[ข่าวลุงพล] ศึกษากรณี “ลุงพล” โดย ดร.สุกิจ พูนศรีเกษม เส้นทางการเงิน ในความผิดฐานฟอกเงิน
เส้นทางการเงิน ในความผิดฐานฟอกเงิน
ศึกษากรณี “ลุงพล” โดย ดร.สุกิจ พูนศรีเกษม นักวิชาการ ด้านกฏหมาย
ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ประธานชมรม แห่งหนึ่งย่านพระประแดง สมุทรปราการ
ซึ่งเป็นคณะบุคคล ไปร้องทุกข์กล่าวโทษลุงพล ต่อตำรวจป่าไม้ ในความผิดตาม พรบ.ป่าไม้ เมื่อตำรวจรับแจ้งแล้วได้นำกำลังไปจับ ลุงพล
ที่บ้านกกกอก พร้อมด้วยของกลางไม้มะค่าแต้ ส่งให้ตำรวจท้องที่ดำเนินการตามกฎหมาย
หลังจากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ท่านประธานชมรม
ไปกล่าวหาลุงพลและพระพล ต่อตำรวจป่าไม้ อีกครั้ง.ว่า ลุงกับพระ ต่างกระทำผิดฐานฟอกเงิน
และพระเป็นผู้สนับสนุน และขอให้ตำรวจอายัดเงินลุงพล ไว้ชั่วคราวนั้น
เมื่อตำรวจรับแจ้ง จะต้องส่งสำนวนการฟอกเงิน ไปให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
เป็นผู้สอบสวนหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้สอบสวน ลำพังตำรวจป่าไม้
ยังไม่มีอำนาจอายัดเงินชั่วคราวไว้ก่อนได้
ต้องเป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
หากตำรวจอายัดเงินไว้ตามที่คณะบุคคลกล่าวโทษ “ย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา
157
ประกอบ ด้วย มาตรา 86 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ย่อมอยู่ในอำนาจของศาลอาญาทุจริต
ประพฤติมิชอบเป็นผู้พิจารณาคดีนี้ ปัญหาเรื่อง
เส้นทางการเงินของลุงพลนั้น หากเป็นไปด้วยความเปิดเผย ไม่ปิดบัง หรือซุกซ่อน หรืออำพรางแต่อย่างใดนั้น
กฎหมายไม่ได้บัญญัติเป็นโทษ
นอกจากนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
สามารถตรวจสอบเส้นทางเงินได้ตลอดเวลา ไม่สามารถแก้ไขข้อมูลภายหลังได้ ไม่ใช่เป็นการปกปิด
หรืออำพรางการได้มา ศาลอาญาทุจริตเคยมีคำพิพากษายกฟ้อง ดังที่กล่าวมาแล้วข้างตน
เมื่อมีบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เป็นคนตั้งประเด็น ให้ตำรวจป่าไม้ดำเนินคดีและอายัดเงินไว้ก่อน
พยานหลักฐานจะต้องมั่งคง และต้องนำสืบให้ศาลเชื่ออย่างสนิทใจว่า ผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดจริง จึงจะรับฟังเป็นผลร้ายแก่จำเลยได้
ศาลฎีกาวินิจฉัย ที่ตรงกับคดีเกี่ยวกับเส้นทางทางการเงิน
ฐานโอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินเกี่ยวกับการกระทำความผิด เพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สิน
หากเป็นการกล่าวโทษ ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 60
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มิได้บัญญัติเกี่ยวกับหน้าที่นำสืบ ในการกระทำความผิดดังกล่าวไว้เป็นการเฉพาะ
เมื่อคดีนี้เป็นคดีอาญา บุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือคณะบุคคล
เป็นผู้กล่าวโทษจึงมีหน้าที่นำสืบ เพื่อให้รับฟังได้ โดยปราศจากสงสัยว่า จำเลยทั้งสองเป็นผู้กระทำความผิดจริง
หากพยานหลักฐาน
มีเพียงตำรวจผู้รับแจ้งหรือผู้ร่วมจับกุม เบิกความเป็นพยานว่า
เหตุที่ยึดทรัพย์สินของกลางไว้ชั่วคราว เพราะฐานะของจำเลยทั้งสอง ไม่น่าที่จะมีทรัพย์สินของกลางได้ เป็นเงินที่จำเลยทั้งสองได้มาจากการกระทำผิด
ตามพรบ.ป่าไม้ ก่อสร้างวังพญานาคตามข่าว และขอให้อายัดเงินไว้ก่อนนั้น
ซึ่งหากเป็นความเข้าใจของคณะบุคคลเอง การกระทำนั้นย่อมไม่เป็นความผิด
ลำพังจากการสอบสวนพบว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้ประกอบอาชีพจะสันนิษฐานว่าลุงกับพระ
ไม่มีรายได้เพียงพอ ที่จะซื้อทรัพย์สินของกลาง
ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ย่อมเป็นผลร้ายแก่จำเลยทั้งสอง หากลุงกระทำผิด
ก็ให้การรับสารภาพ เป็นการให้ความรู้แก่ศาล ก็มีเหตุบรรเทาโทษ หากที่มาของเงินนั้น
หากลุงถูกสังคมมองว่า อาจมีส่วนพัวพันกับคดีน้องชมพู่
ประชาชนเชื่อว่าลุงไม่ได้กระทำผิด สงสาร
จึงมอบเงินให้ด้วยความเสน่หา และการสร้างพญานาค
ก็เป็นเงินที่ประชาชนเกิดจากความศรัทธา จึงมอบมอบให้เพราะอยากร่วมทำบุญด้วย
ก็เป็นเรื่องปกติ
ประเด็นให้ด้วยความเสน่หา และเงินศรัทธาของประชาชนนั้น ไม่ใช่ทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิด หรือมีไว้เป็นความผิด หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สิน เกี่ยวกับการกระทำความผิด เพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สิน ลุงกับพระ ก็จะได้ประโยชน์ตามข้อสันนิษฐาน ตามกฎหมายฟอกเงิน เทียบเคียง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2267/2550
การยึดถือครองครองที่ดินเพื่อทำประโยชน์
อันเป็นสาธารณะประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ตามพรบ.ป่าไม้
ที่ดินที่ลุงพลอยู่สร้างบ้าน ป่าไม้อนุโลมให้ราษฎรอยู่อาศัยเพื่อการเกษตรนั้น
จะต้องศึกษาจากแนวคำพิพากษาศาลฎีกา ระเบียบข้อบังคับที่มีผลทางกฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรี
ผ่อนผันเพื่อพิสูจน์สิทธิ์นั้น มีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่วินิจฉัยเป็นแนวทาง
ตามคําพิพากษาศาลฎีกาที่ 15189/2558
เป็นแนวทางการยึดถือครอบครองทําประโยชน์อยู่แล้ว เพื่อให้ราษฎรได้เข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดินตาม
พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 มีผลทําให้ราษฎร ที่อยู่ในที่ดินป่าสงวนแห่งชาติอยู่เดิม
ก่อนที่จะมีพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตปฏิรูปที่ดิน ได้รับการผ่อนผันการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการป่าไม้
แม้จะไม่ได้มีผลเป็นการเพิกถอนที่ดิน ในเขตปฏิรูปที่ดินนั้น จากการเป็นป่าสงวนแห่งชาติก็ตาม
แต่มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2563 นั้น เป็นกรณีเข้าทำประโยชน์ ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาตนั้น
ได้รับการผ่อนผันเพื่อพิสูจน์สิทธิ์
ตามข่าว “สายลับเกาะกระแส” อ้างว่า การซื้อขายที่ดินลุงพลอันสถานะสมบัติของแผ่นดิน
มีความผิดตามกฎหมายอาญา ตำรวจต้องดำเนินคดีนั้น ไม่รู้ว่าสายลับ ใช้กฎหมายฉบับไหนมาบังคับใช้
แต่แนวคำพิพากษาศาลฎีกา วินิจฉัยว่า การซื้อขายที่ดินอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินนั้น
เจตนาของกฎหมายบัญญัติว่าเป็นโฆษะ ไม่มีผลบังคับตามสัญญาเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15711/2558
ยังไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใด บัญญัติว่าเป็นความผิดต่อกฎหมายอาญา ดังที่สายลับเกาะกระแสให้ข่าว
สถานะลุงพลกับภรรยาเป็นเกษตรกร มีคุณสมบัติครบถ้วน ที่จะถือครองที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมาย
เพราะผู้ครอบครองเดิม ได้แบ่งปันเพื่อให้อยู่อาศัยและทำกินนั้น เป็นไปตามคำสั่งหัวหน้ารักษาความสงบแห่งชาติที่
36/2559 ลงวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
แต่ต้องขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าตามมาตรา 4
(1) แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ ปีพุทธศักราช 2484 นั้น
แม้จะเกินกำหนดก็ยังขอได้อยู่ ลุงพลต้องร้องต่อศาลเพื่อพิสูจน์สิทธิ์
โดยไม่ต้องรอผลคดีอาญา นั้น เพียงพยานบอกเล่าจากสายลับผู้เกาะกระแส ไม่ใช่ประจักษ์พยานรู้เห็น
ในการกระทำความผิด ตามข่าวที่ลุงพลถูกกล่าวหาและจับกุมนั้น
ต้องพิจารณาตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง และเหตุผลในการออกกฎกระทรวงประกอบด้วย
เมื่อพิจารณากฎกระทรวง แม้กรมป่าไม้จะอนุโลม ให้เป็นที่อยู่อาศัย และทำเกษตร
ป่าดงภูพานในท้องที่ ตำบลกกตูมก็ตาม
ตามกฎกระทรวงนั้น ไม่มีไม้ตะเคียน
หรือไม้มะค่าแต้ ในป่าภูพาน ความผิดฐานครอบครองไม้ซุงที่มาตามกระแสน้ำ
จึงไม่ใช่ป่าโดยสภาพ แต่เป็นที่รกร่างวางเปล่า ที่กรมป่าไม้อนุโลมให้ทำกินและอยู่อาศัย
เมื่อตำรวจ สอบพยานหลักฐานแล้ว ตำรวจสงสัยต้องจับ
เพราะเป็นระบบกล่าวหา ความผิดต่ออาญาแผ่นดินนั้น ส่วนใหญ่ตำรวจจะเป็นผู้กล่าวหาเสียเอง
หากมีผู้กล่าวโทษ แต่กรณีลุงพลนั้น ตำรวจไม่ใช่ผู้กล่าวหา ส่วนใครเป็นผู้กล่าวหานั้น
ตำรวจจะต้องปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการดูแลรักษา
และคุ้มครองป้องกันที่ดิน อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2553
ได้กำหนดผู้เสียหายไว้โดยชัดแจ้ง และมีกำหนดระยะเวลาร้องทุกข์กล่าวหาผู้กระทำความผิด
แม้สถานที่เกิดเหตุ จะเปลี่ยนแปลงสภาพการใช้เพื่อการเกษตร เป็นการสร้างวังพญานาค ระเบียบกระทรวงมหาดไทย
สามารถเปลี่ยนแปลงการใช้ได้
ทั้งนี้ สถานที่ก่อสร้าง ตั้งอยู่ในเขตริมขอบทางถนนหลวง
โดยสภาพนั้นไม่ใช่ป่า ตามเหตุผลที่กรมป่าไม้ ต้องออกกฎกระทรวง ลุงพลจึงไม่น่ามี ความผิด
พรบ.ป่าไม้ ตามที่มีผู้กล่าวโทษ
แต่อาจผิดกฎหมายอื่น ซึ่งเป็นความผิดไม่ร้ายแรงนัก
ผู้ปกครองท้องที่เป็นผู้เสียหาย จะอ้างว่าไม่รู้
จึงไม่ได้แจ้งความตามที่กฎหมายกำหนดนั้น แต่ตำรวจได้ด่วนจับลุงพลเสียก่อน อัยการอาจมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องลุงพลได้
แต่ถ้าหากคดีขึ้นสู่ศาล กรณีศาลสงสัยต้องปล่อยตัวพ้นข้อหาไป
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง การแจ้งข้อหานั้น
แนวฎีกาบอกว่าเป็นตำรวจ สายลับผู้กลัวโทษ เพียงให้ตำรวจตรวจสอบเท่านั้น
สุดท้ายหากศาลพิพากษาว่าลุงพลไม่มีความผิด ผลร้ายนั้นอาจตกที่ตำรวจ
เว้นแต่สายลับจะมีความผิดร่วมด้วย
ดร.สุกิจ พูนศรีเกษม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น