[เรื่องสั้น] ละลิ่ว โดย...โซดา น้ำ
เรื่องสั้น ละลิ่ว
โดย โซดา น้ำ
ถ้าคุณเป็นผมคุณจะกล้ากระโดดลงไปไหม ความสูงก็แค่ชั้นดาดฟ้าของคอนโดฯ
สิบหกชั้นเท่านั้นเอง แต่ถ้าคุณจะย้อนถามประโยคเดียวกันนี้กับผมบ้างล่ะก็
ผมพูดได้เต็มปากเลยว่าผมกล้าโดด
และก็ขึ้นมายืนเย้ยฟ้าท้าดินอยู่บนนี้เรียบร้อยแล้วด้วย ตอนนี้ก็คงจะเหลืออีกแค่ขั้นตอนเดียวเท่านั้นเอง
นั่นก็คือก้าวเท้าออกไปสัมผัสกับความเวิ้งว้างที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า
จากนั้นชีวิตอันบัดซบก็จะจบสิ้นลงที่ลานจอดรถข้างล่างนั่น
ผมไม่อยากแบกหน้าอยู่บนโลกเน่าๆ ใบนี้อีกต่อไปแล้ว เหตุผลน่ะเหรอ
คุณอย่ารู้เลย สิ่งเดียวที่คุณน่าจะทำได้ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือ
คอยจับตาดูร่างของผมร่วงลงไปปะทะกับพื้นปูนแข็งโป๊กนั่นก็พอ
ซึ่งมันอาจจะเป็นภาพที่ค่อนข้างจะหวาดเสียวไปสักหน่อย แต่ไม่เป็นไร
ผมขอแนะนำให้คุณเอามือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดตาซะ
หรือไม่ก็เดินเลี่ยงไปจากตรงนั้นเสียก็สิ้นเรื่อง
ผมกลั้นหายใจพร้อมกับปิดเปลือกตาลงช้าๆ
ก่อนที่จะสปริงข้อเท้ากระโดดออกไปอย่างสุดแรง
ความตายกำลังจะมาเยือนผมในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้แล้ว
อา กระโดดตึกตายมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
ดูมันจะรวดเร็วเสียจนแทบจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลย
มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับลอยค้างเติ่งอยู่กลางอากาศเสียมากกว่า
ความรู้สึกบางอย่างบอกให้ผมค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ
อ้าว นี่ผมไม่ได้ร่วงลงไปแหลกเละอยู่ข้างล่างหรอกหรือนี่
แต่กลับอยู่ในสภาพแขนขากางอ้าลอยค้างอยู่กลางอากาศ
ทั้งร่างมีแค่เพียงดวงตาที่ยังคงทำงานของมันอย่างซื่อสัตย์ นอกนั้นต่างรวมหัวกันประท้วงการสั่งงานของสมอง
มองลงไปก็เห็นผู้คนรถราหยุดนิ่งเหมือนกับโดนสตัฟฟ์ ทุกสิ่งราวกับภาพวีดีโอที่ถูกกด
Pause ให้หยุดค้าง ครั้นพอเหลือบมองขึ้นด้านบนก็มีอันต้องตาเหลือก
เมื่อตรงด้านหน้าห่างจากร่างของผมไปประมาณแค่ช่วงแขนเดียว ปรากฏร่างของเด็กหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับผม
นอนตะแคงเอามือขวาท้าวกกหูอย่างสบายใจอยู่กลางอากาศ
ทว่าเมื่อผมพิจารณาภาพนั้นอย่างชัดเจนก็ต้องขนลุกซู่
เพราะไอ้หมอนี่รูปร่างหน้าตามันช่างเหมือนกับผมราวกับคนคนเดียวกัน แน่นอน มันเป็นภาพที่ทำให้ขนทุกเส้นพร้อมใจกันลุกโชนขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง
"ไง พวก"
แน่ะ มันยังกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงโทนเดียวกันกับผมไม่ผิดเพี้ยน
ไอ้เจ้านี่มันซีร็อกซ์รูปร่างหน้าตาอย่างเดียวยังไม่พอ
มันยังแอบก๊อปปี้น้ำเสียงอันไพเราะของผมเข้าให้อีก มันเป็นใครกันแน่
หรือจะเป็นวิญญาณที่ล่องลอยขึ้นมาจากด้านล่างของตัวผมเอง
"ผิด ไม่ใช่วิญญาณของนายหรือของใครทั้งนั้น นายยังไม่ตาย และนายก็ยังไม่ได้หล่นลงไปแหลกเละข้างล่างนั่นด้วย นายเพียงแต่ลอยค้างเติ่งอยู่ในสภาพนี้เท่านั้นเอง"
ให้มันได้อย่างนี้สิ ผมยังไม่ได้พูดอะไรออกไปแม้แต่ประโยคเดียว
เพียงแต่คิดสับสนวุ่นวายอยู่ในใจเท่านั้นเอง
ไอ้เจ้านี่มันมีหูทิพย์คอยแอบฟังความคิดคนอื่นด้วยหรือนี่
"ก็ไม่เชิง
แต่เราขอแนะนำให้นายอย่าไปสนใจมันเลยจะดีกว่า
เพราะเรายังมีเรื่องที่จะต้องคุยกันอีกมากมายเลยทีเดียว"
ความอดทนของผมใกล้จะหมดสิ้นลง
รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะถูกล่วงล้ำแม้กระทั่งความคิด รวมทั้งเริ่มไม่แน่ใจว่ามันจะรู้อะไรมากไปกว่านี้อีกหรือเปล่า
"อพิโธ่เอ้ย กะอีแค่เอ็นท์ไม่ติด
แฟนเปลี่ยนใจไปรักคนอื่น มันถึงกับจะทำให้นายลาออกจากความเป็นมนุษย์เลยหรือนี่
แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อนายได้ตัดสินใจลงไปแล้วก็ไม่เป็นไร แต่ก่อนที่นายจะตาย เราอยากจะให้นายได้เห็นอนาคตข้างหน้าของตัวเอง
ในกรณีที่นายเกิดเปลี่ยนใจไม่ฆ่าตัวตายในวันนี้"
ผมเปล่งเสียงตะโกนก้องอยู่ในใจจนหูอื้อ "ไม่เอา ไม่ดู ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น
กูอยากตาย ได้ยินมั๊ยไอ้บ้า กูอยากตาย"
"แต่นายต้องดู สิ่งที่นายจะได้เห็นล้วนเป็นภาพที่เกิดขึ้นจริงทั้งสิ้น
ไม่มีการแต่งเติมเสริมต่อแม้แต่นิดเดียว อย่าปฏิเสธอีกต่อไปเลย
เพราะภาพเหล่านั้นกำลังจะปรากฏแก่สายตาของนายเดี๋ยวนี้แล้ว"
ผมสบถคำหยาบคายอยู่ภายในใจอีกหลายประโยค หลังจากที่มีภาพจางๆ
ปรากฏขึ้นมาในความคิดของผมจริงๆ มันเป็นภาพพร่าเลือนที่กำลังจะปรับตัวแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ
ทว่ายิ่งหลับตาภาพเหล่านั้นก็ยิ่งทวีความชัดเจนขึ้นตามลำดับ
อีกทั้งรู้สึกคล้ายกับกำลังต่อสู้กับจิตใจของตัวเองจนอ่อนล้า
ซึ่งในที่สุดผมก็ยอมปล่อยใจให้คล้อยตามมันไปโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง
"ว่าไงจ๊ะ ไปกราบพ่อขุนด้วยกันไหมจ๊ะตุ้ย"
ผมเห็นเด็กสาวคนนั้นเอื้อมมือมาแตะที่ไหล่ผม
และดูท่าทางว่าผมจะสนิทสนมกับเธอเป็นพิเศษ
เพราะเห็นพูดคุยกันอีกสองสามประโยคก็เดินตัวปลิวไปด้วยกัน อ้อ ผมพอจะรู้แล้ว
หลังจากที่เอ็นท์ไม่ติดผมก็มาลงเรียนที่รามคำแหง และเด็กสาวคนนี้ก็น่าจะเป็นคล้ายๆ
กับคนพิเศษของผมแน่ๆ เลย แน่ะ เดินจูงมือกันซะด้วย
เธอช่างเป็นหญิงสาวที่สวยงามน่ารักอะไรจะปานนั้น
ขนาดที่ว่ายายไก่ที่สลัดผมทิ้งอย่างไม่เหลือเยื่อใย
ยังต้องหลบชิดซ้ายตกถนนวงแหวนรอบนอกไปเลยก็แล้วกัน
เรื่องราวดำเนินเรื่อยมาจนกระทั่งผมเรียนจบ ไม่ได้จบแบบธรรมดาเสียด้วย
เพราะยังมีดีกรีเกียรตินิยมพ่วงท้ายมาอีกตำแหน่ง
มิหนำซ้ำยังทะลึ่งเลยเถิดไปต่อโทต่อเอกถึงอเมริกาโน่น
และในที่สุดก็คว้าคำว่าด็อกเตอร์มาประดับหน้าชื่ออย่างสมเกียรติ
อา ชีวิตวัยเรียนช่างราบรื่นเกินกว่าที่ผมคาดคิดเอาไว้จริงๆ
ส่วนในด้านความรักก็น้อยหน้าเสียเมื่อไหร่ สาวสวยคนนั้นก็ยังคงติดต่อคบหากับผมไม่เปลี่ยนแปลง
และทำท่าว่าจะเป็นความรักที่มองข้ามไปถึงอนาคตอันยาวไกล
เป็นความรักในแบบที่ผู้ใหญ่พึงปฏิบัติต่อกันอย่างอ่อนโยน
ซึ่งมันช่างต่างกับความรักจอมปลอมของผู้หญิงที่ทำให้ผมต้องชอกช้ำ
ผู้หญิงที่ทำให้ร่างของผมต้องมาลอยเคว้งคว้างอยู่บนนี้
ผมมองภาพความสำเร็จในช่วงชีวิตวัยเรียนอย่างตื้นตัน
ถ้าผมสามารถมองเห็นรอยยิ้มของตัวเองในขณะนี้ได้ล่ะก็
เชื่อว่าผมจะได้พบกับรอยยิ้มที่กลั่นออกมาจากส่วนลึกของจิตใจอย่างแน่นอน
ผมเชื่อเช่นนั้นจริงๆ
"ท่านรัฐมนตรีคะ
สมาชิกพรรครออยู่ที่ห้องประชุมเรียบร้อยแล้วค่ะ"
ผมเห็นตัวเองพยักหน้าขึ้นลงสองสามครั้ง แต่เอ๊ะ! ประเดี๋ยวก่อน
ผมว่าท่าทางเรื่องนี้มันจะบ้าไปใหญ่แล้ว ผมเนี่ยนะเป็นถึงรัฐมนตรี
ต่อให้ตายอีกกี่ชาติก็ไม่เห็นวี่แววว่าจะก้าวไปถึงขั้นนั้นได้สำเร็จ
อีกทั้งรูปร่างหน้าตาก็อยู่ในช่วงอายุสักสามสิบกว่าๆ เท่านั้นเอง แต่ก็ช่างมันเถอะ
ผมชักกระหายใคร่รู้เรื่องราวของตัวเองมากขึ้นทุกทีแล้ว
ผมอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามกับตัวเอง
ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ผมต้องพลิกข้อมือดูนาฬิกาอยู่บ่อยๆ
และอะไรที่ทำให้ผมต้องรีบบึ่งรถกลับบ้านทันทีที่เลิกงาน
แล้วผมก็ได้พบคำตอบในชั่วระยะเวลาไม่นานนัก นั่นไง ผมเลี้ยวรถหายเข้าไปในคฤหาสน์หลังโตโอ่อ่านั่น
ก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่เปลสองหลังนั้นทันทีที่เข้าไปในบ้าน
โดยมีหญิงสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมนั่งรอคอยอยู่ก่อนแล้ว
ผมเห็นตัวเองชะโงกหน้าไปที่เปลสองหลังนั้นสลับกันไปมา
พลางวาดมือไปโอบไหล่หญิงสาวคนนั้นอย่างทะนุถนอม
ผมเพิ่งจะเห็นหน้าเธอชัดๆในตอนนี้เอง
เธอคือหญิงสาวที่เคยชวนผมไปกราบพ่อขุนสมัยเรียนมหา'ลัย
ในขณะที่ตอนนี้เธอได้มอบพยานรักให้กับผมรวดเดียวถึงสองคน
ผมรู้แล้วว่าทำไมต้องรีบบึ่งรถกลับบ้านทันทีที่เสร็จงาน นั่นไง ลูกแฝดชายหญิงที่เพิ่งจะลืมตาดูโลกได้เพียงไม่กี่วัน
และนั่น ภรรยาผู้คู่ควรแก่การเป็นแม่ผู้ประเสริฐของลูกๆ
ผมเผลอหลั่งน้ำตาให้กับครอบครัวที่แสนจะอบอุ่น
ผมหมายถึงชายหนุ่มผู้กำลังรุ่งโรจน์กับตำแหน่งหน้าที่ทางสังคม
หญิงสาวผู้งดงามเพียบพร้อมไปทั้งร่างกายและจิตใจ และที่สำคัญที่สุด
เทพบุตรและเทพธิดาผู้กำลังหลับใหลอยู่ในเปลทั้งสองหลังนั่น
"คุณปู่ครับ โตขึ้นผมจะเป็นนักบินให้ได้เลยครับ
ไม่เชื่อคุณปู่คอยดูก็แล้วกัน"
ผมเห็นตัวเองนั่งอยู่บนเก้าอี้สีขาวภายในสนามหญ้า
โดยมีเด็กชายอายุราวๆ ห้าหกขวบนั่งแหม่ะอยู่บนตัก
คะเนว่าอายุของผมคงจะปาเข้าไปสักหกสิบปลายๆ เห็นจะได้
มือที่เริ่มเหี่ยวย่นลูบไล้ไปมาที่เส้นผมสลวยดำขลับของเด็กน้อย
สัญชาติญาณบอกผมว่าทั้งรักทั้งหลงหลานชายคนนี้ขนาดไหน
ยิ่งได้ยินคำพูดอันไร้เดียงสาประโยคนี้เข้าด้วยแล้ว
ยิ่งทำให้อดไม่ได้ที่จะใช้ฝ่ามือขยี้เส้นผมของแกอย่างรักใคร่
"หลานจะต้องทำได้อย่างแน่นอน ฟังปู่นะ
ไม่มีอะไรที่คนที่ตั้งใจจริงจะทำไม่ได้ จะมีก็แต่คนที่สิ้นคิดเท่านั้นเอง
ที่จะละทิ้งความตั้งใจเพียงเพราะอารมณ์แค่ชั่ววูบ"
รอยยิ้มอันบริสุทธิ์ถูกประดับอยู่ที่ริมฝีปากของเด็กน้อย
ก่อนที่ชายชราจะแนบแก้มลงบนศีรษะเล็กๆ ของหลานรัก ในขณะที่ผมจ้องมองภาพนั้นด้วยดวงตาที่เอ่อชุ่มไปด้วยหยาดน้ำ
"คุณปู่ครับ นั่นคุณพ่อกับคุณแม่ถือเค๊กวันเกิดมาให้หนุ่มเป่าแล้ว
คุณปู่ต้องช่วยหนุ่มเป่าด้วยนะครับ
ไม่งั้นหนุ่มไม่ยอมแบ่งเค๊กให้คุณปู่ทานด้วยล่ะ"
ยังไม่ทันขาดคำของการตัดพ้ออันไร้เดียงสา
ภาพแห่งความประทับใจของสองปู่หลานก็เริ่มเจือจางลงทีละน้อย
กระทั่งพร่าเลือนจนถูกความมืดกลืนหายไปในที่สุด
ผมค่อยๆ ขยับเปลือกตาขึ้นทีละน้อย
โดยไม่ลืมที่จะเหลือบลูกตาขึ้นมองที่ด้านบนเป็นจุดแรก
ก็เห็นเจ้าเด็กหนุ่มคนนั้นยังคงนอนตะแคงอยู่ท่าเดิม
พลางจ้องมองมาที่ผมด้วยดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคำถาม
"เป็นยังไงบ้างล่ะหนุ่มน้อย
ชีวิตของนายมันช่างน่าอิจฉาอะไรอย่างนี้
เอ..เราชักอยากจะเป็นตัวนายขึ้นมาซะแล้วสิ"
เจ้าเด็กหนุ่มกล่าวยอผมซึ่งๆ หน้า
ทว่ามันเป็นน้ำเสียงที่ราวกับจะจงใจเย้ยหยันเสียมากกว่า
เป็นขณะเดียวกับที่ผมลดสายตาทอดมองลงไปยังเบื้องล่าง ก็พบว่าผู้คนรถรายังคงหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว
ผมเหลือบตามองไปที่เด็กหนุ่มคนนั้นอีกครั้งหนึ่ง
แต่มันเป็นการมองด้วยสายตาที่แตกต่างไปจากคราวแรก
มันเป็นสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
เป็นสายตาที่เริ่มจะรู้ซึ้งถึงความหมายของการดำรงชีวิตอยู่
ประโยคที่เคยสอนหลานชายพลันย้อนกลับมาอื้ออึงอยู่ในหูของตัวเอง
"ไม่มีอะไรที่คนที่ตั้งใจจริงจะทำไม่ได้ จะมีก็แต่คนที่สิ้นคิดเท่านั้นเอง
ที่จะละทิ้งความตั้งใจเพียงเพราะอารมณ์แค่ชั่ววูบ"
อีกทั้งภาพที่เห็นก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนความคิดของผมอย่างสิ้นเชิง
อา..ผมทำอะไรลงไปนี่ กะอีแค่ผู้หญิงหลายใจเพียงคนเดียว
และการเอาตัวเองไปยึดติดกับชื่อเสียงของสถานศึกษาอันไร้สาระ
มันจะส่งผลให้อนาคตที่กำลังรุ่งโรจน์ต้องพินาจป่นปี้ลงกับตา
ทำให้พลาดจากสตรีที่จะใช้ชีวิตร่วมกับผมจนแก่เฒ่า
ทำให้หมดโอกาสที่จะใช้ความรู้ความสามารถเพื่อทำประโยชน์แก่บ้านเมือง ทำให้ความมุ่งมั่นที่จะเป็นนักบินของหลานชายต้องพังครืน
เค๊กวันเกิดปอนด์นั้นผมก็ยังไม่ได้กิน และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น
เทพบุตรและเทพธิดาที่กำลังหลับไหลอยู่ในเปลทั้งสองหลังนั่น
จะไม่มีโอกาสแม้แต่จะลืมตาขึ้นมาดูโลก
ไม่มีโอกาสแม้กระทั่งจะเปล่งเสียงอ้อนวอนขอชีวิตจากผม ไม่นะ..มันจะต้องไม่จบลงแบบนี้
ผมจะไม่ยอมให้เรื่องมันจบลงแบบนี้อย่างเด็ดขาด
"ดะ ได้โปรด โปรดช่วยขีวิตผมสักครั้ง
ผะ..ผมยังไม่อยากตาย ผมไม่อยากตายอีกต่อไปแล้ว"
ผมกล่าวอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ
ดวงตาก็มองหน้าเด็กหนุ่มคนนั้นกับภาพเบื้องล่างสลับกันไปมา เหงื่อเม็ดโป้งร่วงหายไปกับความสูงของคอนโดฯ
สิบหกชั้น มันเป็นช่วงเวลามหาโหดสำหรับคนโง่เง่าแบบผมอย่างแท้จริง
"สายเกินไปที่จะพูดคำนี้
ไม่มีใครช่วยเจ้าได้แม้แต่ตัวเราเอง หน้าที่ของเราได้หมดลงไปแล้ว
นั่นก็คือให้เจ้าได้เห็นและรับรู้ในสิ่งที่มันควรจะเป็น เราขอแนะนำให้เจ้าสงบใจซะ
และจงเตรียมพร้อมกับสิ่งที่จะต้องเผชิญต่อไปในปรโลก ขอให้โชคดี
เวลาของเจ้าสิ้นสุดลงแล้ว ลาก่อน.."
ขาดคำของเจ้าเด็กหนุ่มนั่น ทุกสรรพสิ่งพลันกลับคืนสู่สภาวะปกติ
ผู้คนรถราที่เห็นเป็นภาพเล็กๆ เริ่มเคลื่อนไหว พร้อมๆ กับร่างของผมที่ร่วงคว้างลงไปปะทะกับลานจอดรถข้างล่างนั่น...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น