[ข่าวลุงพล] สางเขียว พลัดหลงทางไป พร้อมทิ้งความห่วงใย ของคำว่า เพื่อนแท้
พลัดหลงทางไป พร้อมทิ้งความห่วงใยของคำว่า
เพื่อนแท้
เมื่อพายุร้ายของชีวิตพัดผ่านไปแล้ว บรรยากาศก็จะแจ่มใส
รื่นรมย์ร่มเย็นไปสักระยะหนึ่ง แล้วคงจะมีพายุร้ายพัดมาอีก เป็นครั้งคราวตามฤดูกาล
หรือสุดแล้วแต่ความแปรปรวน แห่งบรรยากาศของโลก สุข ทุกข์ สมหวัง ผิดหวัง เป็นฤดูกาลอย่างหนึ่งของชีวิต
ทำให้ชีวิตของเราแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เหมือนต้นไม้ที่เจริ ญเติบโต แข็งแรง จะต้องผ่านฤดูกาลทั้งสาม
เราอยู่ในโลกนี้ สังคมนี้ จะให้ใครๆ
เขานิยมชมชอบเรา ทุกคนนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้สุภาษิตไทยที่ว่า“คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ” นั่นยังเป็นความจริงอยู่เสมอ
ในวันที่สางเขียว พลัดหลงทางไป
พร้อมกับความห่วงใยของคำว่า เพื่อนแท้ ก็ถูกโยนทิ้งระหว่างทาง ความหลงมีสองอย่าง คือ “ไม่รู้ตัว” กับ
“ไม่รู้ความจริง” การไม่รู้ตัวเกิดจากความเผลอ ลืมตัว
มันทำให้เรา คิดไปในทางที่เพิ่มทุกข์ให้แก่ตนเอง
เชื้อเชิญความทุกข์ใจให้เกิดขึ้นกับเรา ความโศกความร่ำไรรำพัน มักจะเกิดตอนที่เรา นึกถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้ว
สิ่งที่เสียไปแล้ว คนรักที่จากไปแล้ว ไม่สามารถจะเอากลับคืนมาได้
ก็เลยเศร้าโศกเสียใจ ความคับแค้นใจ มักจะเกิดตอนที่เรานึกถึงคนที่ขัดอกขัดใจเรา
หรือคนที่ต่อว่าด่าทอเรา
บางครั้งเรื่องเกิดขึ้นนานแล้ว แต่ใจก็ไม่ยอมวางเสียที
บางทีก็จดจ่อหมกมุ่นกับอนาคต คิดไปในทางเลวร้าย มันจะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าไม่รู้
แต่ก็คิดไปในทางลบแล้ว เรียกว่ามโน ก็ทำให้เกิดความวิตกกังวล กระวนกระวาย
ความทุกข์ใจเกิดขึ้นแล้ว ก็ยังหลงปกป้องรักษา ฟูมฟักหล่อเลี้ยงมันเอาไว้
อันนี้ก็คือความหลง ไม่รู้ตัว
แต่ที่จริงแล้ว รากเหง้าของความทุกข์คือ
หลงตัวที่สองคือ “ไม่รู้ความจริง” ความจริงที่ว่าคือ
สิ่งทั้งปวงล้วนไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไป ดับไป เรียกว่าเป็นทุกข์ หรือ
ทุกขัง รวมทั้ง ไม่มีอะไรที่สามารถยึดเป็นตัวเป็นตนได้ คือเป็นอนัตตา
สรุปก็คือ สิ่งทั้งปวง
ไม่ว่ารูปธรรมหรือนามธรรม ล้วนไม่น่ายึดถือเพราะยึดถือไม่ได้
เพราะว่ามันแปรเปลี่ยนเป็นนิจ มันต้องเสื่อมต้องดับไป
แต่พอเราไม่รู้ความจริงข้อนี้ เราก็เลยมีความคิดหรือความอยาก ที่สวนทางกับความจริง
หรือมิอาจเป็นจริงได้ เช่น ยึดว่าร่างกายนี้จะต้องหนุ่มต้องสาวตลอด จะต้องไม่แก่
จะต้องมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรง มีกำลังวังชาไปเรื่อยๆ จะต้องไม่เจ็บไม่ป่วย ทั้งๆ
ที่ควรจะมองว่า คนเราที่ไม่แก่ ไม่ป่วยนั้นไม่มี
แต่ว่าใจไม่ยอมรับเพราะหลงยึดเอาไว้ หลงคิดว่านักข่าว จะต้องอยู่กับเราไปตลอด
ซึ่งความจริงแล้วมันไม่ใช่ เสร็จจากเรื่องราวต่างๆ เขาก็คงจากไป
เพื่อทำหน้าที่ของเขาต่อ
ยึดไว้ว่า อะไรที่ได้มาแล้ว ก็จะไม่เสื่อมสูญไป
มีของรักมีของถูกใจแล้ว ก็จะยึดให้มันอยู่กับเราไปนานๆ ชั่วฟ้าดินสลาย
แต่ความปรารถนาเหล่านี้ ล้วนขัดแย้งกับความจริง ก็เลยเกิดความทุกข์ใจ
เกิดความอาลัย เกิดความวิตก เมื่อของรักหายไปก็กลุ้มอกกลุ้มใจ
เมื่อคนรักจากไปก็โศกเศร้าเสียอกเสียใจ นี่เป็นเพราะความหลง ไม่รู้ความจริง
คนส่วนใหญ่ มักถูกความหลงครอบครองจิตใจ
จิตของคนส่วนใหญ่ เปรียบเหมือนห้องที่มืดสลัว เหมือนกับมีเทียนอยู่เล่มสองเล่มปักอยู่กลางห้อง
แต่บางคนก็เปรียบเหมือนห้องที่มืดสนิท ถ้าจิตของใคร มืดสนิท ก็เรียกได้ว่าเป็นคนบ้า
หรือคนคลุ้มคลั่งไปแล้ว เพราะว่าไม่มีความรู้สึกตัวแม้แต่น้อย
ตัวรู้กับตัวหลงมันขับเคี่ยวกัน
ตัวหลงพยายามครองจิตครองใจเรา โดยขับไล่ตัวรู้ให้หายไป ถ้าเราเห็นความสำคัญของการสร้างความรู้สึกตัว
ก็จะต้องหาทางป้องกัน ไม่ให้ตัวหลงมาครองใจ ที่จริงแล้ว เราไม่ต้องทำอะไรกับตัวหลงเลย
เพียงแค่เพิ่มตัวรู้ให้มากขึ้นก็พอแล้ว เหมือนกับความมืด เราไม่ต้องไล่มัน เพียงแต่เราเพิ่มความสว่างให้มากขึ้น
ความมืดก็หายไปเอง
อย่างไรก็ตาม
เราต้องไม่ลืมว่าตัวหลงเป็นนักฉวยโอกาส มันฉลาดมาก เราจำเป็นต้องรู้ธรรมชาติ
รู้นิสัย รู้อุบายของตัวหลง แต่ถ้าเราไม่รู้ธรรมชาติ ไม่รู้นิสัย ไม่รู้อุบาย
เราก็อาจจะโดนตัวหลงเล่นงาน ส่วนตัวรู้ที่สร้างขึ้น ก็หดหายไป เพราะถูกตัวหลงเข้ามาครอบงำ
ตัวหลง มันคอยชักนำ อกุศลธรรมให้มาครอบงำใจเรา
เช่น ความโกรธ ความเศร้า ความอิจฉาริษยา มันครอบงำใจเราได้เมื่อไหร่ ก็ยิ่งหลง
หรือลืมตัวหนักขึ้น และยิ่งหลงหรือลืมตัวมากเท่าไหร่ อารมณ์ เหล่านี้ก็ฝังรากลึก ในจิตใจเรามากเท่านั้น
สังเกตหรือไม่เวลาเราโกรธ ใจเราไปอยู่ที่ไหน ใจจะพุ่งไปยังบุคคล สิ่งของ หรือเหตุการณ์ที่ทำให้เราโกรธ
ที่ทำให้เราไม่พอใจ มันจะไปจดจ่ออยู่ตรงนั้น เรียกอีกอย่าง ว่าจิตส่งออกนอก
ความหลงมันรู้ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เรากลับมามองตน เราจะเห็นมัน และนั่นคือสิ่งที่มันกลัวที่สุด
คือกลัวถูกเห็น ถูกรู้ เหมือนขโมยที่แอบเข้ามาในบ้าน มันกลัวเจ้าของบ้านเห็น
เจ้าของบ้านไม่ต้องทำอะไร เพียงแค่สบตา หรือเพียงแค่จ๊ะเอ๋มันเท่านั้น มันก็หนีไป
อารมณ์อกุศลหรือความหลงก็เหมือนกัน
มันกลัวถูกรู้ ถูกเห็น มันจึงพยายามล่อให้จิตเรา จดจ่อกับสิ่งนอกตัว จะได้ไม่รู้ว่า
ความหลงหรืออารมณ์อกุศล กำลังครองจิตเราอยู่ สังเกตไหม เวลาโกรธหรือเศร้า
จิตเราจะมัวนึกถึงสิ่งนอกตัว ย้ำคิด ย้ำนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้ว หรือคำพูดและการกระทำของใครบางคน
ที่ตอกย้ำซ้ำเติมความโกรธความเศร้า
อุบายอย่างที่สองของความหลงคือ
มันพยายามบงการจิตใจ เพื่อเติมพลังให้กับมัน เปรียบเหมือนกับสิ่งมีชีวิต ที่พยายามอยู่รอดและแพร่พันธุ์ให้มากที่สุด
ขอให้เรานึกถึงไวรัส เมื่อมันเข้ามาในร่างกายเรา อย่างแรกที่มันทำคือ
ฝังตัวอยู่ในเซลล์ของร่างกาย แล้วบงการให้เซลล์เหล่านั้น ผลิตตัวมันซ้ำๆ แบบทวีตรีคูณ จนกระทั่งอัดแน่นไปทั้งเซลล์
ก่อนที่เซลล์จะระเบิด แล้วไวรัสก็จะกระจายไปตามเส้นเลือด จนเข้าไปในเซลล์ของอวัยวะอื่นๆ
แล้วสั่งให้เซลล์เหล่านั้น สร้างตัวมันขึ้นมาอีก มะเร็งก็เช่นกัน
เวลามันเกิดขึ้นในร่างกายเรา มันจะดึงเอาเส้นเลือดต่างๆ ที่อยู่รอบตัว ให้ส่งอาหารมาหล่อเลี้ยงตัวมัน
จนขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จากนั้น ก็จะพยายามแพร่กระจายไปตามอวัยวะต่างๆ
อารมณ์อกุศลมีพฤติกรรมคล้ายๆ กัน
เมื่อมันครองใจเราได้ มันจะพยายามสร้างตัวมันให้เติบใหญ่ มีกำลัง มีอานุภาพมากขึ้น
ด้วยการบงการใจเรา มันทำอย่างไร ก็สั่งให้ใจของเรา
นึกถึงเหตุการณ์หรือคนที่ทำให้เกิดความโกรธหรือความเศร้า นึกซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่น
เวลาเราโกรธใคร ใจจะไปขุดคุ้ยเอาความไม่ดีของเขา เช่น ความไม่ดีที่เคยทำกับเรา หรือเคยทำกับคนที่เรารัก
เพื่อสุมไฟให้กับความโกรธ จะได้โกรธมากขึ้น และจะได้หลงนาน
เวลาเศร้าก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุใดก็ตาม
มันจะสั่งใจให้ขุดคุ้ยเรื่องต่างๆ ที่ทำให้เศร้ามากขึ้น จนบางที รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
หรือสมเพชตัวเองว่า ทำไมฉันเป็นคนเคราะห์ร้ายแบบนี้ ทำไมไม่มีใครเห็นคุณค่าของฉันเลย
มันจะบงการใจ ให้คิดนึกหรือขุดคุ้ยเรื่องต่างๆ ขึ้นมา ตอกย้ำซ้ำเติมให้เรารู้สึกแย่กับตัวเองมากขึ้น
ทำให้ยิ่งเศร้ามากขึ้น และยิ่งเศร้ามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งหลงมากเท่านั้น
อันนี้เป็นอุบายอย่างหนึ่งของมัน
อีกวิธีหนึ่งก็คือ การพยายามสรรหาเหตุผลเพื่อมารองรับ
สนับสนุนว่าทำไมฉันต้องโกรธ ทำไมฉันต้องเศร้า ตัวหลงนั้น ฉลาดมาก มันไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล
มันสามารถสรรหาเหตุผลดีๆ มาหลอกเรา ทำให้เรารู้สึกว่าต้องโกรธ ต้องเศร้ามากขึ้น
ยิ่งเวลามันต้องการระบายความโกรธใส่ใคร มันก็จะสรรหาเหตุผลดีๆ มาโน้มน้าวเราว่า
คนแบบนี้ปล่อยไว้ไม่ได้ ต้องสั่งสอน ต้องด่ามัน ต้องเกลียดมัน
เฝ้าครุ่นคิดแต่ว่า วันนี้
จะหาเรื่องอะไรมาด่าลุงพลกับป้าแต๋น เพื่อระบายความสะใจของตนเอง เพื่อให้เอฟซีมาคอมเมนต์ด่า
สารพัดคำว่าสิงสาราสัตว์ นั่นคือความหลงในมืดบอด ชนิดที่ว่ายากที่จะพบเจอทางสว่าง
แม้ว่าในตอนนี้ สางเขียว
จะพลัดหลงทางไปในมืดบอด ชนิดกู่ไม่กลับ แต่สักวันหนึ่ง เมื่อผงฝุ่นของความอิจฉาริษยา
ถูกชะล้างออกจากตาขาวทั้งหมด บางที เมื่อถึงตอนนั้น คิดได้ก็อาจสายไปเสียแล้ว

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น