[ข่าวลุงพล] ปิดคดีของน้องชมพู่


 

ปิดคดีของน้องชมพู่

 

กลายเป็นเรื่องราวคาราคาซัง ซึ่งยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่า ใครฆ่าน้องชมพู่ หลังเฝ้าติดตามดูคดีนี้มาเกือบจะร่วมปีแล้ว ข่าวก็แว่ว คนก็ว่าไม่น่าพลาด บางคนถึงขั้นประกาศ ชี้ชัดเอาไว้ ถึงวันออกหมายจับ เอาเลยครับ จับเลยพี่ ดีครับผม รอชมครับท่าน

  

อีกหนึ่งบทวิเคราะห์เรื่องคดี ของทนายนิทัศน์ ประเสริฐเนติกุล

เรื่อง ปิดคดีของน้องชมพู่

 

ลุงพลแอบขึ้นเขา เป็นข่าวไร้สาระเหลือเกิน เวลาผ่านไปแล้ว 9 เดือน  ไม่มีประจักษ์หลักฐานพยานอะไรแล้ว ที่จะหลงเหลืออยู่ เพราะถูกทำลายไปตามธรรมชาติ น้องชมพู่ไม่ได้ถูกตี ถูกฟัน หรือถูกรัดคอ แม้กระทั่งข้อสงสัยที่หลายคนครุ่นคิดว่า โดนไฟช็อต จำต้องไปหาพยานวัตถุดังกล่าว เช่นไม้ มีด เชือก แต่น้องตายเพราะขาดอาหาร  ร่างกายทนสภาพไม่ไหว จึงสิ้นใจ โดยไม่มีร่องรอยของการถูกทำร้าย

 

พยานวัตถุที่เก็บได้ในที่เกิดเหตุ  คือเส้นผมจำนวนหนึ่งของน้องชมพู่ที่ถูกตัดทิ้งไว้  เป็นการแก้เคล็ดสะกดวิญญาณตามความเชื่อของคนร้าย ส่วนดีเอ็นเอไม่ต้องพูดถึง ถูกย่ำเหยียบผสมกลมกลืนกันไประหว่างชาวบ้านที่ไปมุงดูศพ ก่อนที่เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานจะมาถึงที่เกิดเหตุ ดังนั้นจึงเหลือเพียงเส้นผมที่ถูกตัดทิ้งไว้  รองเท้าของน้อง  และรถแม็คโครที่ตกทิ้งไว้ใกล้ที่เกิดเหตุ ให้เป็นข้อถกเถียงกันว่า ไปอยู่บริเวณนั้นได้อย่างไร  มีใครนำขึ้นไปวางไว้

 

ถ้าจะหาพยานบุคคล ไม่ต้องไปหาที่ไหน ไปหาในยูทูป  หรือช่องข่าวต่างๆ มีเป็นข่าวทุกวัน  ใครพูดอะไร  ใครเห็นอะไร  มีหมดแล้ว  แถมมีรายละเอียดพอๆ กับที่ตำรวจที่ได้สอบไว้เป็นพยานหลักฐาน สิ่งที่ทนายเขียนมาเกือบทั้งหมด ก็ได้จากดูข่าวจากทีวี จากยูทูป โดยตัวเองไม่อยู่กรุงเทพก็อยู่ภูเก็ต ยังไม่รู้ว่าไปจังหวัดมุกดาหาร ไปเส้นทางไหนได้บ้าง 

 

ดังนั้น การขึ้นเขาจึงเป็นเรื่องเดินเล่นมากกว่า ถ้าทนายได้ไปที่กกกอกทนายก็จะต้องเดินขึ้นเขา ไปดูจุดที่ทิ้งศพน้องชมพู่ ให้มีความรู้สึกว่าได้มาถึงจุดที่เกิดเหตุ แต่ทนายจะไม่ไปเกี่ยวข้องกับพยานหลักฐานของตำรวจ เพราะอาจเป็นการก้าวก่าย การทำงานของเจ้าพนักงานตำรวจได้

 

วันนี้ทนายยังมีความเห็นว่า ไม่ว่าตำรวจจะออกหวยไปที่ใคร คนนั้นเป็นได้แค่ผู้ต้องหา หรือจำเลย ที่ท้ายสุดศาลพิพากษายกฟ้อง เพราะขาดพยานหลักฐานไม่ว่าพยานวัตถุ พยานบุคคล และพยานนิติวิทยาศาสตร์ มีเพียงพยานแวดล้อม ที่พิสูจน์ไม่ได้ว่า จำเลยเป็นผู้กระทำความผิดจริง

 

ส่วนการที่เจ้าพนักงานตำรวจ จะขอศาลออกหมายจับใคร ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะผู้พิพากษา ก็คงติดตามคดีน้องชมพู่ มาพอๆ กับประชาชนคนอื่น   และโดยประสบการณ์ของตัวผู้พิพากษาเอง  ก็พอมองออกว่าคดีนี้เป็นคดีแค่สงสัย  จะสงสัยใครก็ได้  ถ้าจะสงสัยลุงพล ก็เอาข่าวที่เป็นผลร้ายต่อลุงพล มาเสนอเป็นการชี้นำ

ถ้าสงสัยผู้สูญเสียและคนใกล้ชิด ก็เอาข่าวที่เป็นผลร้ายต่อพวกเขามานำเสนอ แต่ถ้าเอาแต่ความสงสัย  ง่ายนิดเดียวเอาทั้งหมดไปเป็นผู้ต้องหา แล้วให้ไปโทษกันเองในศาล หรือให้ศาลไปชั่งน้ำหนักพยานว่าควรลงโทษหรือยกฟ้องใคร แต่นั้นก็เป็นการปิดคดีแบบง่ายๆ  และเชื่อว่าท้ายสุดศาลก็คงยกฟ้องทั้งหมด แต่ถ้าจะเอาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไปเป็นผู้ต้องหา พยานฝ่ายโจทก์เองก็อยู่ในข่ายผู้ต้องสงสัยเหมือนกัน จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะลงโทษจำเลยได้  สุดท้ายก็ยกฟ้องอยู่ดี

 

ดังนั้นในความเห็นของทนาย ถ้าสังคมและสื่อไม่กดดันเจ้าหน้าที่ตำรวจเกินไป ยอมรับความจริงว่าไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะจับคนร้ายได้ ก็ปล่อยให้เป็นคดีปริศนาไปตลอดกาล ให้คงอยู่แค่องค์พญานาคซึ่งเป็นสิ่งศักดิสิทธิ์คู่บ้านกกกอก  ตำบลกกตูม  อำเภอดงหลวง  จังหวัดมุกดาหาร  เป็นตำนานเล่าขานไปชั่วลูกหลาน

 

หลายคนถามทนายว่า การไปขอศาลออกหมายจับ ต้องทำอย่างไร เป็นอำนาจของใคร และเหตุผลในการที่ศาลจะออกหมายจับคืออะไร ทนายขอตอบแบบง่ายๆ ผู้มีอำนาจไปขอศาลออกหมายจับ ต้องเป็นระดับนายตำรวจและเกี่ยวกับคดี  โดยจะต้องมีพยานหลักฐานเบื้องต้นพอสมควร ว่าผู้นั้นได้กระทำความผิด และเป็นคดีที่มีโทษสูงกว่า ๓ ปี  หรือมีเหตุควรเชื่อว่าจะหลบหนี หรือไปยุ่งกับพยานหลักฐาน ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง หรือไม่มาตามหมายเรียก(ของตำรวจ) หมายนัด(ของศาล) โดยไม่มีข้อแก้ตัว ศาลถึงจะออกหมายจับให้

 

แต่คดีน้องชมพู่ ทนายคิดว่า ทุกคนไม่เข้าข่ายที่จะออกหมายจับ ทุกคนเป็นเพียงผู้ต้องสงสัยจากการให้สัมภาษณ์เสียมากกว่า มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง  ตำรวจไม่เคยมีหมายเรียก(ในฐานะผู้ต้องหา) และไม่มีใครคิดจะหลบหนี ดังนั้น  การไปขอออกหมายจับจึงไม่ง่าย อย่าตีตนไปก่อนไข้ มันทำให้ตกเป็นผู้ต้องหาตามคำพิพากษาของสังคม

 

เป็นทนายมา ๔๐ ปี เห็นเพียงศาลออกหมายจับแล้ว ผู้ถูกศาลออกหมายจับ ให้ทนายไปยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวน เพื่อยกเลิกหมายจับ อันนี้มีแน่นอน และบางคดีศาลก็ยกเลิกหมายจับให้ ดังนั้น ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม เป็นไปตามระบบกฎหมาย ดีกว่าอ้างว่าไม่มีกฎหมายห้าม ศาลคงไม่เล่นด้วยแน่นอน  ผลดีเกิดกับคนทำ ผลร้ายเกิดกับลูกความ 

 

ที่ทนายเขียนมา ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคดีลุงพลนะครับ  เพราะไม่ได้มีการพูดถึงเนื้อหาของคดี เพราะเมื่อมีคนสงสัยถามมา ก็เลยตอบให้หายสงสัย กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มีข้อบัญญัติไว้ชัดเจน ควรทำในสิ่งที่ควรทำ  เอ่ยเหนื่อยใจ 

 

ทุกวันนี้บ้าน ๔ หลัง คน ๘ คน น่าสงสารมากน้อยต่างกัน  แต่ครอบครัวผู้สูญเสียและลุงพล น่าสงสารมากที่สุด ตกเป็นเครื่องมือหากินของสื่อบางฉบับ หรือพลัดหลงไปกับคนบางคน พาไปซ้ายก็ไป พาไปขวาก็ไป เรียกว่าไปไหนไปกัน หลงทางไม่รู้ตัว แถมทางไปนรกไม่ใช่ไปสวรรค์ น่าสงสารจริงๆครับ

 

ทนายนิทัศน์ ประเสริฐเนติกุล  อาทิตย์ ๗ กพ ๖๔ กรุงเทพมหานคร




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ดินแดนล้านนา เมืองเชียงใหม่

(ชาติพันธุ์) ลาวทรงดํา ไทยทรงดํา ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง

มาชู ปิกชู ประเทศเปรู เมืองสาบสูญแห่งอินคา