[ข่าวลุงพล] ทนายสมเกียรติ โรจนวรกมล กับความจริงที่ทุกคน ยังไม่หลุดพ้นวังวนใดใด
ทนายสมเกียรติ โรจนวรกมล กับความจริงที่ทุกคน
ยังไม่หลุดพ้นวังวนใดใด
อ่านบทความของท่านทนายสมเกียรติ
โรจนวรกมล ที่ท่านได้โพสต์ลงในเฟซบุ๊คส่วนตัวของท่าน บางความรู้สึก
ที่ผมก็อยากจะเอื้อนเอ่ยเหมือนกัน ท่านโพสต์เอาไว้ว่า
ผมก็ไม่เคยเห็นพญานาคจริงๆ สักที ยอมรับครับ
แต่การมองพญานาคเป็นเพียงอิฐ หิน ปูน ทราย
และด่วนสรุปว่างมงาย ไหว้อะไรก้อไม่รู้ ไม่มีชีวิต คนเหล่านั้น มองเพียงเปลือกนอกของการสร้างพญานาค มิได้มองถึงสิ่งต่างๆ
ทีหล่อหลอมให้บังเกิดเป็นรูปลักษณ์ของพญานาค ซึ่งมีมวลสารที่วิเศษสุดหลายอย่าง ที่ตาเนื้อใจหยาบ ไม่สามารถสัมผัสสิ่งเหล่านั้นได้
มันเป็นนามธรรมและรูปธรรมที่รวมกันเป็นหนึ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปัจเจก คือรู้ได้ด้วยตัวตนของแต่ละคนเอง
มวลสารศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในพญานาค มิใช่อิฐ
หิน อิฐหินเป็นกายหยาบเท่านั้น ถ้าเรามองแค่รูปลักษณ์ภายนอก มันก็เท่านั้นจริงๆ แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่ผสานให้อิฐ
หิน ปูน ทราย จนรวมกันเป็นพญานาค หรือ
เป็นงานศิลป์อะไรสักอย่าง เพื่อให้ทุกคนได้รับรู้สัมผัสได้อย่างลึกซึ้งอย่างสงบ อย่างเป็นสุข สิ่งที่ผสานนั้น มันคือสภาวะจิตของผู้มีจิตศรัทธาทุกคน
ที่รัก เคารพ และศรัทธาในสิ่งนั้นๆ ร่วมกันเท่านั้นเอง
จิตใจแห่งคุณความดี จิตใจแห่งศรัทธา จิตใจที่อิ่มเอมเบิกบาน
ของเหล่าผู้ศรัทธาที่มาร่วมกันทำความดีต่างหาก ที่เราควรมองดู ควรลิ้มรสสัมผัส ควรเข้าถึงแก่นแห่งการสร้างพญานาค
มากกว่าการต่อว่า ด่าทอ พูดไม่ดี เหยียดหยามผู้อื่นเพียงแค่คิดไม่เหมือนท่าน
และสิ่งที่ผู้สร้างพญานาค ต้องการบอกเราๆ ท่านทุกคน ให้รับรู้ในเบื้องต้นนั่นก็คือ
เมื่อเรานับถือพญานาค เราต้องไม่ทำบาปนะ การนับถือผมบอกแล้วนะไม่ใช่การหลุดพ้นจากวัฏสงสาร
ไม่ถึงนิพพาน แต่มันเป็นประตูบานแรกๆ ที่ปุถุชน สามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าพระธรรม
อันลึกซึ้งสุดพรรณนาของพระบรมศาสดา
แท้จริงแล้วพญานาค คือสัญลักษณ์ของสัตว์กึ่งเทวดา
ที่แม้ตนจะไม่มีโอกาสได้บวชอย่างมนุษย์เช่นพวกเรา พูดง่ายๆ หมดสิทธิ์ แต่พญานาคเองก็มุ่งมั่นบำเพ็ญตบะ
และอยากจะเข้าถึงพระธรรมอันลึกซึ้งของพระบรมศาสดาเจ้า เพื่อการหลุดพ้นจริงไหมครับ เราๆ ท่านๆ
รวมทั้งผมเอง ต่างก็ทราบดีว่า รูปปั้นเทวดาต่างๆ รวมทั้งพญานาค พญาครุฑ
คือสัญลักษณ์แห่งความดี ความสมบูรณ์ โชคลาภ ความเจริญ ที่บรรพบุรุษได้พยายามส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
มาจนปัจจุบันไม่ใช่หรือ เรื่องที่เกิดทั้งหมด เกิดจากคน คนที่ไม่ดี คนที่มีอคติ คนที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ
แม้แต่ตราแผ่นดินก็ยังเป็นรูปครุฑ ถ้ามองพญาครุฑและพญานาคแล้วก็ไม่ต่างกัน
เป็นเทวดากึ่งสัตว์ แน่จริงคุณมาทุบครุฑออกสื่อโรงละครโหนโขนสิ ผมจะยอมรับว่าคุณมันขั้นเทพ
สรุปอย่ามารังแกพญานาคของ.........นะเฟ้ย วันไหนอยู่ดีๆ
มีข่าวคนบางคนถูกงูกัดตายละน่าดูชม เหนื่อยพิมพ์ ใครอยากอ่านก็อ่านเด้อ
ปล.ความคิดส่วนตัวผมนะ อ่านเพลินๆ อย่าเอาไปเป็นประเด็นนะ
ผมนั่งอ่านอยู่หลายรอบ รู้สึกชื่นชม ผสมศรัทธา
มโนภาพอวัจนภาษาตามในอากาศ ความนุ่มลึก แหวกว่ายวาดในกล่องมโนทัศน์ของความคิดนึกตัวเอง
คำว่า ศรัทธา แปลตรงตัวว่า ความเชื่อ ได้แก่สภาพจิต
ที่ยึดเหนี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเหนียวแน่น ด้วยความมั่นใจว่า
เมื่อมีสิ่งนั้นอยู่ในชีวิตแล้ว ความสำเร็จหรือความสุขจะเกิดขึ้น ในชีวิตของคนแต่ละคน
จึงต้องมีศรัทธาต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรืออาจจะมีศรัทธาต่อหลายๆ สิ่ง เพื่อสร้างพลังใจอันเป็นพลังสำคัญที่จะขับเคลื่อนชีวิต
ไปสู่ความสำเร็จในหน้าที่การงาน หรืออุดมคติอย่างใดอย่างหนึ่ง
หากจะพูดถึงศรัทธาในกรอบแคบๆ แค่เรื่องศาสนาเรื่องเดียว
มนุษย์ก็มีศรัทธาได้หลายรูปแบบ เช่น มีศรัทธาในองค์ศาสดาพยากรณ์ของแต่ละศาสนา
มีศรัทธาในผู้ประกาศศาสนา มีศรัทธาในองค์กรของศาสนา มีศรัทธาในพิธีกรรม
หรือมีศรัทธาในสิ่งสูงสุดของศาสนานั้นๆ ว่า สามารถปกป้องคุ้มครอง จากทุกข์โศกโรคภัยได้
หรือส่งเสริมให้ตนเองได้รับสิ่งที่ปรารถนา หรือช่วยให้หน้าที่การงานที่ตนกระทำอยู่ประสบความสำเร็จ
ศรัทธา เป็นทั้งวิถีทางและเป็นปัจจัยเสริมของชีวิต
ศรัทธาที่เป็นวิถีจะบอกชัดเจนว่า ต้องทำอะไรบ้าง อะไรถูก อะไรผิด
ต้องมีศรัทธาอย่างไร เช่น ความศรัทธาในพระพุทธศาสนา สัญลักษณ์ที่สื่อถึงพระพุทธศาสนา
พญานาค ส่วนศรัทธาที่เป็นปัจจัยเสริม ไม่ต้องการวิธีการดำเนินการแต่อย่างใด
ขอเพียงได้ศรัทธาก็พอแล้ว ส่วนเรื่องอื่นๆ ต้องจัดการหรือแสวงหาเอาเอง เช่นความศรัทธาในทางไสยศาสตร์และโหราศาสตร์
ที่คอยเติมความเชื่อมั่นโดยไม่สนใจว่า สิ่งที่เชื่อนั้นจะช่วยเสริมมากน้อยแค่ไหน เช่นเวลาเดินทางไกลขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองด้วย
เมื่อเดินทางไปถึงแล้วก็ไม่สนใจมากนักว่า
การเดินทางถึงจุดหมายปลายทางโดยสวัสดิภาพนั้น เป็นเพราะพลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือสติปัญญาของคนขับรถ
แต่ถ้าหากมีวิกฤตกาลขึ้นขณะเดินทาง
เช่น คนที่เดินทางไปด้วยกันบาดเจ็บล้มตาย เพราะอุบัติเหตุรถชนกัน
เหลือเพียงคนนั้นผู้เดียวที่รอดปลอดภัยมาได้ ก็จะหันไปโยนความผิดให้คนขับรถ และจะยกย่องความดีทั้งหมดให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนนับถือ
จะเห็นได้ว่าเวลาจะโฆษณาขายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเครื่องรางของขลังใดๆ จะต้องบรรยายสรรพคุณของสิ่งนั้น
ในทางที่ลึกลับมหัศจรรย์เหนือธรรมชาติทั้งสิ้น
เอฟซีที่เห็นต่างจากฝั่งลุงพล
หลายคนผรุสวาทถ้อยคำอันขำขื่น ยื่นปัจเจกให้อีกฝั่ง ด้วยวลีดังว่า ติ่งข้างไข่
พวกงมงายไม่ลืมหูลืมตา ความงมงายกับความศรัทธา
แยกกันได้ไม่ยาก ศรัทธามี 2 ส่วน ส่วนแรก คือศรัทธาที่ไม่มีปัญญาประกอบ หรือไม่มีปัญญาสัมปยุต
คือการไม่มีปัญญาเกี่ยวข้อง อย่างเช่น ศรัทธาในเรื่องโลกๆ ซึ่งแบบนี้ไม่สามารถทำให้จิตเป็นอิสระ
เบาสบาย ปลดล็อกใจของเราไม่ได้อย่างแท้จริง เพราะความรู้สึกของเรา ยังถูกควบคุมอยู่ภายใต้สิ่งที่ทำอยู่หรือศรัทธาอยู่
เช่น เราไปศรัทธาใครสักคนหนึ่ง อย่างอาจารย์ขมังเวทย์ต่างๆ ที่มีสาวกเป็นล้าน
อาจารย์คนนั้นก็จะมีอำนาจเหนือเรา สามารถสั่งเราได้ จะไม่ทำก็ไม่ได้ ใจเป็นทุกข์
ศรัทธาแบบนี้เรียกว่า “งมงาย”
อีกส่วนคือ
ศรัทธาแบบมีปัญญาประกอบหรือศรัทธาแบบพุทธ เมื่อทำสิ่งไหนเกี่ยวโยงกับใครหรืออะไร
จิตจะเป็นอิสระ ไม่รู้สึกว่าถูกควบคุมให้อยู่ภายใต้สิ่งนั้น ทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้
ถึงไม่ทำใจก็ไม่เป็นทุกข์ เพราะเข้าใจว่าสรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงตามเหตุตามปัจจัย
เช่น เมื่อถึงเทศกาลตรุษจีน ต้องไหว้ของเก้าอย่าง เช่น ผลไม้เก้าอย่าง
เมื่อทุกคนในโลกต้องไหว้พร้อมกันหมด ของมีโอกาสที่จะขาดตลาด เมื่อถึงเวลาต้องไหว้ แล้วไม่สามารถซื้อของมาได้ครบเก้าชนิด
คนไหว้ก็เกิดความไม่สบายใจ กระวนกระวาย ในขณะที่อีกคนคิดว่า ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร
ได้แค่ไหนแค่นั้น ความต่างก็อยู่ตรงนี้
อย่าล้อเล่นกับความเชื่อความศรัทธาของผู้อื่น
เพียงเพราะคุณไม่ได้เชื่อหรือศรัทธา ในสิ่งที่คนอื่นเขาเชื่อและศรัทธาด้วยสุจริตใจ

ขอบคุณค่ะ
ตอบลบ