[ข่าวลุงพล] ผู้ใหญ่บ้าน กกกอก ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ที่เกิดจากการกล่าวโทษหรือไม่
ศึกษากรณี ผู้ใหญ่บ้านกกกอก ตำบลกกตูม อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร
โดย ดร.สุกิจ พูนศรีเกษม นักวิชาการด้านกฎหมาย
ผู้ใหญ่บ้าน กกกอก ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
ที่เกิดจากการกล่าวโทษหรือไม่
กรณีท่านประธานชมรมแห่งหนึ่งย่านพระประแดง
ประวัติการศึกษา เรียนวิศวกร ย่านบางแคถนนเพชรเกษม ปัจจุบันเป็นนักศึกษาวิชากฎหมาย
ที่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งย่านคลองประปา ได้ให้ข้อมูลกับประชาชนว่า
จะจัดคดีให้ผู้ใหญ่บ้านกกกอกอีกคดีหนึ่ง โดยมีภาพตัดต้นไม่ในเขตป่า
ที่บ้านลุงพลอยู่อาศัย ผู้ใหญ่บ้านไม่ดำเนินการใดๆ ให้เป็นไปตามกฎหมาย ย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา
157 ต่อกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ
(บก.ปปป.) นั้น ทำได้หรือไม่ คำตอบสามารถทำได้ครับ แต่ผู้กล่าวโทษต้องคำนึงถึงผลกระทบ
ด้วยต้องเข้าใจว่า ตำรวจนั้นไม่ใช่ศาล
เมื่อรับแจ้งแล้วขบวนการยุติธรรม ปปท. หรือ ปปช.
จะต้องตั้งอนุกรรมการไต่สวน ตำรวจไม่มีอำนาจสอบสวนในความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา
157 ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำผิดตาม พรบ.ป่าสงวนแห่งชาติ
ตำรวจมีหน้าที่ต้องส่งคำกล่าวโทษ ไปยังปปช.เพื่อให้
ปปท.ดำเนินการโดยตรง ตามกฎหมาย ปปช.ที่แก้ไขใหม่ ภายใน 30 วัน
จะอ้างว่าไม่รู้กฎหมายเพื่อปฏิเสธความรับผิดนั้น หาได้ไม่
ที่นี้เรามาพูดถึง เมื่อมีการกล่าวโทษ
ผู้ใหญ่บ้านกระทำผิดในฐานะเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 157
เมื่อมีการตัดไม้ในป่าตามภาพถ่ายที่สื่อมวลชน นำเสนอข่าวในความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้นั้น
ก่อนหน้านั้น ตำรวจป่าไม้ รับคำกล่าวโทษของชมรมแห่งหนึ่ง โดย ตำรวจป่าไม้ ดำเนินคดีกับลุงพล และมีการจับกุมคุมขังลุงไว้ และอนุญาตให้ประกันตัวนั้น เป็นความผิดเกี่ยวพันกัน ผู้ใหญ่บ้านกกกอก ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ร่วมกระทำความผิดหรือเป็นผู้สนับสนุน การกระทำผิดของลุงพล โดยผู้ใหญ่บ้านไม่ดำเนินการใดๆ กับลุงพล ให้เป็นไปตามกฎหมาย ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ. ย่อมมีผลตามกฎหมายว่า เป็นความผิดเกี่ยวพันกัน
ตำรวจป่าไม้ไม่สามารถรับคดี ไว้สอบสวนเองและดำเนินคดีเองได้ เจตนาของกฏหมายไม่เปิดช่องให้กระทำได้
ทั้งนี้ มูลคดีจึงอยู่ในอำนาจศาลอาญาทุจริต ประพฤติมิชอบ
ตำรวจป่าไม้และศาลจังหวัดชั้นต้น ไม่มีอำนาจรับคดีไว้พิจารณา
ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอาญาทุจริตประพฤติมิชอบ พ.ศ.2549 มาตรา 3 อนุ 3 ประกอบมาตรา 8
และมาตรา 9
การที่ตำรวจป่าไม้รับคำกล่าวโทษ ของชมรมแห่งหนึ่งซึ่งเป็นบุคคลๆ
เดียวกับการกล่าวหา ผู้ใหญ่บ้านบ้านกกกอก โดยตำรวจป่าไม้ดำเนินคดีกับลุงพล
และให้ประกันตัวนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏในภายหลังการกระทำนั้น ย่อมเป็นการผิดหลวง
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27
ตำรวจป่าไม้ ต้องอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 15
ประกอบกับวิธีพิจารณาความอาญา ในคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2499 มาตรา 6
ให้เพิกถอนคำสั่ง อนุญาตให้ลุงพล ประกันตัวในชั้นสอบสวนนั้นเสีย และคืนหลักประกันให้ลุงพลไป
โดยผลของกฎหมายที่ให้อำนาจไว้ แล้วส่งสำนวนการสอบสวนที่เกิดจากการกล่าวโทษไปยัง
ปปช. เพื่อให้ ปปท.ตั้งอนุกรรมการไต่ส่วน เพื่อชี้มูลความผิด
ตำรวจป่าไม้ไม่มีอำนาจจับและกุมขัง หรือให้ลุงพลประกันตัวได้ ก่อน ปปท.
จะตั้งอนุกรรมการไต่สวน ผิดหรือไม่ผิดยังไม่รู้เลย
ตำรวจป่าไม้ต้องปฏิบัติ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอาญาทุจริต
พ.ศ. 2499 มาตรา 10 หากตำรวจป่าไม่ยังดำเนินการต่อไป โดยไม่มีกฎหมายรองรับอำนาจไว้ ย่อมมีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ทางราชการ
อันเป็นกฎหมายโดยเฉพาะ และกฎหมายอื่นเกี่ยวกับเสรีภาพ
มีตัวอย่างคำสั่ง หรือคำพิพากษาของศาลอาญาหลายคดีเป็นแนวทาง และตัวอย่างพนักงานอัยการ มีคำสั่งไม่รับคดีที่ตำรวจกองปราบ มีความเห็นสั่งฟ้องไปยังพนักงานอัยการ เช่น คดีนายแผน หวยสามสิบล้าน ที่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐร่วมกระทำผิดด้วย แต่อัยการไม่เอาด้วยคืนสำนวนให้ ปปช. ดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่ รูปคดีนี้จึงไม่มีอะไรแตกต่างกัน
ปปช.มีมาตรฐานการตั้งอนุกรรมการไต่สวน
โดยผู้กล่าวโทษเห็นตามสื่อ ต้องยืนยันข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดด้วย
เพื่อรับฟังประกอบนโยบายรัฐด้วย เมื่อรัฐบาลกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้จัดที่ดินให้ประชาชนทำกินและสร้างบ้าน ปักปันแนวป่าไว้ชัดเจน ผู้ใดบุกรุกตัดต้นไม้ ยึดครอง
สร้างบ้านในแนวป่าผิดกฎหมาย
ส่วนเขตที่ทำกินประชาชน แม้ตามแนวฎีกายังมีสภาพเป็นป่า
ก็สามารถ ตัด ถากถาง ขุดต้นไม้ออกได้เพื่อสร้างบ้าน เพาะปลูกพืชต่างๆ นอกเขตป่านั่นทำเหมือนกันหมดไม่ผิดกฎหมาย
เจตนาของกฎหมายนั้น ต้องดูที่เจตนา อันเป็นองค์ประกอบของความผิดด้วย
ต้นไม้ที่ลุงตัดอยู่ในที่ดินครึ่งไร่ของเขาไม่ผิด เป็นกิ่งของกระถินป่า มีประวัติของกรมป่าไม้พื้นที่
ที่แตกกิ่งจำนวน 3 ถึง 4 กิ่งจากต้นใหญ่ซึ่งคงถูกตัดนาน 20 ปีแล้ว
ลุงยิ่งไม่ผิด
ไม่รู้จับคนตัดต้นไม้ ก่อนที่กรมป่าไม้อนุโลมให้เกษตรกรทำกินและอยู่อาศัย
นอกเขตป่าสมบูรณ์ได้หรือยัง ชมรมต้องเป็นฝ่ายพิสูจน์
หากคดีขึ้นสู่ศาล ถ้าได้ความว่าผู้ครอบครองเดิม ให้ประชาชนในหมู่บ้าน
แบ่งปันที่ดินกันได้
จ่ายเงินหรือไม่ก็ได้
ลุงไม่ผิดอีก การสร้างพญานาคซึ่งใช้พื้นที่ไม่ถึง
50
ตาราวานั้น ลุงอยู่ในหลักเกณฑ์เป็นเกษตรกร ที่กรมป่าไม้อนุโลมให้ทำกิน
ผิดหรือไม่อยู่ที่ศาลตัดสิน ศาลจะดูภาพรวมว่า พญานาคมีประโยชน์ต่อประชาชนในท้องถิ่น ต่อเศรษฐกิจและประเทศหรือไม่ ถ้ามีประโยชน์ ก็ให้ผู้สร้างไปขอย้อนหลังต่อป่าไม้ก็จบ ถ้าศาลเห็นไม่มีประโยชน์ลุงพลอาจผิด (อันนี้อยู่ที่ประชาชนบ้านกกกอกที่จะไปเป็นพยานศาล)
ซึ่งแต่ก่อนชุมชนบ้านกกกอกเป็นหมูบ้านที่ไม่มีใครรู้จัก ลุงมาบุกเบิกให้ราษฎรมีที่ทำกิน
และเป็นหน้าตาของจังหวัด และฝายปกครองพื้นที่ ไม่มีการกระทำที่ผิดกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องยาเสพติด
เป็นการป้องกันอาชญากรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสังคม
ตอนนี้พญานาคสร้างเสร็จแล้ว ศาลคงไม่กล้าสั่งทุบ ฝ่ายรัฐบาลต้องขอมติครม.ว่าจะทุบ หรือไม่
เชื่อว่าไม่กล้าทุบเพราะมีประโยชน์
อนาคตลุงพล ถ้าไม่ได้ทำร้ายน้องชมพู่
ก็รอวันแจ่มใสอีกไม่นาน ถึงตอนนั้น
คนกล่าวหาลุงคงเงยหน้ามองตาผู้คนลำบาก กรรมจึงเป็นเครื่องชี้ เจตนาจึงเป็นกรณีศึกษา
ดร.สุกิจ พูนศรีเกษม

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น