[ย้อนรอยประวัติศาสตร์] ล้านนากับการเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรสยาม
ล้านนากับการเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรสยาม
การฟื้นฟูอาณาจักรล้านนา
พระเจ้าตากสินย้ายเมืองหลวงจากกรุงศรีอยุธยาไปตั้งที่กรุงธนบุรี ได้รวบรวมกาลังผู้คนหมายจะขึ้นมาโจมตีเมืองเชียงใหม่ ซึ่งในขณะนั้นพม่าแต่งตั้งโป่มะยุง่วน หรือโป่หัวขาว เป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ กดขี่ข่มเหงเอาเปรียบชาวล้านนาสร้างความไม่พอใจต่อพระยาจ่าบ้าน (บุญมา ) พระยาจ่าบ้านจึงส่งคนถือหนังสือลักลอบไปบอกข่าวแก่พระยากาวิละเจ้าเมืองลำปางว่าตนจะกบฏต่อพม่า ครั้นเสร็จสงครามเมืองเชียงใหม่ พ.ศ . 2317 พระเจ้าตากสินทรงตอบแทนความดีความชอบ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพระยาจ่าบ้านเป็น “พระยาหลวงวชิรปราการกำแพงเพชร ” ครองเมืองเชียงใหม่ พระเจ้ากาวิละครองเมืองลำปาง ส่วนน้องของพระเจ้ากาวิละอีก 6 คน ให้ช่วยราชการที่เมืองลำปางโดยมีเจ้าน้อยธรรมลังกาเป็นอุปราช เจ้าบุญมาเป็นราชวงศ์
และผลจากการตัดสินใจเข้าสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้ากรุงธนบุรี ของพระยาจ่าบ้านและพระเจ้ากาวิละ ทำให้ฝ่ายธนบุรีสามารถขยายอำนาจสู่เมืองอื่นๆ ของล้านนา โดยผ่านชักชวนของเจ้ากาวิละ ซึ่งผู้นำเมืองต่างๆ ทางตอนบนของล้านนาเริ่มให้ความสนใจหันมาสวามิภักดิ์ต่อสยาม ด้วยหลังจากพระเจ้ากรุงธนบุรียึดเชียงใหม่ได้แล้ว ได้ทำพิธีมอบอาญาสิทธิ์ให้พระยาจ่าบ้านเป็ น “เจ้าแผ่นดินเชียงใหม่” มีอำนาจปกครองตนเอง ในฐานะเมืองประเทศราช สภาพเมืองเชียงใหม่ในสมัยพระยาวชิรปราการ ปกครองมีปัญหาด้านกาลังคนอย่างยิ่ง เนื่องจากบ้านเมืองมีศึกสงครามต่อเนื่องเป็นเวลานาน
ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่กล่าวว่า กำลังคนในเมืองเชียงใหม่มีเพียง 1, 900 คน ไม่อาจรักษาเมืองได้ พระยาวชิรปราการจึงทิ้งเมืองเชียงใหม่ โดยปล่อยให้เป็นเมืองร้าง ผู้คนที่เหลืออยู่เล็กน้อยต่างแยกย้ายกันไปตามที่ต่างๆ พระยาวชิรปราการจึงทิ้งเมืองเชียงใหม่ใน พ.ศ. 2319 โดยพาครอบครัวไปอาศัยอยู่ที่เมืองลำปางเพื่อขอความช่วยเหลือจากกลุ่มเจ้าเจ็ดตน พระยาวชิรปราการในฐานะเจ้าเมืองเชียงใหม่ได้เคลื่อนไหวจากลำปางมาที่ท่าวังพร้าว ใน พ.ศ. 2320 ต่อมาตั้งมั่นที่เวียงหนองล่อง จากนั้นย้ายไปวังสะแกงสบลี้ ในราว พ.ศ. 2322 เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ฯสั่งให้ข้าหลวงยกพล 300 คน จากเวียงจันทร์เพื่อมาตรวจหัวเมืองฝ่ายเหนือ ซึ่งข้าหลวงดังกล่าวได้ปฏิบัติมิชอบต่อชาวล้านนา ทำห้เกิดข้อพิพาทขึ้นระหว่าง พระยาวชิรปราการและพระเจ้ากาวิละ กับข้าหลวงกลุ่มดังกล่าว จนเป็นเหตุให้พระยาวชิรปราการและพระเจ้ากาวิละถูกลงโทษโดยการถูกเฆี่ยนตีคนละ 100 ครั้ง และพระเจ้ากาวิละยังถูลงโทษ โดยการถูกปาดขอบหูทั้งสองข้างเพราะเคยถูกเรียกตัวให้เข้าเฝ้าแต่ไม่ได้ปฏิบัติตาม หลังจากถูกลงโทษทั้งสองพระองค์ถูกจำคุกในกรุงธนบุรี ภายหลังพระเจ้ากาวิละจึงทูลขอไปตีเชียงแสนเพื่อแก้โทษของตนเองซึ่งพระเจ้ากรุงธนบุรีก็โปรดให้คืน ฐานันดรศักดิ์และขึ้นมาทำราชการเช่นเดิม แต่พระยาจ่าบ้านไม่ได้กลับมาด้วยเนื่องจากล้มป่วยและเสียชีวิตในคุกธนบุรี เจ้ากาวิละเมื่อขึ้นมาถึงลำปางแล้วคุมกองกาลัง 300 คน ขึ้นไปรบเชียงแสนได้ชาวเชียงแสนกับชาวจีนและชาวไทลื้อลงมายังเมืองลำปาง
พ.ศ. 2325 นั้นมีการผลัดแผ่นดินคือ เจ้าพระยาจักรีปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และมีพระยาสุรสีห์ฯ เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เมื่อเจ้ากาวิละนำข้าวของและเชลยไปถวายเช่นนั้น พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงถือเป็นความชอบ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้แต่งตั้งตำแหน่งต่างๆให้กับกลุ่มเชื้อสายตระกูลเจ้าเจ็ดตนดังนี้
เจ้ากาวิละ เป็นพระยามังราวชิรปราการกาแพงแก้ว ครองเมืองเชียงใหม่
เจ้าธัมมลังกา ผู้น้องลำดับที่ 3 เป็นอุปราชเมืองเชียงใหม่
เจ้าคำสมผู้น้องลำดับที่ 2 เป็นพระยานครลำปาง
เจ้าดวงทิพ ผู้น้องลำดับที่ 4 เป็นอุปราชเมืองลำปาง
เจ้าหมูหล้า ผู้น้องลำดับที่ 5 เป็นเจ้าราชวงศ์เมืองลำปาง
เจ้าคำฝั้น ผู้น้องลำดับที่ 6 เป็นพระยานครลำพูน
เจ้าบุญามา ผู้น้องลำดับที่ 7 เป็นอุปราชเมืองลำพูน
พร้อมทั้งพระราชทานเครื่องยศอย่างเจ้าประเทศราช ทุกประการ “เจ้ากาวิละ” และน้องทั้งหลายพักอยู่ในกรุงเทพฯ ระยะหนึ่ง แล้วจึงขึ้นมาฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่ แต่เมืองเชียงใหม่ในขณะนั้นมีสภาพเป็นเมืองร้าง การฟื้นฟูเชียงใหม่เป็นปัญหาอย่างมาก เนื่องจากกาลังคนขาดแคลนอย่างหนัก พระเจ้ากาวิละเริ่มต้นด้วยวิธีขอกาลังไพร่จากเมืองลำปาง 300 คน แล้วมารวบรวมไพร่เดิมของพระยาวชิรปราการจ่าบ้านบริเวณสะแกงอีก 700 คน เป็นหนึ่งพันคนเข้าไปตั้งมั่นที่ป่าซาง สร้างเวียงป่าซางใน พ.ศ.2325 ให้เป็นเมืองชั่วคราว ภายในเวียงมีวัดเพียง 2 แห่ง เพราะเป็นที่มั่นชั่วคราวจึงไม่คิดสร้างถาวรวัตถุสาเหตุที่เลือกสร้างเวียงป่าซางเป็นที่มั่น ด้วยเหตุผล 2 ประการ ประการแรกบริเวณป่าซางเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์มาก และสอง หากเกิดสงครามกับพม่าก็สามารถขอความช่วยเหลือไปยังลำปางได้สะดวก เพราะป่าซางอยู่ระหว่างลำปางกับเชียงใหม่
พระเจ้ากาวิละตั้งมั่นที่เวียงป่าซางโดยใช้เป็นที่ “เก็บฮอมตอมไพร่” นับตั้งแต่ พ.ศ . 2325 ถึง พ.ศ . 2339 รวม 14 ปี จึงเข้าไปฟื้นฟูและตั้งเมืองเชียงใหม่ได้ พระเจ้ากาวิละจึงมีบทบาทความสำคัญในการฟื้นฟูล้านนา เพราะได้รวบรวมพลเมืองเข้ามาไว้ในเมืองเชียงใหม่ เรียกสมัยพระเจ้ากาวิละว่ายุค “เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง ” (ไกรศรี นิมมานเหมินท์, 2525 )
โดยพระเจ้ากาวิละ ทำการกวาดต้อนชาวเมืองเชียงใหม่ที่หลบหนีเข้าป่าให้กลับสู่เมืองเชียงใหม่ และเริ่มกวาดต้อนผู้คนจากแคว้นสิบสองปันนา ซึ่งเป็นชาวไทใหญ่ ไทลื้อ ไทเขิน และยอง ซึ่งผู้คนที่กวาดต้อนมา ถ้าเป็นไพร่ชั้นดีประเภทช่างฝีมือต่างๆ จะให้ตั้งถิ่นฐานในตัวเมือง ส่วนที่เหลือจะให้ตั้งถิ่นฐานอยู่นอกเมืองเป็นแรงงานภาคการเกษตร
ในสมัยเจ้าเจ็ดตนฟื้นฟูบ้านเมืองนั้น เจ้านายทั้งเจ็ดคนพี่น้องแยกย้ายกันครองเมืองเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ต่างให้ความช่วยเหลือกัน ในสภาวะบ้านเมืองทุกข์ยาก ในเมืองลำปางการฟื้นฟูเมืองช่วง พ.ศ. 2325-2337
ส่วนเมืองอืนๆก็ได้ร้บการฟื้นฟูในเวลาต่อมาตามลำดับ เช่น
1.เมืองน่าน ในพ.ศ.2331 /ค.ศ.1788 รัชกาลที่1 ทรงโปรดให้ "เจ้าอัตถวรปัญโญ" เป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน ขณะนั้นน่านยังรกร้างว่างเปล่า เจ้าอัตถวรปัญโญจึงนำครอบครัวชาวน่านและชาวเทิงตั้งอยู่ที่ "บ้านถึด" ในเขตเมืองน่าน จนถึงปี พ.ศ.2343 /ค.ศ.1800 จึงได้ย้ายมาอยู่เมืองน่านเก่าคือที่ตั้งเมืองน่านในปัจจุบัน
2.เมืองลำพูน ได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่ใน พ.ศ.2348 /ค.ศ.1805 โดยพระยากาวิละเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ได้มอบหมายให้ "เจ้ารัตนราชวังหลัง" เป็นเจ้าเมือง นำบริเวารไพร่พลจากเมืองเชียงใหม่และจากเมืองนครลำปางพร้อมผู้คนพลเมืองที่กวาดต้อนมาจาก"เมืองยอง"ให้มาตั้งบ้านเรือนในเมืองลำพูน
3.เมืองเชียงราย ได้รับการฟื้นฟูในปี พ.ศ.2386 /ค.ศ.1843 โดยครั้งนั้น"เจ้ามโหตรประเทศ" เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ ๕ ได้มอบหมายให้ "เจ้าธรรมลังกา"เป็นเจ้าเมืองเชียงราย นำไพร่พลซึ่งประกอบไปด้วยชาวไทยใหญ่ ไทยเขินจากเมืองเชียงตุง เมืองพยาก เมืองเลย และเมืองสาด จำนวนพันครอบครัวเศษไปตั้งถิ่นฐานฟื้นฟูเมืองเชียงราย
4.เมืองพะเยา ได้รับการฟื้นฟูในช่วงเวลาเดียวกับเมืองเชียงรายคือปี พ.ศ.2386 /ค.ศ.1843 รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้"นายพุทธวงศ์" น้องคนที่หนึ่งของพระยานครลำปางน้อยอินทร์ เป็น"ที่พระยาประเทศอุดรทิศ" เจ้าผู้ครองเมืองพะเยา และให้แบ่งครอบครัวชาวเมืองนครลำปางส่วนหนึ่งกับลูกหลานของขาวเมืองพะเยาที่อพยพหนีทัพพม่าไปอยู่เมืองนครลำปางเมื่อ 56 ปีที่ผ่านมา ให้กลับไปตั้งถิ่นฐานฟื้นฟูเมืองพะเยา
5.เมืองเชียงแสน ได้รับการจัดตั้งให้เป็นเมืองอีกครั้งในปี พ.ศ.2417 /ค.ศ.1874 โดยรัชกาลที่ 5 โปรดให้"เจ้าอินทวิไชย"บุตรของเจ้าบุญมาเจ้าผู้ครองนครลำพูน เป็น"พระยาราชเดชดำรง"เจ้าเมืองเชียงแสน ให้นำราษฏรชาวเมืองลำพูนและเชียงใหม่ประมาณ 1,500 ครอบครัวไปตั้งถิ่นฐานในเมืองเชียงแสน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น