ตำนาน นรสิงห์ หรือ นรสีห์ (สันสกฤต: नरसिंह, อังกฤษ: Narasimha)
ตำนาน นรสิงห์ หรือ นรสีห์ (สันสกฤต: नरसिंह, อังกฤษ: Narasimha) เป็นอวตารร่างที่ 4 ของพระนารายณ์ตามเนื้อเรื่องในคัมภีร์ปุราณะ อุปนิษัท และคัมภีร์อื่น ๆ ของศาสนาฮินดู โดยมีร่างกายท่อนล่างเป็นมนุษย์ และร่างกายท่อนบนเป็นสิงโต นรสิงห์เป็นผู้สังหารหิรัณยกศิปุ อสูรตนซึ่งได้รับพรจากพระพรหมว่าจะไม่ถูกสังหารโดยมนุษย์หรือสัตว์ นรสิงห์เป็นที่รู้จักและบูชาโดยทั่วไป
หิรัณยกศิปุบำเพ็ญตบะเป็นเวลานาน จนได้รับพรจากพระพรหม ให้เป็นผู้ที่ฆ่าไม่ตายจากมนุษย์, สัตว์, เทวดา ให้ฆ่าไม่ตายทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน ให้ฆ่าไม่ตายทั้งจากอาวุธและมือ ให้ฆ่าไม่ตายทั้งในเรือนและนอกเรือน
หิรัณยกศิปุ ได้อาละวาดสร้างความเดือดร้อนไปทั่วทั้งสามภพ พระอินทร์จึงทูลเชิญพระนารายณ์อวตารเกิดมาเป็น นรสิงห์ คือ มนุษย์ครึ่งสิงห์ นรสิงห์สังหารหิรัณยกศิปุด้วยกรงเล็บด้วยการฉีกอก ที่กึ่งกลางบานประตู ในเวลาโพล้เพล้ ก่อนตาย นรสิงห์ได้ถามหิรัณยกศิปุว่า สิ่งที่ฆ่าเจ้าเป็นมนุษย์หรือสัตว์หรือเทวดาหรือไม่ คำตอบก็คือ ไม่ สิ่งที่สังหารเป็นมือหรืออาวุธหรือไม่ คำตอบก็คือ ไม่ ในเรือนหรือนอกเรือนหรือไม่ คำตอบก็คือ ไม่ และเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนหรือไม่ คำตอบก็คือ ไม่ นรสิงห์จึงประกาศว่า บัดนี้ พรที่ประทานจากพระพรหมได้สลายไปสิ้นแล้ว เทวดาทั้งสามภพจึงยินดี
รูปประติมากรรมหรือรูปวาดของนรสิงห์ตอนสังหารหิรัณยกศิปุ จึงมักสลักมีรูปเทวดาองค์เล็ก ๆ 2 องค์อยู่ข้างล่างแสดงกิริยายินดีด้วย
นรสิงห์แบบพม่า
นรสิงห์ตามคติของพม่าจะแตกต่างไปจากของฮินดู มีกายเป็นสิงโต แต่มีศีรษะเป็นมนุษย์ สืบเนื่องจากพระเจ้าอโศกมหาราช ได้ให้พระเถระสองรูป คือ พระโสณะและพระมหาอุตตรมหาเถระ เผยแผ่พุทธศาสนาถึงเมืองสะเทิม ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศพม่า ได้มีนางยักษ์ได้อาละวาดกินเด็กที่เกิดใหม่ สร้างความเดือดร้อนไปทั่วเมือง ความเมื่อทราบถึงพระเถระทั้งสองจึงได้จำแลงกายเป็น มนุษย์ครึ่งสิงห์ สร้างความตกใจให้แก่นางยักษ์ จึงหลบหนีไป จึงสืบต่อเป็นคติของการสร้างรูปนรสิงห์ เพื่อป้องกันภยันตรายตามสถานที่สำคัญทางศาสนาต่าง ๆ ของพม่าและล้านนาของไทย
ตำนานมนุสสีหะของชาวมอญสะเทิม
ชาวมอญเรียกมนุษย์สิงห์เป็นภาษาบาลีว่า “มนุสสีหะ” โดยออกเสียงอย่างสำเนียงมอญว่า “แหมะนุดซอยฮะ” มีตำนานเล่าถึงการทำประติมากรรมรูปมนุษย์สิงห์ในพระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เรื่อง “เที่ยวเมืองพม่า” ดังนี้
“เมื่อผ่านประตูด้านหน้าเรือนรับรองที่พัก มองเห็นรูปปั้นไม้แกะสลักนรสิงห์ ตั้งตระหง่านอยู่ 2 รูป โดยมีร่างเป็นสิงห์ หน้าตาเป็นคน แต่มีปีกบินได้เหมือนนก สอบถามประวัติความเป็นมา ได้ความว่า ชาวพม่าเรียกว่า มนุสสีหะ มีประวัติตามนิทานปรัมปราเมืองสะเทิมว่า เมื่อครั้งในยุคสุวรรณภูมิ ประมาณ พ.ศ.236 พระเจ้าอโศกมหาราชได้ส่งสมณทูต คือพระโสณะและพระอุตตระเข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนา ได้พบพวกยักษ์กินเด็กมนุษย์ พระอรหันต์ทั้งสองจึงได้สร้างหรือแปลงร่างเป็นนรสิงห์ขับไล่ยักษ์กินเด็กให้หนีไป หลังจากนั้น ได้ปักหลักตั้งมั่นพระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมินี้ นรสิงห์จึงถือว่าเป็นเทพพิทักษ์ เป็นเครื่องหมายแห่งสิ่งชอบธรรมในพระพุทธศาสนา”
นัยแห่งข้อความนี้ สามารถตั้งข้อสังเกต แยกตีความได้ 4 ประเด็นหลักๆ
ประเด็นแรก ชาวมอญสะเทิมมีการอ้างถึงเหตุการณ์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระโสณะกับพระอุตตระ ผู้ที่พระเจ้าอโศกมหาราชส่งมาประกาศศาสนธรรมยังสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงทางประวัติศาสตร์ แต่มีการเพิ่มอภินิหารให้พระธรรมทูตทั้งสองมีอิทธิฤทธิ์เหมือนพระโมคคัลลานะ ที่สามารถแปลงกายได้ (บ้างว่าเสกร่างได้) เพื่อกดข่มมนุษย์ผู้ป่าเถื่อนให้พ่ายแพ้
ประเด็นที่สอง เรื่องราวของ “ยักษ์กินเด็ก” สะท้อนถึงสภาพบ้านเมืองในอุษาคเนย์ช่วงพุทธศตวรรษที่ 3 ว่าประชาชนส่วนใหญ่ค่อนข้างป่าเถื่อน ยังเป็นสังคมบุรพกาลไล่ล่าหัวมนุษย์กันอยู่ ไม่ต่างจากเรื่องราวที่พบในท้องถิ่นอื่นๆ ทำนองเดียวกันนี้ อาทิ ตำนานเรื่องลัวะที่ต้องการเข้ารีตมานับถือพุทธ แต่บรรพบุรุษของพวกตนยังต้องการกินเนื้อมนุษย์อยู่ เป็นต้น
สองประเด็นแรกนี้ ชี้ให้เห็นถึงการต่อสู้ทางความคิดอย่างเข้มข้น ในช่วงแรกแห่งการ “กว่าที่จะสถาปนา” พระพุทธศาสนาให้หยั่งรากลึกลงในดินแดนที่ผู้คนยังนับถือภูติผีปีศาจมาก่อน นั้นว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ซึ่งเรื่องราวพิสดารพันลึกเหล่านี้ไม่พบในเอกสารชิ้นอื่น พบแต่เพียงร่องรอยของ “จารึกกัลยาณี” เขียนโดยพระเจ้าธรรมเจดีย์ กษัตริย์มอญเมื่อปี พ.ศ.2019 กล่าวถึงพระพุทธศาสนาจากอินเดียที่เผยแผ่มาสู่รัฐมอญในสุวรรณภูมิยุคพระเจ้าอโศกมหาราช
โดยพระโสณะและพระอุตตระ ซึ่งทั้งสองท่านต้องเผิชญหน้ากับอุปสรรคความยากลำบากโดยต้องช่วยกันขับไล่ “ยักษ์” (สัญลักษณ์ของอวิชชา) ออกไปจากดินแดนมอญ
ชาวมอญในอดีตนิยมเอาทางมะพร้าวหรือใบลานมาสานเป็นรูปมนุษย์สิงห์ ในลักษณะคนหัวเดียว แต่ลำตัวเป็นสิงห์แยกออกสองด้าน แล้วนำไปแขวนบนเปลทารกที่เกิดใหม่ (เหมือนคนไทยแขวนปลาตะเพียน) เป็นสัญลักษณ์แห่งการปกป้อง
เรียกโมบายที่แกว่งไกวไปมานี้ว่า “ยักขสีหะ” หรือ “ยักษสิงห์” (Rakkhasimha ภาษาพม่า ตัว R กับ Y ใช้แทนกัน) แปลว่า สิงห์ผู้ปราบยักษ์
ประเด็นที่สาม สมเด็จในกรมทรงใช้คำว่า “นรสิงห์” แทน “มนุษย์สิงห์” หลายจุด ดังนั้นจำเป็นต้องวิเคราะห์ให้เห็นความแตกต่างระหว่าง “นรสิงห์” กับ “มนุษย์สิงห์” อย่างชัดเจน
ประเด็นที่สี่ การใช้ “สิงห์” มาผสมกับร่างของมนุษย์ สามารถถอดรหัสคำอธิบายอย่างไรได้บ้าง ในเมื่อประเทศในแถบอุษาคเนย์ไม่ใช่แหล่งที่สิงโตอาศัยชุกชุม ผิดกับประเทศในแถบอียิปต์ ตะวันออกกลาง หรือกลุ่มเมโสโปเตเมีย อีกทั้ง “สิงห์” ในอีกโสดหนึ่งก็เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า ที่ประกบคู่มากับสัญลักษณ์ของพระวิษณุด้วย
นรสิงห์ในป่าหิมพานต์
กับนรสิงหาวตาร
คําว่า “นรสิงห์” เมื่อมองเผินๆ แล้วน่าจะใช้แทนคำว่า “มนุษย์สิงห์” ได้ เนื่องจาก “นรชน” ก็หมายถึงมนุษย์ แต่เผอิญคำว่า “นรสิงห์” นี้ในทางโบราณคดีได้กลายเป็นชื่อเฉพาะของประติมานวิทยาไปแล้วถึง 2รูปแบบ
รูปแบบแรก คือ “นรสิงห์” หรือ “เทพนรสีห์” หนึ่งในสัตว์หิมพานต์ มีหัวและลำตัวท่อนบนเป็นคน ช่วงล่างดูคล้ายกวาง (ในทางประติมานวิทยา นรสิงห์ไม่ทำท่อนล่างให้เป็นสิงห์ แต่เหตุที่ชื่อมีคำว่า “สิงห์” เพราะมีพ่อเป็นราชสีห์) หากเป็นเพศเมียเรียก อัปสรสีห์
ถ้าเช่นนั้น นรสิงห์ก็ไม่อาจใช้เรียกแทน มนุษย์สิงห์ได้อย่างสนิทใจ เพราะตำราสัตว์หิมพานต์ได้กำหนดให้นรสิงห์เกิดจากพ่อที่เป็นราชสีห์ ไม่ได้เกิดจากการเสกสร้างนฤมิตใหม่โดยพระโสณะกับพระอุตตระ
สังเกตให้ดี นรสิงห์มักอยู่ในท่ายืนงดงามตามสระอโนดาต ไม่ได้นั่งหมอบหรือมีหน้าที่ขับไล่ยักษ์ พิทักษ์พระพุทธศาสนา
รูปแบบที่สอง ใช้เรียกตอนที่พระวิษณุหรือพระนารายณ์อวตารมาเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งสิงห์ก็เรียก “นรสิงห์” เช่นกัน เพื่อปราบยักษ์ “หิรัณยกศิปุ” ในช่วงที่โลกเกิดความวุ่นวาย เหล่าอธรรมอหังการ ก่อความไม่สงบ
แต่นรสิงห์ในร่างอวตารนี้ทำรูปลำตัวเป็นคนแต่หัวเป็นสิงห์ สลับกับมนุษย์สิงห์ที่หน้าเป็นคนแต่ร่างเป็นสิงห์
อย่างไรก็ดี ประเด็นการที่ทั้งพุทธและพราหมณ์ต่างนำเรื่องราวของ “สิงห์” ซึ่งเป็นสัตว์ดุร้าย หรือเจ้าแห่งสัตว์ป่า มาทำหน้าที่ผู้ทวงคืนความสุขผดุงความถูกต้องนั้น เป็นสิ่งที่ต้องขบคิดกันต่อไปว่าแนวคิดดังกล่าวนี้ทั้งพุทธและพราหมณ์รับต้นแบบมาจากอารยธรรมใด
สฟิงซ์อียิปต์
สู่การปราบสิงโตของเมโสโปเตเมีย
การนำสิงโตมาผสมกับร่างของมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก พบในอารยธรรมอียิปต์ราว 4,500 ปีมาแล้ว จัดวางอยู่หน้ามหาพีระมิดที่เมืองกิเซ สฟิงซ์อียิปต์ทำหน้าที่เฝ้าพิทักษ์สุสานของฟาโรห์ โดยอัญเชิญใบหน้าของฟาโรห์ผู้ตายมาจำหลักบนใบหน้าสฟิงซ์
สิงโตที่หมอบนั้น ชาวอียิปต์มองว่าเป็นตัวแทนของสัตว์ที่มีพลังอำนาจมหาศาลเทียบได้กับแสงอาทิตย์ เห็นได้จากชาวอียิปต์นิยมวาดรูปสิงโตจู่โจมทำร้ายข้าศึกศัตรูบนจิตรกรรมฝาผนังเพื่อข่มขวัญ เมื่อนำใบหน้าของฟาโรห์มารวมในร่างของสิงโตผู้ทรงพลัง แต่กลับสยบยอมหมอบราบแก่ฟาโรห์ จึงมีความหมายประหนึ่งว่าฟาโรห์องค์นั้นคือผู้ชนะและมีความเป็นอมตะนิรันดร์เฉกเช่นดวงอาทิตย์
อียิปต์ถ่ายทอดอารยธรรมการทำสฟิงซ์เฝ้าสุสานให้แก่กลุ่มเมโสโปเตเมีย โดยเฉพาะอัสซีเรียกับเปอร์เซีย (ปัจจุบันคือแถบประเทศซีเรีย อิรัก อิหร่าน) เปอร์เซียถ่ายทอดต่อมายังอินเดีย
น่าประหลาดตรงที่ว่า เราไม่พบรูปแบบสฟิงซ์หมอบสี่ขาหน้าเป็นคนในอินเดียที่คอยเฝ้าสุสานหรือศาสนสถานต่างๆ
แต่พราหมณ์อินเดียกลับนำไปแปลงเป็นเรื่อง “นรสิงหาวตาร” สัญลักษณ์ของพระวิษณุ
ส่วนชาวพุทธอินเดียรับคติที่ว่า “สิงห์” มีความยิ่งใหญ่เป็นเจ้าแห่งสัตว์ทั้งปวง มารับใช้กลายสัญลักษณ์ของ “พระศรีศากยวงศ์” หรือราชสกุลวงศ์ของพระพุทธเจ้าโคตมะองค์ปัจจุบัน ในทางประติมานวิทยา พระเจ้าอโศกมหาราชก็ทำรูปสิงโต 4 ตัวหันหลังชนกันบนแท่งเสาประกาศธรรม
กระทั่งในวัฒนธรรมมอญสะเทิมยุคสุวรรณภูมิ หรือต้องเรียกว่า มอญยุคโบราณมากๆ จึงเกิดคติการนำ “สฟิงซ์” แบบอียิปต์-เมโสโปเตเมีย หวนกลับมาใช้อีกครั้ง ให้ทำหน้าที่ปกป้องยักษ์ (คนนอกศาสนา) ที่จะมาทำร้ายผู้บริสุทธิ์ (ใช้สัญลักษณ์เป็นเด็กทารก)
มนุษย์สิงห์ จากคติมอญสู่พม่า-ไทใหญ่
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า ณ ปัจจุบันหรืออันที่จริงควรนับตั้งแต่ 500 ปีที่ผ่านมาด้วยซ้ำ เราไม่พบประติมากรรมรูปมนุษย์สิงห์ตามวัดของชุมชนชาวมอญต่างๆ อีกเลย ทั้งมอญในประเทศไทยและมอญในประเทศพม่า พบแต่เพียงรูปเสาหงส์ ตุงตะขาบ ซึ่งยังไม่มีการศึกษาว่าทำไมคติมนุษย์สิงห์จึงซบเซาสูญหายไปจากวัฒนธรรมมอญ
แต่มนุษย์สิงห์ ซึ่งมีต้นกำเนิดจากชาวมอญ กลับไปได้รับความนิยมอย่างสูงตามวัดที่สร้างโดยชาวพม่า ต่อเนื่องมาจนถึงวัดที่สร้างโดยชาวไทใหญ่
หลักฐานการทำรูปมนุษย์สิงห์พบมากในแผ่นดินล้านนา ตามวัดที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4-6 คือช่วงที่อนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาทำสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือ พ่อค้าคหบดีที่มาจากพม่า (ซึ่งในที่นี้ขอเรียกโดยรวมว่า “กลุ่มมอญ-ม่าน-เงี้ยว” เพราะไม่อาจแยกเชื้อชาติได้) นิยมสร้างรูปมนุษย์สิงห์ 2 ลักษณะ
ลักษณะแรก เป็นมนุษย์สิงห์ 4 ตน ประดับอยู่บนฐานเจดีย์ทั้ง 4 มุม และมักอยู่บนฐานชั้นที่ 3 เมื่อนับจากล่างขึ้นบน ประติมากรรมที่ใช้ประดับตามมุมฐานเจดีย์ 4 ชั้นมีดังนี้ ชั้นล่างสุดคือ สิงห์ ชั้นที่ 2 เป็นรูปเจดีย์จำลอง (นักโบราณคดีเรียก “สถูปิกะ” คนล้านนาเรียก “ธาตุน้อย”) ชั้นที่ 3 มนุษย์สิงห์ และชั้นบนสุดคือ หม้อดอก (หม้อปูรณฆฏะ)
ฐานแต่ละชั้นค่อยๆ ลดหลั่นขึ้นไปจากใหญ่สู่เล็ก ในเมื่อมนุษย์สิงห์อยู่บนฐานชั้นที่ 3 ทำให้คนทั่วไปหากไม่แหงนหน้าเพ่งมองดีๆ ก็อาจเห็นตัวมนุษย์สิงห์ไม่ค่อยชัดนัก
ลักษณะที่สอง เป็นมนุษย์สิงห์ 1 คู่ วางหมอบอยู่หน้าทางเข้าพระวิหารของวัด บางแห่งมีสิงห์ตั้งประกบคู่ บางแห่งวางมนุษย์สิงห์คู่กับนาค
ไม่ว่าจะตั้งมนุษย์สิงห์ให้เฝ้าพระธาตุเจดีย์หรือเฝ้าพระวิหารก็ตาม ทั้งสองลักษณะย่อมแสดงให้เห็นว่ามนุษย์สิงห์ทำหน้าที่เป็นหนึ่งในทวารบาล คอยเฝ้าพิทักษ์ปกป้องศาสนสถานให้พ้นจากสิ่งชั่วร้าย
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ในจังหวัดลำพูนโดยเฉพาะตามชุนชนชาวยอง พบรูปมนุษย์สิงห์จำนวนมาก หากไม่มีการศึกษาเปรียบเทียบกับศิลปกรรมยองในเมืองยอง รัฐฉาน ประเทศพม่า ก็ย่อมไม่เข้าใจ และอาจพลอยคิดไปว่า การทำรูปมนุษย์สิงห์ที่พบในลำพูนจำนวนมากเช่นนี้ คงรับอิทธิพลต้นแบบมาจากมาตุภูมิเมืองยองกระมัง
ครั้นเมื่อไปสำรวจศิลปกรรมที่เมืองยองในพม่า กลับไม่พบความนิยมในการทำรูปมนุษย์สิงห์แต่อย่างใด ดังนั้นจึงได้ข้อสรุปว่า ชาวยองที่อพยพมาอยู่เมืองลำพูนตั้งแต่สมัยพระเจ้ากาวิละเมื่อเกือบ 220 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้เป็นผู้นำเอารูปแบบมนุษย์สิงห์มาสร้างที่ลำพูนแต่อย่างใด
ทว่ามนุษย์สิงห์ในชุมชนยองเหล่านี้ สร้างขึ้นในยุคคหบดี “มอญ-ม่าน-เงี้ยว” ที่เข้ามาค้าไม้เมื่อ 100-150 ปีมานี้เอง และพวกส่างหม่องผู้ร่ำรวยก็นำรสนิยมอันรุ่มรวย พร้อมคตินิยมเรื่องมนุษย์สิงห์ที่พวกเขารับจากมอญ มาสถาปนาในวัดที่พวกตนอุปถัมภ์ แม้ว่าบริเวณนั้นจะทับที่กลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ไม่ว่าโยน ลื้อ ขึน ยอง ฯลฯ



ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น