อนรับ เจ้าลิมปินก็คิดเข้าข้างตัวเองว่ารัฐบาลอังกฤษสนับสนุน ดังนั้นเมื่อเจ้าฟ้าเมืองไต ทั้งสาม เชิญไปเป็นแม่ทัพเจ้าลิมปินก็ตกลงทันที
แต่เจ้าหน้าที่อังกฤษรู้เข้า ก็ไปเกลี้ยกล่อมให้ตกลงรับเบี้ยเลี้ยงชีพจากรัฐบาลอังกฤษเดือนละ ๖๐๐ รูปี โดยมีเงื่อนไขบังคับว่าเจ้าลิมปินจะต้องออกไปอยู่นอกเมืองพม่าจนตลอดชีวิต และ สละสิทธิทุกอย่างและจะต้องถือน้ำพิพัฒน์สัตยาว่าจะจงรักภักดีต่อพระราชินีแห่งประเทศอังกฤษแล้วอังกฤษก็ส่งตัวไปอยู่ที่เมืองกัลกัตตาจนสิ้นชีวิตที่นั่น เมื่อจัดการเจ้าลิมปินแล้ว อังกฤษก็ย้อนมาจัดการเจ้าฟ้าไตแคว้นต่างๆ เหมือนกับที่พม่าเคยทำมาก่อนแล้ว คือให้เป็นเจ้าฟ้าต่อไป แต่ต้องเซ็นสัญญา ซานัด (Sanad)ว่าจะต้องขึ้นอยู่ในปกครองของอังกฤษ และ ยอมให้อังกฤษมีสิทธิ และ อำนาจตามข้อที่บ่งไว้ในสัญญา
เชียงตุงนั้นเป็นแคว้นเดียวที่อยู่ฟากตะวันออกของน้ำสาละวิน เป็นเมืองใหญ่ และ สำคัญมากหลังจากที่จัดการเจ้าฟ้าเมืองอื่นๆแล้วอังกฤษก็เริ่มมาจัดการเชียงตุงในปีพ.ศ. ๒๔๓๔เชียงตุงนั้นอยู่ไกล คราแรกอังกฤษก็ไม่ค่อยอยากมาเท่าใดนัก จึงได้ส่งหนังสือถึงเจ้าฟ้าเชียงตุง ซึ่งในตอนนั้นคือ
เจ้าฟ้าก๋องคำฟู หรือ เจ้าเสือ
บอกว่าขณะนี้อังกฤษได้เมืองพม่า
ไว้ภายใต้อำนาจแล้วอำนาจ และ ผลประโยชน์อันใดที่เป็นของพม่า
ก็ย่อมตกเป็นของอังกฤษด้วย ดังนั้น
ขอเชิญเจ้าฟ้าหรือผู้แทนไปตกลงกัน
อังกฤษไม่ต้องการเครื่องบรรณาการ เหมือนอย่างแต่ก่อน แต่อยากให้เจ้าฟ้าเชียงตุงเร่งประกาศรับรู้อำนาจความเป็นใหญ่ของอังกฤษในดินแดนนี้ เจ้าฟ้าเชียงตุง ก็มีหนังสือแจ้งไปว่า แต่ก่อนเชียงตุงส่งส่วยให้พม่า ก็ไปถึงที่เมืองนายเท่านั้นแต่ถ้าจะให้ไปไกลถึงป้อมเสต็ดแมน( Fort Stedman อยู่ห่างจากเมืองหยองห้วย ๒ ไมล์ แถบทะเลสาบอินเล) นั้นไกลเกิน หนทางแสนลำบากจะไปสองสามคนก็ไม่ได้ และเข้าใจว่าผู้กำกับราชการ (Superintendent) คงจะไม่เดินทางโดยไม่มีคนคุ้มกันถ้าจะมา ก็ขอให้สิ้นหน้าฝนก่อนแล้วช่วยบอกกำหนดการ และ จำนวนคนที่จะติดตามมาด้วย
หนังสือที่เจ้าฟ้าเชียงตุงส่งไป แม้จะไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของอังกฤษ แต่มันก็มีนัยสำคัญเป็นที่เข้าใจว่าได้รับรองอำนาจความเป็นใหญ่ของอังกฤษ ในแคว้นเชียงตุงไปแล้วโดยปริยาย สมัยนั้นเจ้าฟ้าก๋องคำฟู อายุได้ ๑๗ ปีการตัดสินใจต้องอาศัยท้าวพญาผู้ใหญ่เป๋นคนคิดอ่านแทน ว่ากันว่าเจ้าฟ้าเมืองนายซึ่งเจ้าฟ้าก๋องคำฟู นับถือเสมือนลุงได้แนะนำว่าให้ยินยอมอังกฤษไปเสียเพราะยังไงก็สู้เขาไม่ได้ หมดหน้าฝนแล้ว อังกฤษก็มีหนังสือแจ้งมาเชียงตุงแล้วเซอร์ ยอร์ช สก๊อต กับคณะก็ยกมาเชียงตุงโดยจ้างม้าต่าง ของ หมู่ชน จีนฮ่อมาส่งเจ้าฟ้าก็จัดเตรียมที่ พักติดกับกำแพงเมืองไม่ไกลจากหอเจ้าฟ้า พอกางเต๊นท์เสร็จเจ้าฟ้าก๋องคำฟู ก็โผล่ไปเข้าโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าขบวนผู้ติดตามไป ก็มีจำนวนมากแถมยังถือดาบถือปืนไปด้วยฝ่ายคณะของอังกฤษก็หาว่า เจ้าฟ้าไร้การศึกษาไม่รู้ขนบธรรมเนียม คนตามขบวนก็ยังเบียดกันเข้าไปไปปิดทางเข้าเต๊นท์เกือบหมด จนหมู่ทหารซิกข์ที่ตามคณะอังกฤษมาต้องมากันคนตามขบวนออกไป เจ้าฟ้าก็เต็มที ไม่ยอมนั่งเก้าอี้ที่อังกฤษเอามาต้อนรับ แต่จะนั่งบัลลังก์ปิดทองสำหรับ เจ้าฟ้าเท่านั้น ที่หามติดตามมา
การเจรจาเริ่มด้วยการใช้ภาษาพม่า แต่ เจ้าฟ้า ไม่รู้ภาษาพม่า ต้องใช้ล่าม เหตุการณ์ดำเนินไปด้วยความอึดอัด
เล่ากันว่าเจ้าฟ้าได้แต่กำกระดาษ กับ สมุดบนโต๊ะเล่นไปมา แล้วก็เห็น กล้องยาเส้นฝรั่งวางอยู่บนโต๊ะ เลยเอามาลองคาบดูเมื่อสก๊อต บอกว่าจะไปเยี่ยมเยือนตอบแทน เจ้าฟ้า ก็พลุนพลันลุกออกไป
โดย ไมร่ำไม่ลาตามขนบแบบแผน พอเจ้าฟ้าออกไปไม่ทันไรเจ้านาง และ หมู่นางในที่แต่งหย้ององค์ด้วยเครื่องทรงอันงามอลังการก็พากันเข้าไป ในเต้นท์หนึ่งในนั้นเป็นพี่สาวของเจ้าฟ้าเองนายทหารอังกฤษ ๒ นายก็ออกมาต้อนรับสก๊อตเอาดอกไม้มาให้สาวๆปักผมสำหรับพี่สาวเจ้าฟ้า ก็เอาดอกใหญ่มาปักผมให้ แล้วบอกว่าจะขอปักด้วยตนเองเจ้านางก็บอกว่าขอกระจกมาส่องดูหน่อยสก๊อตก็ขอโทษที่ต้องเอามือไปจับผมเจ้านางก็บอกว่าไม่เป็นไร จะจับสักกี่ครั้งก็ได้ถ้าตั้งใจจะปักแต่ดอกไม้เท่านั้นพอส่องกระจกแล้ว เจ้านางก็เอากระจกส่งให้สาวใช้เอากลับคุ้ม แล้วก็บอกลาพากันกลับหอไป
เจ้านางตนนั้นก็คือ เจ้าหญิงทิพธิดา ในวัยแรกสาวเมื่อสก๊อตมาเชียงตุง เจ้านางชอบแวะเวียนไปเที่ยวหาแล้วไปทานอาหารเย็นกับสก๊อตเป๋นประจำจนพี่ชายของเจ้านางไม่พอใจตั้งใจจะไปฆ่าสก๊อตเสียตอนกลางคืน ก็ ระดมคนไปล้อมเต๊นท์ที่พัก เจ้านางกลัวว่าจะเกิดเหตุใหญ่ จึงเข้าไปปลุกสก๊อต แล้วพาหนีออกไปทางที่ไม่มีคนอยู่สก๊อตจึงรอดชีวิตมาได้ เซอร์ยอร์ช สก๊อต เขียนบรรยายถึงเจ้าหญิงทิพย์ธิดา เจ้าหญิงสังคมสมัยอังกฤษครองเมืองเชียงตุงไว้ในหนังสือ Burma and Beyond และScott of the Shan Hills
มีฝรั่งบันทึกถึงความไม่ลงรอยกันของเจ้านางทิพย์ธิดา และ บุตรชาย ผู้เป็นเมียวซาเมืองเชียงคำ นัดดาเจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงได้มาไหว้เทวดาประจำวัดจอมสักพร้อมด้วยมารดาคือเจ้านางทิพย์ธิดาผู้เลื่องชื่อแล้วมีปากเสียงกันด้วย เจ้านางทิพย์ธิดาเป็นพี่สาวต่างมารดาของเจ้าฟ้า เจ้านางมีบุคลิกที่ดีมาก ปัจจุบันเจ้านางอยู่ในวงสังคมชั้นสูงของพม่า เจ้านางนั้นร่ำรวยสวมใส่เครื่องประดับเพชรนิลจินดามากมายมีรายได้จากการค้าไม้สักและธุรกิจอื่นๆ อีกมากเจ้านางคิดเสมอว่าบุตรชายปกครองเมืองเชียงคำไม่ดีเท่าเจ้านางปกครองเอง ด้วยเหตุนี้ทั้งคู่จึงทะเลาะกันอยู่เสมอ
เมื่อขุนหอคำมีอายุครบ 22 ปี เจ้านางจึงมอบเมืองให้บุตรชาย หลังจากนั้น 5 ปีขุนหอคำได้ฆ่าคนรับใช้ในหอรัฐบาลอังกฤษจึงกักตัวขุนหอคำไว้ที่เมืองตองจี เเล้วยุบเมืองเชียงคำให้ขึ้นต่อเมืองนายมีนักเขียนชาวอังกฤษเดินทางไปพบขุนหอคำที่ถูกกักบริเวณอยู่ที่เมืองตองจี กล่าวว่า บุตรชายของเจ้านางทิพย์ธิดาหน้าตาหล่อเหลามากเเต่มีชีวิตความเป็นอยู่ค่อนข้างอัตคัต ดูไม่สง่าผ่าเผยเท่าผู้เป็นมารดา นักเขียนผู้นั้นสรุปว่า ลูกของวีรสตรีที่ยิ่งใหญ่มักจะอ่อนเเอเช่นนี้เหมือนกันหมด
Lord of The Sunset หนังสือเล่มเดียว ที่มีบทบันทึกการพูดคุยกับเจ้านางในวัย 69 ปีและเรื่องราวในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ท่านไม่เหมือนกับเจ้านางองค์ใด ที่เคยพบเจอมา หญิงผู้นี้เรียนงานบริหารบ้านเมืองจากรัฐเล็กๆเป็นหญิงมหัศจรรย์สามารถทำงานเหมือนผู้ชายได้ทุกอย่าง ฉันรู้สึกถึงอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ของท่าน ถึงแม้ว่าตอนนี้ท่านเป็นเพียงเจ้านางม่ายผู้ชรารับเบี้ยเลี้ยงจากรัฐเพียง น้อยนิดและครอบครัวไม่ได้เป็นเจ้านายสายตรง
แต่ท่านก็ยังทรงอิทธิพลจาก ประสบการณ์และความรู้ ท่านรู้ความเป็นไปในโลกของท่านสายตาอันคมกริบสามารถมองทะลุเรื่องราวต่างๆได้อย่างแม่นยำ ศีลธรรม ศาสนา
เรื่องราวที่แสนซาบซึ้งนั้น ไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อท่าน นอกจากท่านจะได้ประโยชน์ บางอย่างจากเรื่องราวเหล่านั้น ด้วยนิสัยแบบนี้นี่เองที่ทำให้ท่านเป็นนักพนัน ตัวยง
แต่ทว่านักพนันที่แก่ตัวลงมักจะยากจน
ท่านก็เหมือนคนส่วนใหญ่ที่เชื่อในดวงดาวท่านเคยร่ำรวยมาก่อนมีที่ดิน บ้าน ข้าทาสบริวารและ เป็นเจ้าของกิจการค้าขาย
ตอนนี้ท่านไม่เหลืออะไรแล้ว นอกจากเบี้ยเลี้ยงอันน้อยนิด อดีตท่านคงเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย สง่างาม และ กล้าหาญเหมือนราชสีห์ ตอนนี้คุณคงได้เห็นความน่าเกรงขามของหญิงที่ฉลาดที่สุดคนหนึ่งความหมายของชื่อ ทิพย์ธิดาซึ่งคงเป็นคำบาลีแบบเขิน ท่านอธิบายด้วยภาษาพม่าซึ่งยากแก่การเข้าใจ ฉันนึกว่าจะใช้ภาษาอังกฤษว่าอย่างไรดี สุดท้าย ก็ได้คำใกล้เคียงว่า
“The magical elixir---ยาวิเศษ
The Grand Paregoric—ยามหัศจรรย์
The Ambrosia of Heaven--
อาหารทิพย์แห่งสรวงสวรรค์”
ซึ่งชื่อเหล่านี้
ฟังแล้วเหมาะสำหรับหญิงผู้ร่ำรวย
และผู้ที่เหมาะสมสำหรับ ชื่อแบบนี้ก็คือ
เจ้านางทิพย์ธิดานั่นเอง ยิ่งนานไป
ฉันยิ่งประทับใจในบุคลิคภาพที่สง่างาม
ยิ่งใหญ่ของท่าน ท่านเป็นผู้หญิงที่เหมือนผู้ชายไม่ต้องการคำพูดที่อ่อนหวานสวยหรูคนอื่นอาจจะต้องเรียนรู้เรื่องการปกครอง บุคลิคภาพ และ โหยหาประสบการณ์ซึ่งไม่มีวันหาได้ในโรงเรียนแต่ผู้หญิงคนที่นั่งอยู่หลังรถนี้เป็นผู้ปกครองเชียงคำ ๑๑ ปีและเป็นเสาหลักในการปกครองของ เชียงตุงอีกหลายปี ครึ่งศตวรรษแล้ว
ที่ท่านปกครองคน เห็นสงคราม และ ความโลภมามากมาย
รูปร่างที่แสนบอบบาง และ แก่ชราของท่านรอยย่นปรากฏบนใบหน้าภายใต้ผ้าโพกศีรษะขนาดใหญ่เจ้านางเดินขึ้นบันไดสู่ระเบียงอย่างคล่องแคล่วเหมือนเด็กสาว แตกต่างจากหญิง ชราวัย ๖๙ ปีทั่วไป ท่านสวมเสื้อแบบฉานมีขนสัตว์บุด้านในนุ่งซิ่นไหมสีเชลนัทท่านนั่งลงที่โต๊ะน้ำชา เราสนทนากันด้วยภาษาพม่า เพียงแวบเดียวฉันก็เข้าใจว่าเสียงร่ำลือ ที่เกี่ยวกับ
บุคลิคของท่านนั้นไม่ ผิดเลย ท่านมีปัญญาเฉียบคม ชัดเจน และ มีชีวิตชีวาอย่างน่ามหัศจรรย์ อายุไม่ทำให้จิตใจของท่านห่อเหี่ยวลงได้เลยน้ำเสียงยังสดใสกังวานและเปี่ยม อำนาจริ้วรอยแห่งวัยและใบหน้าที่สดใสของท่านทำให้นึกถึงภาพเหมือนของ วอลแตร์
“ ฉันครองเมืองมา ๓ ครั้ง “ ท่านกล่าวกับฉันอย่างรวดเร็ว“ตอน นั้นฉันอายุ ๑๖ ส่วนน้องชายฉันอินแถลงอายุ ๑๔ ฉันครองเมือง ๒ ปีต่อจากพ่อของฉันที่ได้ตายไป เป็นปีเดียวกันกับท่านเซอร์ จอร์จ สก๊อตมาเยือนเชียงตุงครั้งมาร่วมงานถวายสัตย์ปฎิญาณต่อกษัตริย์อังกฤษ เมื่อสก๊อตมาถึง ฉันออกไปหาเขาในตอนค่ำพร้อมนางกำนัลกับอาห์มูดัน พ่อไม่ชอบสก๊อตและวางแผนฆ่าจึงส่งทหารพร้อมอาวุธไปล้อมเต็นท์เขา แต่ฉันไม่อยากให้เขาตายจึงพาเขาหนีออกจากวงล้อมในคืนนั้น”
“ทำไมท่านต้องช่วยชีวิตเขาไว้ละครับ?
” ฉันถาม
ท่านตอบว่า “ฉันคิดว่าฉานจะต้องมีผู้ดูแล
เผอิญฉันชอบอังกฤษ มากกว่าฝรั่งเศส”
ฉันคิดตามที่ท่านเล่า ถ้าสก๊อตเป็นชาวฝรั่งเศสท่านจะมีทีท่าอย่างไรหนอ?
ท่านเล่าต่อไปว่า
“เมื่อน้องของฉันขึ้นเป็นสอบวา ฉันก็แต่งงานกับมะโยซาเชียงคำ หลังจากฉันมีลูกชายก็แยกทางกับเขา และกลับคืนสู่เชียงตุง เมื่อมาอยู่ที่เชียงตุง ฉันเดินทางไปกับน้องชายทำสงครามขับไล่กองกำลังชาวจีน จากนั้นฉันครองเมืองปู่หลวงอีก ๔ ปีเพราะว่าเกิดสงครามกลางเมืองและพวกเขาต้องการฉัน สามีฉันตายไปในขณะที่ลูกชายอายได้ ๑๑ ขวบฉันได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการเมืองเชียงคำและ ปกครองถึง ๑๑ ปี เมื่อลูกชายฉันมีอายุ ๒๒ ปีเต็มฉันจึงสละตำแหน่งคืนอำนาจให้ หลังจากนั้นเพียง ๕ ปีเขาก็โดนปลด และ ฉันไม่ได้กลับไปครองเมืองอีก”
ฉันนึกถึงชายท่าทางหงอๆที่พบในตองจีลูกของวีรสตรีส่วนใหญ่มักจะอ่อนแอเช่นนี้
“หลัง จากที่เกษียณตัวเองจากเชียงคำแล้วฉันเริ่มทำการค้า” ท่านเล่าต่อ
“ฉันเดินทางไปทุกที่บนถนนสายนี้
ค้าขายทุกอย่าง เริ่มจากค้าช้าง
สุดท้ายฉันค้ารถยนต์”การเดินทางไปตองจีสมัยก่อนที่จะมีรถยนต์
จะต้องใช้เวลานานมากเลยนะครับ
“ ฉันพูดสนับสนุน
“ฉันเดินทางแรมเดือนไปทุกที่”
“โดยไม่มีผู้ชายคอยช่วยเหลือหรือครับ?”
“ฉันมีฬ่อ และติดอาวุธไว้ที่หัวของมัน”
“ท่านไปร่างกุ้งด้วยหรือครับ?”
“ใช่แล้ว ร่างกุ้ง เมาะละแหม่ง ข้ามน้ำข้ามทะเลถึงกัลกัตตาและเดลี มีอยู่ครั้งฉันปล่อยให้ฬ่อกินหญ้าในสนามเทศบาล เมืองร่างกุ้ง
ชองท่านเซอร์ จอร์จ ชอว์ คนสวนของผู้ว่าการเรียกเก็บค่าเสียหาย เมื่อฉันร้องเรียนเขาจ่ายเงินชดเชยให้ ท่านเซอร์เป็นสุภาพบุรุษอยู่เสมอแหละ ครั้งเมื่อเข้าเฝ้าพระราชินีแมรี่ คราวตามเสด็จพระเจ้าจอร์จที่ ๕ในเดลี
ฉันทำเครื่องประดับหายในระหว่างการเดินทางไม่มีทั้งแหวน หรือ สร้อยประดับร่างกายขณะที่รอรับเสด็จพระราชินีท่ามกลางหมู่ รานีที่ประโคมใส่เครื่องถนิมพิมพาภรณ์สุดฤทธิ์
พระราชินีตรัสว่า
“ โธ่เอ๋ย ทิพย์ธิดา ฉันได้ยินมาว่า
เธออุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อพบฉันและเครื่องประดับก็ยังมาหายอีก”
“หม่อมฉันทำเครื่องประดับหายแต่ก็ได้มาพบพระองค์เพคะ”
“ตอนนั้นพระราชินีถอดแหวนออกจากนิ้วพระหัตถ์และ มอบให้กับฉันเป็นสิ่งตอบแทนน้ำใจ”
“มาเข้าเฝ้าที่อังกฤษอีกครั้งสิครับ” ฉันเสนอแนะ
“สาย ไปแล้วล่ะ ตอนนี้ฉันแก่มากแล้ว มองฉันสิ ตอนนี้ยังนั่งมาหลังรถบรรทุก ดูเสื้อผ้าที่ซอมซ่อของฉันสิ คุณพูดถึงราชสำนักอังกฤษ ใช่ ฉันฝันว่าก่อนตายควรจะได้ไปสักครั้งแต่ตอนนี้มันสายไปแล้วทำไมฉันถึงไม่ทำกำไรจากการค้าช้างนะกำไรจากทุกสิ่งทุกอย่างที่ลงมือลงแรงไปมีอะไรที่จะดีไปกว่าเงินล่ะ คุณรู้ไหมเบี้ยเลี้ยงฉันเท่าไหร่
๗ ปอนด์กับ ๑๐ ชิลลิงต่อเดือนเองนะ ทีนี้คุณพูดถึงลอนดอนงั้นรึ”
เจ้านางรับประทานอาหารเสร็จ และ หันมาเล่าเรื่องสมัยที่ท่านเคยนำขบวนลาต่างออกเดินทางค้าขายและได้เจอเสือดาวไม่ไกลจากเมืองปิงนัก
“กรุณาเล่าให้พวกเราฟังด้วยเถิด เจ้าแม่”
บรรดาชาวบ้านต่างขอร้องและก้มลงกราบ
ขอความกรุณา เจ้านางดูพึงพอใจ
“ฉันขี่ม้านำหน้าขบวน”ท่านเล่าพร้อมกับทำเสียงกีบม้ากระทบหินดังกุบกับ ประกอบทำให้เห็นภาพ “
เมื่อมาถึงหัวมุมถนน ฉันเห็นเสือดาวตัวหนึ่งนอนอยู่บนเนิน หางของมันส่ายไปมาและตามันปรือเพราะว่ากำลังจะนอนหลับ”เจ้านางอธิบายท่าทางของเสือท่านมีวิญญาณนักแสดงโดยธรรมชาติเพราะว่าหน้าของท่านเริ่มคล้ายเสือดาวแล้วท่านส่ายศีรษะและไหล่ไปมาและหรี่ตาลง
“ฉันหยุดและสั่งให้ผู้ชายที่อยู่ข้างหลัง ส่งปืนมาให้ ฉันเล็งยิงเสือจากอานม้า พอดีฉันเสียการทรงตัว และ ม้าตกใจเสือดาวกระโดดผึง ตัดหน้าฉันลงไป หุบเขาเบื้องล่าง ฉันมองตามลงไป ยังทันเห็นมันอยู่ในพุ่มไม้ ฉันยิงซ้ำไปอีกพุ่มไม้ยังคงไหวยวบยาบ ฉันร้องไปว่า
“ ฉันฆ่าเสือตัวนี้ไม่ได้”
อันที่จริงแล้วลมต่างหากที่พัดพุ่มไม้ไหวยวบยาบฉันยิงเข้าที่หัวใจตั้งแต่นัดแรกแล้ว”.. Lord of The Sunset (ยวนลับแลง ถอดความ)
เจ้านางทิพย์ธิดา ในวัย 69 ปี เป็นเพียงเจ้านางม่ายผู้ชรารับเบี้ยเลี้ยงจากรัฐเพียง น้อยนิดแต่ท่านก็ยังทรงอิทธิพลจาก ประสบการณ์และความรู้ แต่ท่านมีด้านมืด คือท่านชอบเล่นไพ่ ด้วยนิสัยแบบนี้นี่เองที่ทำให้ท่านเป็นนักพนัน ตัวยง นักพนันที่ส่วนใหญ่แก่ตัวลง มักจะยากจนท่านเคยร่ำรวยมาก่อนมีที่ดิน บ้าน ข้าทาสบริวารและเป็นเจ้าของกิจการค้าขาย ในตอนนี้ ท่านไม่เหลืออะไรแล้ว ทุกอย่างสูณไปกับการพนัน การใช้ชีวิตแบบระหกระเหิน ที่อยู่บนความพึงพอใจของเจ้านางสิ้นสุดลง เมื่อย่างเข้าสู่วัยชราเจ้านางกลับมาพำนักที่เชียงตุง
บั้นปลายชีวิตเจ้านางทิพย์ธิดาย้ายไปอยู่เมืองตองยี และ สิ้นชีวิตที่นั่น ชีวประวัติที่โลดโผน ของเจ้านางทิพย์ธิดานั้นมีมากมายจนเล่าไม่หมด กล่าวกันว่าชีวิตของเจ้านางนั้นโลดโผน เเละ สง่างามจนกระทั่งวาระสุดท้าย เทพธิดา แห่ง ขุนเขารัฐฉานผู้มีชีวิตโลดโพน โจนทะยานประดุจ นางเสือดาว
ที่มา ; เพจ เรื่องเล่าชาวล้านนา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น