วิหารวัดบ้านแสน : ตัวอย่างอาคารโบราณที่รอดพ้นจากการถูกรื้ออย่างหวุดหวิด
วิหารวัดบ้านแสนรอดพ้นจากการถูกรื้อถอนอย่างชนิดที่เรียกว่าเส้นยาแดงผ่าแปด ทำเอาผู้คนที่รู้จักวิหารหลังนี้ไม่ว่าที่ได้ไปเห็นจริงหรือเห็นผ่านสื่อต่างก็ลุ้นกันอย่างใจหายใจคว่ำทั้งที่จตุงและที่เมืองไทย
วัดบ้านแสนเป็นวัดโบราณเก่าแก่ที่มีประวัติย้อนไปถึงรัชสมัยของพญากือนาแห่งอาณาจักรล้านนา ( ราชธานีเชียงใหม่ ) วัดแห่งนี้ตั้งอยู่รัฐฉานตะวันออก เป็นวัดของหมูบ้านลัวะซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาสูงไกลออกไปทางทิศเหนือของเมืองเชียงตุง อยู่บนเส้นทางจากเชียงตุงไปเมืองลาแล้วมีถนนดินลูกรังแยกจากถนนใหญ่ขึ้นสู่หมู่บ้าน ในสมัยก่อนหมู่บ้านแห่งนี้ถือว่าอยู่สุดฟ้าเขาเขียวจึงเป็นหมู่บ้านปิดที่แทบจะไม่มีคนภายนอกเดินทางเข้าไป นอกจากวงการพระสงฆ์แล้ววัดโบราณแห่งนี้จึงแทบจะไม่มีใครรู้จัก
วัดบ้านแสนเป็นวัดในอนุนิกายเชียงใหม่ ( โยนกึง ) กล่าวคือในสมัยโบราณนั้นรัฐฉานตะวันออกและส่วนหนึ่งของรัฐฉานตะวันตกที่อยูติดกับแม่น้ำสาละวินเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนาโดยมีเมืองเชียงตุงและเมืองนายเป็นเมืองลูกหลวงของราชธานีเชียงใหม่ อันเป็นยุคสมัยที่อาณาจักรล้านนายังเป็นมหาอำนาจในเอเซียอาคเนย์ตอนบน อารยธรรมทางพุทธศาสนาในอนุนิกายเชียงใหม่จึงขยายตัวจากเชียงใหม่ขึ้นไปถึงดินแดนตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลยูนนาน( สมัยนั้นยังไม่มีทั้งรัฐฉานและมณฑลยูนนาน ) ดังนั้นในรัฐฉานตะวันออกของพม่าในปัจจุบันจึงมีวัดอยู่มากมายซึ่งในจำนวนนี้เป็นวัดที่มีมาแต่โบราณจากยุคล้านนาไม่ใช่น้อย
สถาปัตยกรรมของวัดในรัฐฉานจะวันออกจะมีอยู่ ๒ แบบคือ
๑ แบบสภาปัตยกรรมล้านนา ซึ่งผมจะขอเรียกว่า “สถาปัตยกรรมล้านนาสกุลช่างเชียงตุง”เพราะมีลักษณะเฉพาะตนออกไป ซึ่งจะทำให้ดูแตกต่างไปจากสกุลช่างเชียงใหม่ สกุลช่างลำปาง หรือสกุลช่างพะเยา
๒ แบบสถาปัตยกรรมไทลื้อ ซึ่งจะมีลักษณะเฉพาะบางประการของผังที่แตกต่างไปจากสถาปัตยกรรมล้านนาไป แต่อย่างไรก็แล้วแต่แม้จะมีลักษณะเฉพาะบางประการที่แตกต่างออกไป แต่ลักษณะโดยรวมและความรู้สึกที่ผู้คนมีต่อภาพทางสถาปัตยกรรมจะคล้ายคลึงกับสถาปัตยกรรมล้านนามาก เช่นหลังคามุงด้วยกระเบื้องดินขอ รูปทรงของหลังคาจะลาดต่ำลงมาใกล้พื้นดินมาก มีโครงสร้างรับหลังคาแบบมั้งตั่งไหม เป็นต้น ในความเห็นส่วนตัวของผม เข้าใจว่าสถาปัตยกรรมของลื้อ( ไทลื้อ )น่าจะปรับรูปแบบไปจากสถาปัตยกรรมล้านนาให้เหมาะสมกับสภาพดินฟ้ากาศที่มีความหนาวเย็นและสภาพลม-ฝนในดินแดนแถบนั้น เช่นการมีหลังคาปีกนกคลุมออกมาทางด้านสกัดทั้งหน้า-หลัง
ดินแดนในรัฐฉานตะวันออกน่าจะเป็นดินแดงแห่งเดียวของคนชาติพันธุ์ไท-ลาวที่ยังหลงเหลือสถาปัตยกรรมดังเดิมที่บริสุทธิ์อยู่เยอะมาก ทั้งสถาปัตยกรรมล้านนาและสถาปัตยกรรมลื้อ ( ยังไม่มีอิทธิของพม่าและจีนเข้ามาปะปนหรือมีน้อยมาก ) ทำให้ดูงดงามคลาสสิคตระการตา เมื่อเราไปยืนอยู่ที่วัดเหล่านี้จะรู้สึกเหมือนลอยละลิ่วย้อนกาลเวลาไปสู่ยุคโบราณ แต่อย่างไรก็แล้วการเปลี่ยนแปลงกำลังเริ่มทะลักเข้ามาอย่างน่าใจหาย เช่นในลาวเหนือวัดสำคัญในสถาปัตยกรรมลื้อในเมืองอูเหนือได้รับการบูรณะโดยช่างจากจีนที่ไม่มีความรู้เพียงพอมาซ่อมแซมผิดไปจากสภาพดั้งเดิมไปมากอย่างหน้าเสียดาย เช่นของเดิมเป็นกระเบื้องดินขอแต่ช่างจีนกลับไปเอากระเบื้องกาบของจีนมาใส่
สถาปัตยกรรมที่วัดบ้านแสนมีทั้งสถาปัตยกรรมแบบล้านนาและศิลปะไทลื้อผสมผสานกัน โดยที่วิหารหลวงเป็นสถาปัตยกรรมล้านนาสกุลช่างเชียงตุง และมีอาคารประกอบบางหลังเป็นสถาปัตยกรรมไทลื้อ แทบจะไม่มีคนภายนอกรู้จักวัดบ้านแสนจนกระทั่งคณะกรรมการวัดและพระสงฆ์ในวัดมีมติให้รื้อทิ้งและสร้างใหม่ ( หลังใหม่จะเป็นแบบไหนก็ยังไม่รู้ ) ชาวบ้านก็คิดแค่ว่าจะได้ของใหม่เท่านั้น แต่ ( เท่าที่ได้ฟังมา )ก็มีพระหนุ่มๆจากหมู่บ้านนี้ที่มาเรียนหนังสือที่เชียงตุงได้นำข่าวบอกคนอื่น ๆในวงการสงฆ์ที่เชียงตุง จึงเริ่มมีคนเดินทางเข้าไปดูซึ่งเมื่อทุกคนได้เห็นก็ตกตะลึงว่านี่คืออาคารในสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่กำลังจะถูกรื้อ ข่าวก็กระจายไปทั่วเชียงตุงจึงเกิดกระแสขึ้นในคนบางกลุ่มซึ่งก็รวมถึงพระสงฆ์บางรูปที่ไม่เห็นด้วยกับการรื้อวิหารหลังนี้ พยายามเข้าไปโน้มน้าวทางวัดแต่ก็ไม่เป็นผล
ต่อมาข่าวก็กระจายมาถึงคนไทยที่ไปเที่ยวเชียงตุงจึงดั้นดันเข้าไปถ่ายรูปแล้วเอามาลงสื่อทำให้คนไทยบางกลุ่มเช่นกลุ่มคนรักเมืองเก่า กลุ่มคนรักบ้านเก่า นักประวัติศาสตร์ศิลปะ กลุ่มมัคคุเทศก์เชียงใหม่ ฯลฯ ให้ความสนใจและติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด บางคนหรือบางกลุ่มก็เดินทางไปที่วัดนี้และพยายามโน้มน้าวแต่ก็ไม่เป็นผล
ระยะเวลาในการรื้อกระชั้นชิดเข้ามา ก็มีข่าวออกมาว่ามีการรื้อไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนตัวผมรีบโทรไปสอบถามปราชญ์พื้นบ้านที่เชียงตุงก็ได้คำตอบว่าข่าวคลาดเคลื่อนไป อาคารที่ถูกรื้อเป็นอาคารเล็กอีกหลังหนึ่ง ผมจึงรีบแจ้งข่าวผ่านสื่อต่าง ๆไป ผู้คนก็โล่งอก แต่ก็แค่ชั่วคราวเพราะทุกคนรู้ว่าไม่ช้าก็เร็วอาคารหลังนี้จะต้องถูกรื้อ......แต่แล้ว.....เมื่อเวาลผ่านไป ๆ ๆและผ่านไปวิหารหลังนี้ก็ยังคงอยู่...... ผู้คนก็แอบดีใจแต่แปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ผมสอบถามกับคนในเชียงตุงที่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์ก็ได้ความว่าสมเด็จพระอาชญาธรรมเข้าไปปกป้องวิหารหลังนี้ได้ทันในเกือบจะนาทีสุดท้าย พระอาชญาธรรมเป็นตำแหน่งสังฆราชแห่งเชียงตุง บางท่านอาจจะงงว่าเชียงตุงเป็นแค่จังหวัดหนึ่งของพม่า....ที่เป็นตำแหน่งสังฆราชก็เพราะศาสนาพุทธในรัฐฉานตะวันออกเป็นอนุนิกายเชียงใหม่ซึ่งแตกต่างจากอนุนิกายพม่า จึงต้องมีสังราชเฉพาะของอนุนิกายแยกไปต่างหาก
จริง ๆแล้วคงจะไม่ใช่เป็นความคิดของท่านสมเด็จพระอาชญาธรรมเองที่จะไปห้ามวัดบ้านแสนไม่ให้รื้อวิหารหลังนี้เพราะตัวของท่านเองก็มีชนักติดหลัง ตัวของท่านเองก็เคยรื้ออาคารโบราณที่วัดหัวข่วงในเมืองเชียงตุง แต่เข้าใจว่าคงจะมีผู้คนรอบทิศรอบทางเข้ามาขอร้องให้ท่านช่วยโน้มน้าวไม่ให้วัดบ้านแสนรื้อวิหารหลังนี้........ตัวผมเองเดาว่าเสียงล็อบบี้หนักๆเสียหนึ่งน่าจะจากทางเชียงใหม่โดยเฉพาะจากมหาวิทยลัยสงฆ์ที่วัดสวนดอก
พระอาชญาธรรมคงจะหนักใจไม่ใช่น้อยเพราะรู้ตัวว่าจะต้องเลือดโชกแน่งานนี้ และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆท่านเองถูกพระสงฆ์และกรรมการวัดบ้านแสนโจมตีหนักแต่ท่านก็มาขมวดว่าเพราะเห็นความผิดพลาดในอดีตนั้นแหละจึงได้ดั้นด้นมาบอกพวกท่านว่าไม่สมควรอย่างยิ่งที่รื้อวิหารหลังนี้ทิ้ง.....เรื่องก็จบลงด้วยดี
ปัจจุบันทั้งคณะกรรมการวัดและชาวบ้านรู้แล้วว่าวิหารหลังนี้มีคุณค่าและดีใจที่วิหารหลังนี้ยังคงอยู่ ปัจจุบันผู้คนจากภายนอกเริ่มเข้ามาเยือนบ้านแสนกันแล้ว โดยเฉพาะผู้คนจากเมืองไทย ผู้ที่มาเยือนล้วนแต่เป็นคนที่ชอบวัดโบราณดังนั้นจึงเข้าไปยังหมู่บ้านอย่างมีสัมมาคารวะ ชาวบ้านก็ยังชื่นชอบกับนักท่องเที่ยวที่มาเยือน..........ในอนาคตหากมีการจัดทัวร์มาเป็นแบบแมสทัวริสซึ่มแบบทัวร์จีนก็น่าหวั่นใจอยู่เหมือนกันว่ามันจะเหมาะสมหรือไม่ ? ก็คงต้องคอยดูกันต่อไปครับ
ข้อมูล วสา ชื่นบาน
ขอบคุณภาพเพจ เชียงตุงดินแดนต้องมนต์แห่งรัฐฉาน




ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น