[ข่าวลุงพล] ต้นทางความดังลุงพล
ต้นทางความดังของลุงพล “นักข่าว,เจ้าหน้าที่,หรือ fc ของลุงเอง” และ “นักวิเคราะห์ผู้เปี่ยมไปด้วยสาระ แต่กลับจมปรักอยู่ในกองปฏิกูล”
ผู้เขียนมองว่าปรากฎการณ์ความโด่งดังของลุงพลที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ใช่เรื่องไร้สาระตามที่นักวิเคราะห์สายเกลียดลุงวิจารณ์กัน แต่มันกลับมีสิ่งที่ตรงกันข้ามกับคำวิจารณ์นั้นทับซ้อนอยู่อีกชั้นหนึ่ง นั่นก็คือลุงพลได้กลายเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของผู้ที่มีจิตใจเป็นนักต่อสู้ ที่ไม่ยอมจำนนต่อคำพิพากษาที่ผู้คนในสังคมได้ยัดเยียดให้ และเขาก็ได้พยายามทุกวิถีทางที่จะลุกขึ้นมายืนหยัดเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ทั้งโดยการอธิบายและพร้อมเสมอที่จะให้ความร่วมมือกับทุกๆฝ่าย ผ่านทางคำพูดและกริยาท่าทางที่ใสซื่อและตรงไปตรงมา ซึ่งเขาก็ได้พยายามสื่อสารกับผู้คนอย่างเปิดเผยและดูจริงใจ ตรงนี้นี่เองที่ทำให้ได้รับความเห็นใจจากผู้คนในสังคมเป็นจำนวนมาก และเมื่อนำมาประกอบกับการที่ลุงพลได้ถูกญาติข้างภรรยากล่าวหาอย่างเลื่อนลอย จึงได้พัฒนาจากความเห็นอกเห็นใจจากคนกลุ่มเล็กๆ จนขยายวงกว้างและได้กลายเป็นที่นิยมชมชอบของผู้คนจำนวนมากไปในที่สุด
จากชาวบ้านธรรมดาๆ ที่อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นชนชั้นล่างๆ ของสังคมนี้ ที่ได้พยายามลุกขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับคำพิพากษาของสังคมแบบไม่ยอมลดละ จึงทำให้เกิดกระแสชื่นชมและแสดงความเห็นอกเห็นใจอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน ซึ่งผู้เขียนเองก็ยังไม่กล้าฟันธงลงไปได้ว่า ปรากฎการณ์เช่นนี้ได้เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้นแล้วหรือไม่ แต่ก็ค่อนข้างที่จะแน่ใจอย่างมากว่า มันไม่น่าจะมีปรากฎการณ์ที่โด่งดังทะลุฟ้าสะเทือนดินเหมือนกับกรณีนี้มาก่อนเลย
และยังมีองค์กรที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ไปแบบเต็มๆ นั่นก็คือสื่อมวลชนเองก็ได้ถูกพิพากษาว่ามีส่วนสำคัญในการปั่นกระแสข่าวนี้ให้โด่งดัง เพียงเพื่อหวังที่จะสร้างเรทติ้งให้กับทางสถานีต้นสังกัด ในความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน กลับมองว่าไม่ว่าจะเป็นสื่อสารมวลชนจากสำนักใดก็ตาม ก็ไม่อาจที่จะสร้างกระแส”ลุงพลฟีเวอร์”โดยปราศจากปัจจัยสำคัญที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นได้ เพราะสื่อมวลชนไม่สามารถที่จะสร้างข่าวลวงที่นอกเหนือไปจากเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นจริง ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ผู้สื่อข่าวจำเป็นที่จะต้องนำเสนอแง่มุมที่หลากหลาย ต่อข่าวสารที่ได้รับความสนใจจากผู้คนอย่างคดีนี้ แม้จะมีบางครั้งที่ดูเหมือนว่าจะออกนอกลู่นอกทางไปบ้าง จากการนำเสนอเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อตามวิถีของชาวบ้าน แต่ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการที่จะสร้างความต่อเนื่องของข่าวสาร ในยามที่กระแสข่าวหลักเริ่มจะตีบตันทางข้อมูล แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ล้วนแต่เกิดขึ้นจริงตามที่สื่อได้หยิบยกขึ้นมานำเสนอทั้งสิ้น
และประเด็นสำคัญที่จะมองข้ามเสียมิได้อีกประการหนึ่งก็คือ ไม่มีสำนักข่าวใดที่จะรู้ล่วงหน้าว่าคดีนี้จะยืดเยื้อยาวนานจนกลายเป็นหนังอินเดียขนาดนี้ คาดว่าฝ่ายข่าวน่าจะตีกรอบระยะเวลาของคดีนี้ไว้ที่ประมาณหนึ่งอาทิตย์เป็นอย่างมาก แต่ทำไปทำมากลับกลายเป็นยืดเยื้อจนปาเข้าไปสองร้อยกว่าวันเข้าไปแล้ว และยังไม่มีวี่แววว่าทางเจ้าหน้าที่จะปิดฉากคดีนี้ลงในรูปแบบใด ครั้นนักข่าวจะทิ้งคดีที่กำลังเป็นที่สนใจของผู้คนก็จะดูกระไรอยู่ จึงต้องมีการปรับแผนเพื่อยืดระยะเวลาในการนำเสนอข่าวนี้ออกไปอีก จนทำให้ดูเหมือนว่าทางต้นสังกัดจงใจที่จะส่งนักข่าวลงไปฝังตัวในพื้นที่
แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งผู้เขียนกลับมองว่า ผู้ที่มีส่วนสำคัญในการสร้างความโด่งดังให้กับลุงพลกลับหาใช่ใครที่ไหนไม่ ก็เจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่ต่างก็พากันงมโข่งทำคดีล่าช้าอย่างไม่น่าเชื่อ จนทำให้เรื่องยืดยาวเป็นซีรี่ย์เกาหลี 3-4 เรื่องมาคลุกรวมกันอย่างที่เห็น ถ้าจะโยนความผิดในข้อหาปั่นข่าวให้กับสื่อมวลชนแต่ฝ่ายเดียว ผู้เขียนมองว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะไม่ค่อยแฟร์สักเท่าไหร่ แต่ผู้เขียนโฟกัสไปที่ระยะเวลาที่ยาวนานจนเกินพอดีของการทำคดีนี้ต่างหาก ที่ค่อยๆ บ่มเพาะจนกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปรากฎการณ์ลุงพลฟีเวอร์นี้ขึ้นมา เพราะถ้าท่านทำคดีนี้ให้อยู่ภายในกรอบระยะเวลาที่สมเหตุสมผล ผู้เขียนเชื่อว่าก็คงจะไม่มีทางที่จะเกิดปรากฎการณ์เช่นนี้ขึ้นมาได้เลย
แต่ก็ยังมีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อยเช่นเดียวกัน ที่ได้ตั้งข้อรังเกียจต่อการกระทำที่พวกเขาเรียกว่าไร้สาระ โดยมองว่ากรณีลุงพลนี้มันช่างเป็นเรื่องที่ไม่มีแก่นสารสาระเอาเสียเลย ซึ่งตรงจุดนี้ถือว่าเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาได้ว่า เพราะเหตุใดนักวิเคราะห์เหล่านั้นจึงได้คิดและมีสรุปออกมาเช่นนั้น แต่ถ้าจะให้ผู้เขียนลองคาดเดาแบบไม่ต้องใช้ตรรกกะที่ซับซ้อนวุ่นวายอะไรมากนัก อารมณ์ก็น่าจะคล้ายๆ กับตอนที่เรานึกไม่ชอบหน้าใครสักคนหนึ่ง โดยที่ตัวเราเองก็ไม่เคยรู้จักหรือพูดคุยกับเขาคนนั้นมาก่อนเลย
ดังนั้นผู้เขียนจึงใคร่อยากจะอธิบายเพื่อความเข้าใจที่ตรงกันสักนิดนึงว่า สรรพสิ่งในโลกย่อมจะมีบางสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่เสมอ เช่นในดำก็ย่อมมีขาว ในขาวก็ย่อมมีดำ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ในความมีสาระก็ย่อมมีสิ่งที่ไร้สาระ ในความไร้สาระก็ย่อมจะมีสิ่งที่มีสาระปะปนอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าคนคนนั้นจะมีสายตาที่แหลมคมเพียงพอที่จะมองเห็นมันหรือไม่
สุดท้ายนี้ก็อยากจะขอแนะนำกลุ่มคนเหล่านั้นสักนิดหนึ่งว่า หากมองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องที่ไร้สาระแล้วล่ะก็ ก็จงอย่าพยายามไปแตะต้อง ไม่ต้องประนามหรือแม้แต่จะพูดถึง ไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ทั้งสิ้น เพราะอะไรน่ะหรือ? ก็เพราะว่ามันเป็นเรื่องทีไร้สาระในความคิดของท่านไงล่ะครับ แล้วท่านจะมาเดือดร้อนกับเรื่องที่ท่านคิดว่าไร้สาระแบบนี้ไปเพื่ออะไร อารมณ์ก็คงจะคล้ายๆ เมื่อท่านเดินไปเจอมูลของสุนัขสักกองหนึ่ง ท่านก็อย่าเอานิ้วไปจิ้มมูลสุนัขกองนั้นขึ้นมาดม เพราะไม่ว่าตัวท่านเองหรือใครๆ ก็แล้วแต่ แค่มองดูก็รู้แล้วว่ามันจะต้องเหม็นแน่นอน การที่ท่านเอานิ้วไปจิ้มแล้วสูดดมกองมูลสุนัขนั้น แล้วมานั่งบ่นกะปอดกะแปดว่าทำไมมันถึงได้เหม็นอย่างนี้ล่ะ นี่ต่างหากล่ะครับ ที่ผมขอเรียกว่าเป็นการกระทำที่ไร้สาระแบบหลุดแกนโลกไปแล้วจริงๆ

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น