[ข่าวลุงพล] อย่าคึกคักบนโลกออนไลน์ แล้วยืนเดียวดายน้ำตาตกหน้าบัลลังก์
คนทุกคน มี 2 ด้านเสมอ
อยู่ที่ว่าใครจะเก็บด้านไหนไว้ข้างใน และด้านไหนไว้ข้างนอก แต่ไม่ว่าจะด้านไหนๆ
มันก็คือตัวตนของบุคคลนั้น มันก็มีวันที่จะแสดงออกมาได้
แต่ถ้าเลือกได้ทุกคนก็คงจะเลือกแต่ด้านดีๆ ออกมากันทั้งนั้นแหละ
ผมชอบข้อเขียนที่ทนายษิทรา ท่านได้โพสต์ลงในเฟซบุ๊คแฟนเพจของท่านเอง
อ่านแล้วก็ทำให้ได้รับรู้ถึงพลังบวกหลายๆ อย่างมากขึ้น ท่านเขียนโพสต์ไว้ว่า
โลกโซเชียลทำให้มนุษย์เรา
สามารถสื่อสารกันได้ง่ายขึ้น แรงขึ้น บางคนน็อตหลุด ลืมควบคุมอารมณ์
แสดงความคิดเห็นถึงผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นดารา คนมีชื่อเสียง
หรือคนไม่รู้จักด้วยอารมณ์ จนเกินขอบเขตของคำว่าวิจารณ์โดยสุจริตไปมากโข
ผมขอเตือนเลยนะครับ แซะกันเบาๆ พอขำขัน พอจะเอาผิดลำบาก
แต่ถ้าไปว่าร้ายเขาให้ได้รับความเสื่อมเสีย หมิ่นประมาทยิ่งเป็นเรื่องส่วนตัว
ยิ่งจริง ยิ่งผิด ฟ้องร้องกันมานักต่อนัก ยิ่งคู่กรณีมีชื่อเสียงหรือมีฐานะร่ำรวย
ความเสียหายยิ่งมีราคา บางคนถึงกับหมดเนื้อหมดตัวในการใช้หนี้
เขาถึงบอกอย่าทำตัวเป็นคนคึกคักบนโลกออนไลน์ แล้วยืนเดียวดายน้ำตาตกหน้าบัลลังก์
ไม่ลงชื่อจริง ไม่แท็คชื่อเขา ไม่ระบุตัวย่อ ไม่บุกเฟซ ไอจี ส่วนตัว
ไม่โจมตีแรงๆในเพจข่าว ก็มีโอกาสรอดคุกไปได้เยอะแล้วครับ แต่จริงๆ แล้ว
ต่อให้ไม่ระบุตัวตน แต่ทำให้บุคคลที่สามเข้าใจได้ว่ากำลังว่าใคร
ก็อาจผิดข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา แสดงความคิดเห็นอะไร ต้องระมัดระวังตัวกันด้วยนะครับ
หลังอ่านจบ ก็ให้นึกถึงหลายๆ โพสต์ หลายๆ
คอมเมนต์ ที่โจมตี ว่าร้าย ด่าทอลุงพลต่างๆ นานา บางโพสต์เล่นถึงโคตรเหง้าศักราช อาจเพราะคึกคะนอง
บางคนด่าราวกับว่าลุงพล ไปฆ่าพ่อฆ่าแม่ของเขา ถ้าเราๆ ท่านๆ ตรองอย่างมีสติ
คอมเมนต์กันแบบสร้างสรรค์ แลกเปลี่ยนความคิดกันว่า เรื่องนั้นผิดยังไง
เรื่องนี้ถูกยังไง หยิบยกหลักฐานมูลเหตุมากล่าวอ้างกัน ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี
แต่ถ้าบางที ยังโพสต์หรือคอมเมนต์ด้วยความคึกคะนอง
แล้วลุงพลอ่านพบเจอโพสต์หรือคอมเมนต์ที่บั่นทอนสุขภาพจิตจนเกินกลั้น บางทีแกอาจจะไม่ระเบิดอารมณ์
เพียงแค่การแย่งไมค์ของนักข่าวเท่านั้น ถ้าแกรวบรวมหลักฐาน แล้วยื่นฟ้องเราๆ ท่านๆ
ขึ้นมา อาจได้ไปยืนเดียวดายเช็ดน้ำตาที่หน้าบัลลังก์กันนะครับ

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น