[ข่าวลุงพล] ข้อคิดดีดีจากทนายสมเกียรติ จิตมุ่งแต่คิดทำลายกันสถานเดียว คิดแล้วน่าสังเวชใจ
ข้อคิดดีดีจากทนายสมเกียรติ จิตมุ่งแต่คิดทำลายกันสถานเดียว
คิดแล้วน่าสังเวชใจ
ผมอ่านเจอข้อความของทนายสมเกียรติ โรจนวรกมล
ซึ่งท่านได้โพสต์ลงในเฟซบุ๊คส่วนตัวของท่านว่า
“ตามที่ได้อ่านข่าวต่างๆ มา
ตั้งแต่ไปบ้านกกกอกมา เห็นได้ชัดอย่างหนึ่งคือ มีคนบางคนมองคนอื่นว่าไม่ใช่คน
จึงไม่มีการให้เกียรติกัน หรือ ปฏิบัติแก่กันเยี่ยงคนด้วยกัน ทั้งๆ ที่
ทั้งสองคนนั้น ก็ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย จิตมุ่งแต่คิดทำลายกันสถานเดียว
คิดแล้วน่าสังเวชใจ”
หลังจากอ่านจบ ผมก็ได้ครุ่นคิดว่า การที่เราไปเที่ยวมองว่าคนที่คิดไม่เหมือนเรานั้นผิด
คนที่ใช้ชีวิตไม่สอดคล้องกับความเชื่อของเรานั้น “ไม่ได้เรื่อง” คนอื่นนั้นโง่ไปหมด มีแต่เราที่ฉลาดอยู่คนเดียว
“ใจเราแคบเหลือเกิน
เที่ยวตัดสินผู้คนไปทั่ว” ชีวิตนั้นมีหลากหลายรูปแบบ ไม่มีใครดีกว่าใคร
เราแค่แตกต่างกัน เป้าหมายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และถึงแม้จะมีเป้าหมายเดียวกัน
แต่หนทางไปสู่เป้าหมายนั้น ก็มีอยู่หลายล้านวิธี ใครกันจะบอกได้ว่าทางไหนดีกว่า
แต่ละคนมีรูปแบบชีวิต “ในแบบของตัวเอง” จะอะไรก็ได้ จะใช้ชีวิตแบบไหนก็ได้ ขอแค่ให้ชีวิตรู้สึกว่ามีความสุขก็พอแล้ว
ถ้าพูดแบบภาษาสมัยนี้ก็คงต้องบอกว่า “เอาที่สบายใจ” ที่หลายๆ คน ทะเลาะกันอยู่ทุกวันนี้
ไม่ว่าจะในโลกออนไลน์หรือในโลกความเป็นจริง ก็เพราะดันไป “ตัดสิน” คนอื่นว่าผิดที่คิดไม่เหมือนฉัน ทำไม่เหมือนฉัน
เป็นไม่เหมือนฉัน
หลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับลุงพล
ร้อยละ 90 เป็นข่าวในด้านลบไม่เว้นในแต่ละวัน กลายเป็นผู้ต้องคดีนับไม่ถ้วน
ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคดี ที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดีการตายของน้องชมพู่ รวมถึงคนรอบข้าง
ก็โดนร่างแหไปตามๆ กัน
ซึ่งคดีที่เป็นกระแสโจษขานกันในโลกโซเชียลก็คือ
เรื่องการทุบพญานาค ซึ่งมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ซึ่งนาคเป็นสัตว์ในตำนานของพระพุทธศาสนา
ความเชื่อความศรัทธาล้วนต่างกัน พุทธศาสนิกชน ล้วนมีความเชื่อในองค์พญานาคราช
เมื่อมีข่าวว่า อาจมีการทุบทำลายองค์ปู่พญานาคปาริจิตนาคา
ก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา บางคนถึงขั้นอาสามาทุบทำลายให้เอง
หากแม้นไม่มีใครกล้าลงมือ เอฟซีที่เห็นด้วย ก็กรี๊ดกร๊าดสนั่นโลกโซเชียล ทั้งๆ
ที่ผิดหรือถูก ก็ยังไม่มีคำสั่งจากศาลออกมา
ในความเป็นจริง ถ้าเราจะลองผลักผนังใจออกไปให้กว้างๆ
ขึ้น แล้วทำความเข้าใจว่า เราไม่ใช่ศูนย์กลางจักรวาล เราไม่ใช่ผู้คุมกฎ
ที่จะบอกได้ว่าแบบนั้นถูกแบบนี้ผิด หนทางชีวิตนั้นมีมากมาย
เกินกว่าจะต้องเลือกว่าทางไหนใช่ ทางไหนผิด “เปิดใจให้กว้าง
เราจะได้เป็นสุข ใจมีแต่ทุกข์ เป็นใจคับใจแคบ” ซึ่งในกรณีของการที่ว่า ทุบทำลายองค์ปู่พญานาคปาริจิตนาคานี้ก็เช่นกัน
คนที่มาฟ้องร้องจนเป็นถ้อยความ หรือแม้กระทั่ง คนที่อาสาจะมาทุบทำลาย คุณกำลังคิดอะไรอยู่
ทำไมคนที่ตัดสินลุงพล มักจะเป็นเพื่อน
และไม่ใช่เพื่อนของลุงพล หรือบางคน แทบจะไม่รู้จักเลยก็ว่าได้ แต่อะไรละ
ที่เป็นข้อมูลให้เขาคิด วิเคราะห์ และฟันธงในตัวลุงพลได้แบบไร้ที่ติแบบนั้น ดูแล้วเป็นคำถามที่ค่อนข้างยาก
ลองมาสังเกต คนที่ชอบตัดสินคนอื่นกันดีกว่า
1.
ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โดยตรง
เรียกว่าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นั้นเลยก็ว่าได้ แต่กลับ ค้นๆ ส่องๆ
ยิ่งกว่านักสืบโคนัน และผูกเรื่องราวได้ลงตัวดั่งนิยายชั้นยอด
บางสถานการณ์เลยถูกตัดสินไปได้อีกทางแบบง่ายๆ เลย
2.
ไม่รู้พื้นฐานของนิสัย
ที่บอกว่าเป็นพื้นฐานนิสัยใจคอ เพราะว่าต้องเคยเห็นทั้งตอนสุขและตอนทุกข์ ว่าลุงพลมีพื้นฐานในการแสดงออกแบบไหน
จึงจะไม่ตัดสินลุงพลแบบอคติ
3.
มีประสบการณ์เก่าๆ ที่ไม่ดีมาก่อน
การตัดสินคนอื่น ส่วนหนึ่งต้องมาจากอคติ ซึ่งการตัดสินคนอื่นแบบรวดเร็วได้
ต้องไม่ชอบอะไรบางอย่างของผู้อื่น หรือลุงพล มีลักษณะคล้ายกับคนที่ไม่ชอบในประสบการณ์เดิมของเขาอยู่แล้ว
4.
จิตใจลำเอียง หากมีฝ่ายที่ชอบกว่า
ก็ต้องตัดสินอีกฝ่ายแบบอคติ เพราะจิตใจเข้าข้างอีกฝ่าย เช่น คนที่ไม่ชอบลุงพล
มักจะเรียกฝั่งที่สนับสนุนลุงพลว่า เอฟซีข้างไข่ หรือติ่งในกะลาเหล็ก
โดยที่ไม่ย้อนมองดูตัวเองว่า ตัวเอง ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเขาเท่าไหร่
บางทีอาจโง่กว่าคนที่ตัวเองเรียกเขาว่า ติ่งข้างไข่ก็ได้
5.
ทำให้ผู้อื่นดูแย่
เป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจ บางครั้งที่คนเรา ตัดสินผู้อื่นแล้วรู้สึกภาคภูมิใจ
เพราะเหมือนได้พิทักษ์ความถูกต้อง และจัดการความผิดพลาดชั่วร้ายได้สำเร็จ
จนเหมือนเป็นฮีโร่ จึงเป็นเรื่องไม่ยากที่คนเรามักจะตัดสินผู้อื่น
การที่ไปตำหนิคนอื่นว่าแย่ มันไม่ได้ทำให้คุณดูเป็นคนดีขึ้นหรอกนะ คนจะดี
ต้องดีที่ตัวเอง ไม่ใช่ดีขึ้นเพราะกดคนอื่นให้ต่ำลง ด้วยการไปชี้หน้าด่าคนอื่นว่าเลว ตั้งใจจะทำตัวเองให้ดีเสียก่อน
ทำชีวิตตัวเองให้ดีเสียก่อน ผมไม่ติเตียนใคร เพราะตัวผมเองก็ไม่ใช่คนดี ผมไม่ยุ่งเรื่องใคร
เพราะหลายเรื่องผมก็ยังเอาตัวไม่รอด ผมไม่วิจารณ์ใคร เพราะผมเองก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ ผมไม่ถกเถียงกับใคร เพราะผมก็ไม่ได้คิดถูกทุกอย่าง ผมไม่ตัดสินใคร
เพราะตัวผมเองยังเคยพลาดพลั้ง ผมไม่ซ้ำเติมใคร เพราะผมเองก็ยังหวังคนอื่นให้อภัย ผมไม่ดูถูกใคร เพราะผมรู้ชีวิตมีขึ้นมีลง
ผมสนใจแต่จะแก้ไขที่นิสัยแย่ๆ ของตัวเองให้ดีขึ้น ผมจะไม่ไปตำหนินิสัยแย่ๆ
ของคนอื่นหรอก มันเสียเวลาชีวิต ไม่เคยมีใครดีขึ้นจากการชี้หน้าด่าคนอื่น มีแต่คนดีขึ้นจากการปรับปรุงและแก้ไขตัวเอง ถึงใครจะว่าเราอย่างไร นิ่งไว้จะช่วยทุกอย่างดีขึ้น เราอาจเถียงว่า ใครจะทนได้ปล่อยเขาหยามศักดิ์ศรี
ใครจะทนได้ หากมองอีกมุม
เรากำลังฝึกฝน ฝึกพัฒนาจิตให้สูงขึ้นต่างหาก การไม่ตอบโต้เขา ปล่อยให้เขาตำหนิไป
รับฟังเขา เราจะได้รู้ข้อเสียตัวเองมากขึ้น
เพื่อมาพัฒนาชีวิตตัวเองให้ดีขึ้น คนเราด่าคนอื่น ส่วนมากต้องการสะใจ
ต้องการระบาย
หากคนถูกด่าไม่รับมาคิดปรุงแต่งเพิ่มเติม
คำพูดเหล่านั้นก็จะทำอะไรเราไม่ได้ คำพูดไม่ดี เชิงดูถูก เหยียดหยาม ก็จะย้อนกลับไปหาตัวผู้พูดเอง ไม่ต้องทำอะไรโต้ตอบเขา
เพียงแต่ปล่อยเขาพูดไป เขาเหนื่อย เขาก็หยุดเอง คนที่มองหาและจับผิดแต่การกระทำของคนอื่น คือคนที่ต้องการเอาเรื่องความชั่วคนอื่นมากลบความชั่วตนเอง
ชอบเสพเรื่องไม่ดี
ชอบนินทาว่าร้ายคนอื่น ชอบตอมของเหม็นเน่า
เหมือนแมลงวันที่มันชอบตอมของเสีย ชอบมองคนในแง่ร้าย
สิ่งเหล่านี้เมื่อทำจนเป็นปกตินิสัย ชีวิตที่ชอบรับเอาแต่ของไม่ดีมากๆ
จิตย่อมไม่ดี มักจะทุกข์ตลอดเวลา สิ่งนั้นเรียกเป็นบาปติดตัวเขา ก็อย่าไปรับเอามา อย่าให้มันมาเป็นบาปติดตัวของเราด้วย
พัฒนาตัวเองให้ได้ทุกวัน สะสมวันละนิดหน่อยไปเรื่อยๆ เวลาจะช่วย
สติจะมา ปัญญาจะเกิด เรื่องราวเลวร้าย ปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้า วันหนึ่งข้างหน้า
ลุงพลก็คงจะผ่านมรสุมเลวร้ายเหล่านี้ไปได้อย่างแน่นอน

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น