ความในใจของผู้ห่วงใยคนหนึ่ง ที่มีต่อลุงพล
เท่าที่ผ่านมา ลุงพลก็ไม่เคยที่จะสร้างความเดือดร้อนให้กับใคร
มีแต่พวกที่เกาะกระแสต่างหากที่นำเรื่องปวดหัวมาให้แก
ซึ่งอันที่จริงแล้วผมก็ไม่ใช่ fc
ของลุงพล หรือของใคร
ผมเป็นแค่คนๆ หนึ่งที่สนใจติดตามความเคลื่อนไหวของคดีนี้ จนได้เห็นภาพคนๆ หนึ่งที่กำลังถูกโจมตีจากโลกโซเชียลอย่างไม่เป็นธรรม
เนื่องจากขณะนี้ มีทั้งเพจดังและช่องยูทูปอีกหลายต่อหลายช่อง
ที่พยายามปั้นเรื่องขึ้นมา เพื่อหวังจะโจมตีลุงอย่างไม่นึกละอายต่อบาปกรรม
ซึ่งก็มีคนฟังคนดูที่หลงเชื่อเรื่องเหล่านั้นเป็นจำนวนมิใช่น้อย แม้แต่ประเด็น 5
บาท 10 บาท ทั้งเพจและช่องที่หวังเพียงยอดซับยอดวิว ก็ยังอุตส่าห์หยิบเอามาเล่น
จนตอนนี้สมาชิกของเพจเหล่านั้น แทบจะกลายเป็นซอมบี้ไปหมดแล้ว
การที่ลุงไม่ตอบโต้แต่กลับหันหน้าเข้าวัดทำบุญของแกไปตามเรื่อง
จึงนับว่าเป็นสิ่งที่ดีงามมากแล้วในความรู้สึกของผม
ส่วนใครที่หลงเชื่อเรื่องปั้นแต่งเหล่านั้นผมก็ไม่เคยไปว่าเขา
เพราะเข้าใจดีว่าคนเรามีความคิดและการวิเคราะห์เรื่องราวในระดับที่ไม่เท่ากัน เริ่มจากปัญหาความบาดหมางที่เกิดขึ้นในขณะนี้
ผมแน่ใจว่า เป็นเพราะลุงพลชักเริ่มจะเบื่อหน่าย
กับกลุ่มคนที่หวังจะสร้างกระแสให้กับตัวเองเต็มที่แล้ว บางคนอาจจะแย้งว่า “Dr.ป เข้ามาในช่วงที่ลุงพล ยังไม่ดังเลยนะ แล้วจะไปหวังที่จะเกาะกระแสของลุงพลได้ยังไง” แต่เดี๋ยวก่อนนะครับ ฟังผมต่ออีกสักนิด Dr.ป เข้ามาในช่วงที่ลุงพลยังไม่ดังก็จริง
แต่ผมก็ไม่เชื่อว่า Dr.ป จะก้าวเข้ามาเพราะความปราถนาดีเพียงอย่างเดียว
ซึ่งลึกๆ แล้วอีกมุมหนึ่งของความปราถนาดีที่มอบให้นั้น Dr.ป น่าจะมองเห็นลู่ทาง ที่จะพาตัวเองเข้าไปอยู่ในกระแสของข่าวที่กำลังโด่งดังอย่างคดีนี้ เพื่อต้องการที่จะกระตุ้นแบรนด์”Dr.ป”ให้อยู่ในกระแสของความนิยมอย่างต่อเนื่อง
และที่เลือกยืนอยู่ข้างลุง พล ก็เพราะพิจารณาแล้วเห็นว่าแกไม่น่าจะใช่ฆาตกร
ถึงตรงนี้บางคนอาจจะแย้งขึ้นอีกว่า “เป็นไปไม่ได้ Dr.ป เขาดังมานานแล้ว
จะใช้กระแสของคดีนี้เพื่อสร้างความดังไปอีกทำไม” ผมก็จะตอบคำถามนี้ของเขาว่า
“รอให้ Dr.ป บรรลุอรหันต์จนไร้ซึ่งกิเลศเสียก่อนนะครับ
แล้วค่อยนำคำถาม โลกสวย แบบนี้มาถามผม”
แล้วหลังจากนั้น Dr.ป ก็ได้ยกระดับขึ้นมา เป็นผู้ที่ให้คำปรึกษาและให้ความช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ
จนเป็นที่มาของคำที่คนทั่วๆ ไปเรียกกันว่า”หนี้บุญคุณ” แต่ผมเองกลับไม่ได้มองว่า การให้ความช่วยเหลือของ
Dr.ป จะถือว่าเป็นเรื่องของหนี้บุญคุณเลยนะครับ เพราะถ้า Dr.ป ให้ความช่วยเหลือด้วยความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริงแล้ว
ก็ไม่ควรที่จะเรียกสิ่งที่ตนเสนอให้เหล่านั้นว่า”หนี้บุญคุณ”
เพราะ Dr.ป ได้กระโดดขึ้นมาบนเวทีแห่งนี้ ด้วยการตัดสินใจของตัวเขาเอง
และที่สำคัญลุงพล ก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรที่มากไปกว่ากำลังใจที่ Dr.ป ได้หยิบยื่นให้ ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นมาจากความประสงค์ของ Dr.ป เองทั้งสิ้น หรืออาจจะพูดได้ว่า ต่างฝ่ายต่างก็ได้รับประโยชน์จากความปรารถนาดีนี้ร่วมกัน
ลุงพล ก็จะได้เพิ่มโอกาสที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองมากยิ่งขึ้น ส่วน Dr.ป ก็จะได้ชื่อว่าเป็นนักบุญที่น่าเคารพยกย่องในสายตาของคนทั่วไป
แต่การที่ Dr.ป ได้ก้าวล้ำเส้นเข้ามาชี้นำบงการจนลุงพล
สูญเสียอิสรภาพทางความคิดและการตัดสินใจ โดยที่ลุงพล ไม่อาจโต้แย้งหรือทำตามความประสงค์ของตนเองได้เลย
เพราะถ้าหากไปโต้แย้งหรือไม่ปฏิบัติตามในสิ่งที่ Dr.ป
ได้ขีดเส้นให้แล้วล่ะก็ ทั้ง Dr.ป และ fc ต่างก็พร้อมที่จะนำคำว่า “ลุงพลเปลี่ยนไป” หรือคำว่า
“เนรคุณ” ไปแปะที่หน้าผากของลุงพลทันที ถึงตรงนี้ Dr.ป จึงเปรียบเสมือนผู้ที่แม้แต่คนดังระดับประเทศอย่างลุงพล ยังต้องให้ความเคารพยำเกรง
ซึ่งมันช่างเป็นภาพที่ดูยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างเสียเหลือเกิน
และเป็นการสร้างเสริมบารมีให้กับแบรนด์ Dr.ป
แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย
สำหรับประเด็นของเรื่องบุญคุณในมุมมองของผมนั้น หากมีใครสักคนที่ผมเคยพูดว่ารักและนับถือกันเหมือนเป็นพี่เป็นน้อง
แล้ววันหนึ่งเขาเกิดทำให้ภรรยาของผมรู้สึกขัดใจ
ผมก็จะไม่ตัดขาดกับเขาอย่างไม่เหลือเยื่อใยด้วยเรื่องเล็กน้อยแค่นี้แน่
จึงทำให้มีคำถามตามมาว่า คุณมีความจริงใจมากแค่ไหนที่ได้พาตัวเองเข้ามาในชีวิตของลุงพล
การที่ภรรยาของ Dr.ป
ได้ทำการนัดหมายแบบรวบยอดถึงสองวัน “เสาร์-อาทิตย์นี้อย่าออกไปไหน
เพราะจะมีธุระสำคัญเรื่องตามคดีน้อง” ในความคิดเห็นส่วนตัวของผม
อารมณ์แบบนี้มันเหมือนเป็นการนัดหมายกึ่งบังคับแบบกลายๆ
ราวกับว่าเป็นการกำหนดกฎเกณฑ์ให้อีกฝ่ายหนึ่งจำต้องปฏิบัติไปตามนี้ หาใช่เป็นการนัดหมายแบบมิตรสหายที่ควรจะยืนอยู่ในระนาบเดียวกัน
หรืออาจจะมองได้ว่านี่คือคำสั่งของผู้ที่ถือว่า ตนเองยืนอยู่ในจุดที่เหนือกว่า
ซึ่งหากไม่ปฎิบัติไปตามนี้ ก็พร้อมเสมอที่จะตัดขาดจากความเป็นพี่เป็นน้องได้ทันที
แล้วสิ่งที่ได้กล่าวมานี้มันก็เกิดขึ้นจริงๆ
ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันนะครับว่าลุงพล จะมีความรู้สึกอย่างไรกับการแสดงออกของผู้ที่พูดย้ำเสมอว่าตนเองคือ”มิตรแท้” แต่ถ้าจะมองว่านี่คือคำสั่งที่ลุงพล
จำเป็นเหลือเกินที่จะต้องปฏิบัติไปตามนั้น
เนื่องจากมันมีเรื่องของบุญคุณที่มาค้ำคอแกแล้วล่ะก็ ผมมองว่าทั้งน้องไอซ์ จินตหรา
หญิงลี ผู้ที่สร้างบ้านให้กับลุง รวมทั้ง fc ของลุงทั่วทั้งประเทศ
ทุกคนต่างก็มีบุญคุณกับลุงพลไม่ต่างไปจาก Dr.ป เช่นเดียวกัน
ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ ต่างก็พอใจที่จะยืนอยู่ในจุดของการเป็นเพื่อนฝูงพี่น้อง
โดยไม่มีใครคิดที่จะก้าวล้ำออกมาจากกรอบที่ได้กล่าวมานี้เลยสักคน
และที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ผมไม่เคยเห็นว่าลุงพล จะเรียกร้องอะไรที่มากไปกว่ากำลังใจที่บุคคลเหล่านี้ได้มอบให้
ซึ่งผมแน่ใจว่า ลุงพลก็คงรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของพวกเขาเหล่านี้เสมอมา
ผมจึงไม่เห็นด้วยที่ใครจะมองประเด็นดังกล่าวว่าเป็นเรื่องของบุญคุณ แล้วนำไปกำหนดกฎเกณฑ์ให้ลุงพล
จะต้องเร่งดำเนินการในสิ่งที่ตนเองกำหนดไว้ ซึ่งลึกๆ แล้วผมเชื่อว่าลุงพล ก็น่าจะรู้สึกอึดอัดใจกับการวางตัวของมิตรสหายผู้นี้มิใช่น้อย
ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยประกาศกับใครๆว่า ลุงพลเป็นเสมือนบุคคลในครอบครัว ผมจึงไม่แปลกใจเลยถ้าลุงพล
จะตัดสินใจที่จะกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง
เพื่อต้องการที่จะสื่อให้เพื่อนผู้นี้ได้กลับมายืนอยู่ในจุดของคำว่า “คนในครอบครัว” ไม่ใช่ยืนอยู่ในจุดของคำว่า “จ้าวชีวิต”
เหมือนที่เพื่อนผู้นี้กำลังปฏิบัติต่อเขา
ด้วยการปลีกตัวเข้ากรุงเทพฯโดยที่ตัวเขาเองก็ไม่ได้มีธุระสำคัญหรือเร่งด่วนอะไรเลย
การปิดโทรศัพท์มือถือคือคำตอบที่ชัดเจนที่สุดของเรื่องนี้
แล้วมันก็เกิดปัญหาขึ้นจริงๆ เนื่องจากลุงพล ได้ทำในสิ่งที่ขัดใจผู้ที่ถือว่าตนเองมีบุญคุณต่อเขาอย่างล้นเหลือ
ผมแน่ใจว่าการที่ลุงได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะทำเช่นนี้ ก็เพราะว่าเขาต้องการที่จะกลับมาเป็นลุงพลคนเดิม
กลับมาเป็นลุงพลที่แม้จะดูโดดเดี่ยว แต่อย่างน้อยๆ
เขาก็ยังสามารถที่จะคิดและตัดสินใจในเรื่องต่างๆได้ด้วยตัวของเขาเอง
สุดท้ายนี้ผมก็อยากจะฝากข้อความไปถึงลุงพลสักนิดว่า
หลังจากนี้ก็ขอให้พยายามหลีกเลี่ยงที่จะเป็นหนี้บุญคุณของใครอีก
และไม่ว่าต่อไปนี้ผลลัพธ์ของคดีจะออกมาในรูปแบบใดก็ตาม
ก็ขอให้คิดเสียว่าลุงได้ยืนหยัดต่อสู้ด้วยสองขาของตัวเองอย่างเต็มที่แล้ว
ถูกต้องค่ะทำดีจิงจะไม่เอ่ยทวงคุณ
ตอบลบครับผม
ลบเพจที่ด่าลุง เหมือนว่าลุงไปเตะปากพวกเขามาก่อนเลยโกรธ
ตอบลบ