[ข่าวลุงพล] หมาป่ากับลูกแกะ ลุงพลกับฝูงไฮยีนา อันไหนน่ากลัวกว่ากัน
หมาป่ากับลูกแกะ ลุงพลกับฝูงไฮยีนา อันไหนน่ากลัวกว่ากัน
ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยเป็นปัญหาที่เรื้อรังมานาน
โดยเฉพาะเรื่องที่ดินทำกินซึ่ง เป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญ แต่ที่ดินส่วนใหญ่ ถูกครอบครองโดยคนกลุ่มน้อยเพียงไม่กี่ตระกูล
มิหนำซ้ำนักการเมืองและผู้มีอิทธิพลในแต่ละท้องถิ่น ต่างก็ใช้อำนาจเงินและบารมี เข้าไปบุกรุกหรือฮุบเอาป่าไม้และที่ดินส.ป.ก.
ไปครอบครองโดยไม่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ขณะที่ชาวบ้านที่ยากไร้ เข้าไปทำกินเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเพียงไม่กี่ไร่
และอยู่อาศัยทำกินมาก่อนการประกาศเขตป่า-อุทยานฯ กลับถูกจับกุมดำเนินคดีและติดคุกไปแล้วนับไม่ถ้วน
ปัจจุบันมีชาวบ้านทั่วประเทศ ต้องคดีบุกรุกป่าและทำไม้สูงถึง 46,600 คดี
สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำ ด้านการถือครองที่ดินในประเทศไทย
ขณะนี้อยู่ในขั้นวิกฤติ โดยข้อมูลในปี 2561
ของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพบว่า
ประชากรที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสูงสุดร้อยละ 10
ถือครองที่ดิน 94.86 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 61.5 ขณะที่ประชากรที่ยากจนที่สุดร้อยละ
10 ของประเทศ
ถือครองที่ดินรวมกันเพียง 68,330 ไร่ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.1 หรือแตกต่างกันกว่า
853.6 เท่า ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจากมาตรการทางภาษี ที่ไม่มีการเก็บภาษีที่ดินในลักษณะอัตราก้าวหน้า
รวมทั้งยังไม่มีกฎหมายจำกัดการถือครองที่ดิน นอกจากนี้ปัญหาการกระจุกตัวของที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์
ส่งผลให้คนไทยจำนวนอย่างน้อย 50 ล้านคน หรือร้อยละ 76 ของคนไทยทั้งหมด
ไม่สามารถเข้าถึงที่ดินที่ทำกินที่มีเอกสารสิทธิ์ จึงเป็นแรงกดดันและจูงใจให้คนที่ไม่มีที่ดิน
ตัดสินใจเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐประเภทต่างๆ
รวมทั้งยังมีชุมชนท้องถิ่นและชุมชนชาติพันธุ์ต่างๆ เช่น บนยอดดอยสูง
และในเกาะต่างๆ ในภาคใต้ ถูกประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าอนุรักษ์ เขตอุทยาน
ทับที่ดินทำกินที่ชาวบ้านอยู่อาศัยมาก่อน ตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษอย่างน้อย 2,700 ชุมชน
เนื้อที่ประมาณ 5.9 ล้านไร่ โดยทุกวันนี้ชุมชนกำลังเผชิญปัญหาการถูกไล่รื้อทวงคืนผืนป่า
ซึ่งเป็นสถานการณ์วิกฤตและรุนแรงขึ้นตามลำดับ
ท่านทนายนิทัศน์ ประเสริฐเนติกุล ได้พูดถึงเรื่องที่ดิน
บริเวณที่สร้างองค์พญานาคปาริจิตรนาคาเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า
“หมาป่ากับลูกแกะ
ลุงพลกับฝูงไฮยีนา(Hyena) อันไหนน่ากลัวกว่ากัน”
เมื่อพิจารณาคดี ที่ลุงพลถูกเจ้าพนักงานตำรวจตั้งข้อหา
ทนายเห็นว่าเป็นการกล่าวหากันเกินความจริง และการกระทำของลุงพลที่ปรากฏตามสื่อ
ไม่น่าจะเป็นความผิด คดีมีไม้หวงห้าม คือไม้มะค่าแต้ไว้ในครอบครอง ปรากฏชัดเจนว่า
ไม้ดังกล่าวลุงพลไม่ได้ไปทำการลักลอบตัดมาจากป่า แต่เป็นไม้ที่ถูกน้ำกัดเซาะจนล้ม
และไหลลื่นจากภูเขาลงมาเบื้องล่าง
เมื่อลุงพลไปพบเข้าและเข้าใจว่าเป็นต้นตะเคียน จึงนำมาตั้งไว้ในที่เปิดเผย
เพื่อให้ประชาชนกราบไหว้ตามความเชื่อของคนโบราณ
ถามว่าถ้าต้นไม้ดังกล่าวไหลลื่นไปขวางกลางถนน หรือทำลายบ้านเรือน
หรือขวางทางน้ำ ทางเดิน
และมีการชักลากนำไปไว้ในที่ที่เหมาะสม
คนที่ชักลากไม้ดังกล่าว จะมีความผิดฐานครอบครองไม้หวงห้ามไหม
อย่าลืมว่าลุงพลไม่ได้เอาไม้ดังกล่าวมาเป็นสมบัติส่วนตัว
หรือแปรรูปเพื่อปิดบังหลบเลี่ยงเจ้าหน้าที่ ถ้าเช่นนั้น
ลุงพลอาจเข้าข่ายครอบครองไม้ต้องห้ามได้
ลุงพลเข้าใจว่าเป็นไม้ตะเคียน แล้วนำมาตั้งเพื่อให้ประชาชนกราบไหว้บูชา ก็เป็นการเข้าใจผิดหรือคลาดเคลื่อน เห็นได้จากวันที่เจ้าพนักงานป่าไม้ ไปทำการตรวจพิสูจน์คราวแรก ก็ยังเข้าใจว่าเป็นตะเคียนหิน แต่ต่อมานำไปตรวจทางเชิงวิทยาศาสตร์ จึงพบว่าไม่ใช่ไม้ตะเคียน เมื่อลุงพลไม่ได้นำไม้ไปครอบครองเป็นประโยชน์ส่วนตน และตั้งไว้ในที่เปิดเผย แสดงว่าลุงผลไม่มีเจตนาครอบครองไม้หวงห้ามแต่อย่างใด แต่เจ้าหน้าที่กลับตั้งข้อหาครอบครองไม้หวงห้ามนั้น เป็นการตั้งข้อหาตามกระแสหรือไม่อย่างไร อันนี้ประชาชนงงไม่เข้าใจจริงๆ อย่าลืมว่าไม้ตะเคียน หรือไม้มะค่าแต้ ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามทั้งสองชนิด ตั้งวางเป็นร้อยเป็นพันแห่งให้ประชาชนไปกราบไหว้ขอหวย แต่เคยมีรายไหนบ้าง ที่เจ้าหน้าที่ไปจับกุมดำเนินคดี ซึ่งลุงพลน่าจะเป็นตัวอย่างรายแรก ที่เอาไม้มาตั้งให้คนกราบไหว้บูชา ถูกดำเนินคดี อย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นธรรมกับลุงพลไหม
ข้อหาที่ ๒ บุกรุกป่าสงวนโดยการสร้างรูปพญานาค ถามจริงๆ เถอะ
ก่อนที่ลุงพลจะไปซื้อที่ดินและเอามาสร้างเป็นพญานาค ที่ดินแปลงนั้น มีคนอื่นครอบครองมาก่อนใช่ไหม
และเหตุใดการครอบครองของคนก่อนหน้านั้น จึงไม่มีความผิดฐานบุกรุกป่าสงวน ทั้งๆ
ที่เป็นที่ดินผืนเดียวกัน
แต่เมื่อลุงพลได้ซื้อมาตามแบบชาวบ้าน คือจ่ายเงิน
และรับรู้กันระหว่างผู้ซื้อผู้ขายว่า บัดนี้ที่ดินแปลงนี้เป็นของลุงพลแล้ว และลุงพลมาสร้างพญานาคบนที่ดิน
กลับเป็นความผิดฐานบุกรุกป่าสงวนไปได้ยังไง วิถีชีวิตชาวบ้าน เขาไม่เข้าใจหรอกว่า
ที่ดินในเขตป่าสงวนมีข้อห้ามอะไรบ้าง การซื้อขายเปลี่ยนมือระหว่างชาวบ้าน
ถือว่าเป็นของธรรมดาไม่แปลกอะไร
แต่ถ้าเป็นนายทุนจากที่อื่นมาซื้อ แล้วไปสร้างรีสอร์ท หรือทำสนามกอล์ฟ
อย่างนี้ถือว่าเข้าข่ายบุกรุกที่ป่าสงวนได้ เพราะรู้ทั้งรู้ว่า เป็นที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ์และอยู่ในเขตป่าสงวน ซึ่งทางราชการไม่สามารถออกเอกสารสิทธิได้
เพียงให้ประชาชนที่เคยอาศัยอยู่มาก่อน ปลูกบ้านพักอาศัย
และทำเกษตรกรรมในที่ดินที่ครอบครองต่อเนื่องกันมา แต่ถ้านายทุนมาซื้อจริง คดีบ้าๆ
แบบลุงพลไม่เกิดขึ้นแน่
ถ้าที่ดินแปลงนี้ไม่เคยมีการครอบครองมาก่อน ลุงพลเพิ่งไปแผ้วถางก่นสร้าง
หรือทำในลักษณะทำลายป่า อย่างนี้ซิถึงจะเข้าข่ายกระทำความผิดตาม
พ.ร.บ.ป่าไม้ได้ แต่ที่เห็นๆ
ลุงพลไม่ได้ทำอะไรไปมากว่าถางหญ้า และสร้างพญานาคเลย ถ้าลุงพลบุกรุกป่าสงวนจริง
ไม่ต้องให้เป็นข่าวดังหรอก ไม่เกิน 7 เจ้าหน้าที่ก็เข้ามาจับกุมแล้ว
ไม่ปล่อยให้สร้างมาเป็นเดือน ดังนั้นที่ลุงพลไม่ถูกจับก่อนหน้านั้น
เพราะเจ้าหน้าที่ป่าไม้พื้นที่เขาเห็นว่า ลุงพลไม่ได้บุกรุกป่า
แต่ทำในที่ที่มีการครอบครองต่อเนื่องกันมา จึงไม่สนใจ แต่เพราะมีอิทธิพลบางอย่าง วันนั้นลุงพลไม่ผิด
วันนี้ผิดจะทำไม เมื่อลุงพลเป็นแค่ชาวบ้าน ไม่ใช่นายทุนรายใหญ่
ข่าวเบื้องลึก
หลังไมค์มาหาทนายฟ้องว่า มีขบวนการขัดขวางความเจริญของชุมชนกกกอก
เพราะสิ่งที่ลุงพลทำเกิดติดตลาด จะมีประชาชนหมุนเวียนเข้าไปจนวุ่นวาย
ชาวบ้านก็จะมีรายได้ มีอาชีพใหม่เกิดขึ้น อาจทำให้อาชีพบางอย่างไม่ได้รับความสะดวก
จึงต้องล้มลุงพลก่อน เข้าใจหรือยังครับ ข่าวไทยรัฐเมื่อวาน มีการจับยาบ้า 4
แสนเม็ดที่ด่านกกกอก
อันนี้เป็นคำตอบชัดเจน
ท้ายสุดแต่ไม่สุดท้าย เห็นมีป้ายขนาดใหญ่ของป่าไม้
ไปปิดบริเวณที่ดินยึดหรืออายัดพญานาค อันนี้
เป็นคำสั่งทางปกครอง ให้ลุงพลโต้แย้งคำสั่ง (เป็นการใช้สิทธิ์ทางกฎหมาย ) อย่าปล่อยเลยตามเลย เพราะเงินที่สร้าง ลุงพลรับบริจาคมาจากประชาชน
ดังนั้น ลุงพลต้องต่อสู้ให้กับเจ้าของเงิน อย่าถอดใจปล่อยให้เจ้าหน้าที่ยึดไป
นั่นเท่ากับยอมรับความพ่ายแพ้ ทั้งๆ ที่เกมส์เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น
ลุงพลต้องสู้เพื่อความยุติธรรม และเพื่อความถูกต้อง กำลังใจจากทนายครับ
ที่ทนายฟังมาคนที่เกลียดลุงพล
ส่วนหนึ่งมาจากเสียผลประโยชน์ ส่วนหนึ่งมาจากการหมั่นไส้
และอีกส่วนหนึ่งรับจ้างมาล้มลุงพล หรือขัดแย้งส่วนตัว แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือ พวกกลัวความเจริญมาสู่หมู่บ้านกกกอก

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น