[ข่าวลุงพล] สางไดอารี่ หลงทางชีวิต อิจฉาริษยา หูตาพร่ามัว
สาง ไดอารี่ หลงทางชีวิต อิจฉาริษยา
หูตาพร่ามัว
ผมทำคลิปคลิปนี้
เรื่อง สาง ไดอารี่ หลงทางชีวิต อิจฉาริษยา หูตาพร่ามัว ด้วยสุจริตใจ ไม่มีนัยยะว่าร้ายให้ใครนะครับ
ผมทำในมุมมองของผม หยั่งใจตัวเองเหมือนกันว่า เสียงต่อการโดนดุด่าว่าร้ายไหม
แต่ก็ยินยอมน้อมรับโดยไม่มีข้อแม้ หากจะไปกระทบกระทั่งจิตใจใครให้สะเทือนซาง
เวลาของคุณนั้นมีจำกัด
อย่าเสียไปกับการใช้ชีวิตเพื่อคนอื่น อย่าตกหลุมของความเชื่อ ที่ต้องใช้ชีวิต อยู่กับผลลัพธ์แห่งความคิดของผู้อื่น
อย่าปล่อยให้เสียงของความคิดของคนอื่น กลบเสียงภายในของคุณ และสิ่งที่สำคัญที่สุด
จงมีความกล้าที่จะเดินตามหัวใจและการหยั่งรู้
พวกเขาอาจจะรู้อยู่แล้วว่าต้องการเป็นอะไร สิ่งอื่นๆ ก็เป็นเรื่องรองลงมา
ในอุทยานใจ มีเมล็ดพันธุ์แห่งอุปนิสัยมากมาย ทั้งที่ดีงาม ไม่ดีงาม และเป็นกลางๆ เรารดน้ำให้สารอาหารเมล็ดพันธุ์ไหน
เมล็ดพันธุ์ของนิสัยนั้นก็จะเติบโตในจิตใจ และชีวิตเรา เรียนรู้ที่จะบ่มเพาะนิสัยที่ดีงามในใจ
เช่น ความรู้ตัว ความรักความเมตตา มองโลกด้วยใจที่ดี ความเสียสละ ความขยันหมั่นเพียร
ความอ่อนน้อมถ่อมตน คิดดี พูดดี ทำดี อภัยทาน เป็นผู้ไม่เบียดเบียน
ด้วยการหมั่นสร้าง หมั่นทำให้ปรากฏขึ้นในชีวิต
และไม่ให้ท้ายนิสัยที่ไม่ดีงาม เช่น ความวิตก กังวล อิจฉาริษยา ความลังเลสงสัย
ความเศร้าหมอง มองโลกด้วยใจที่ไม่ดี เปรียบเทียบ
สวนแห่งจิตใจเราก็ร่มรื่นขึ้นเรื่อยๆ
เราอยู่กับคนไม่ว่ากับใคร ต้องมีอภัยทานไว้ในใจเสมอ
เพราะว่าแต่ละคนมีข้อบกพร่อง ทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ทางความนึกคิดบ้าง โลกนี้เต็มไปด้วยความวุ่นวายสับสน ความสุขของโลกีย์ชนนั้นมีน้อยเกินไป เมื่อเทียบกับความทุกข์ที่ต้องลงทุน
เหมือนผู้พยายามหาเพชรในหิน แม้จะได้เพชรมาแต่ประโยชน์ของมันก็มีน้อย และยังนำอันตรายมาสู่เจ้าของ มากกว่านำความสุขมาให้
สัตว์โลกทุรนทุราย เหมือนยืนอยู่บนกิ่งไม้ ที่มีไฟโหมอยู่รอบด้าน จะลงก็ไม่ได้
จะขึ้นไปอีกก็ไม่ไหว
มนุษย์และสัตว์ เกิดมาเพื่อความทุกข์ทรมาน แต่พอรู้จักทุกข์ เพราะเรื่องมันเกิดขึ้นมาแล้ว
จะถอยหลังได้อย่างไร เพราะก่อนที่มันจะเกิดเรื่องขึ้น เราอาจจะยังไม่ได้คิดถึงตรงจุดนี้
สุดท้าย มันก็จะกลายเป็นบาปติดใจ บาปที่ทำแล้วมันแก้ไม่ได้ แต่นิสัยดีชั่วที่เราประพฤติอยู่นั้น
มันแก้ได้
สางไดอารี่ กำลังหลงทางชีวิต คิดอิจฉาริษยา หูตาพร่ามัว ทำไมสางไดอารี่ ถึงรู้สึกเหมือนหลงทางในชีวิตเพราะพวกเขาอาจสูญเสียการเชื่อมต่อ ระหว่างหัวใจและจิตวิญญาณ หนึ่งในหลากหลายเหตุผล ที่คนเรารู้สึกหลงทางในชีวิต เพราะพวกเขา ตัดการเชื่อมต่อกับหัวใจ และจิตวิญญาณของตัวเอง พวกเขาไม่ให้ความใส่ใจ กับความมีเหตุและผลเท่าที่ควร และใส่ใจกับสิ่งที่คนอื่นพูดมากเกินไป ทำให้พวกเขาไม่ได้ยินเสียงของหัวใจตัวเอง เช่นเดียวกับที่ไม่สามารถเชื่อมต่อ กับปัญญาแห่งจิตวิญญาณ เมื่อเสียงอึกทึก ของการดำรงชีวิตประจำวันเงียบลง เราก็จะได้ยินเสียงกระซิบของความจริง ที่ชีวิตเปิดเผยให้กับเราในท้ายที่สุด เพราะว่ามันยืนเคาะประตูหัวใจของเราอยู่ เรื่องนี้ สางไดอารี่ อาจมองข้ามไป
เพราะพวกเขา ใช้ชีวิตอยู่บนสิ่งที่คนอื่นเชื่อว่าถูก
อีกหนึ่งเหตุผล ที่คนเรารู้สึกหลงทางในชีวิต เพราะพวกเขาใช้ชีวิต อยู่บนสิ่งที่คนอื่นเชื่อว่า
ถูกสำหรับพวกเขา อยู่บนสิ่งที่คนเชื่อว่าเป็นความจริง พวกเขาสร้างชีวิตของพวกเขา บนพื้นฐานแห่งความคิด
ความเชื่อ และความคิดที่ถูกฝังชิพ ลงในสมองของพวกเขา โดยใครบางคน ที่บรรทุกความฝันอันสวยงามผ่านทางมา
แล้ววาดฝันอันสวยงามให้พวกเขาได้ยลยิน และทุกๆ คนที่พวกเขามีความสัมพันธ์ด้วย การที่พวกเขาไม่เคยหาเวลา
เพื่อตั้งคำถามถึงความถูกต้องของความเชื่อเหล่านั้น พวกเขายังคงสร้าง
และปั้นแต่งชีวิต ให้เป็นไปตามสิ่งที่คนอื่นเชื่อว่าถูกต้อง
“อย่าเชื่อในสิ่งใดๆ
ก็ตามอย่างง่ายๆ เพราะได้ยินมา อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ เพียงเพราะมันถูกพูดและลือมาจากคนมากมาย
อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ เพียงเพราะมันถูกเขียนอยู่ในหนังสือ อย่าเชื่อในทุกๆ สิ่งที่ครูหรือคนเฒ่าคนแก่สอน
อย่าเชื่อในประเพณี เพียงเพราะมันถูกส่งต่อมาหลายชั่วอายุ แต่ถ้าหลังจากสังเกตและวิเคราะห์แล้ว
เมื่อคุณพบในสิ่งที่คุณเห็นพ้องกับเหตุผล และเมื่อมันนำไปสู่สิ่งดีๆ และมีประโยชน์กับคุณหรือคนอื่นๆ
ถ้าเป็นดังนั้น ค่อยยอมรับมันและใช้ชีวิตขึ้นอยู่กับมัน” ถ้อยธรรมคำสอน
ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เคยโปรดเวไนยสัตว์
เพราะพวกเขา ให้ค่ากับความคิดของผู้อื่นมากกว่าตัวเอง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะฉลาด
และเป็นที่ปรึกษาที่น่าเชื่อถือในตัวเอง แต่ในหัวใจและจิตวิญญาณของพวกเขา
พวกเขากลับไม่มั่นใจในตัวเอง พวกเขามักจะมองหาคำแนะนำ จากคนอื่นเป็นประจำ
และความเห็นของคนอื่นๆ มักจะมีค่าและสำคัญกว่าความคิดของตัวเองเสมอ แต่คำแนะนำของลุงพล
อาจใช้ไม่ได้กับพวกเขา
เพราะพวกเขาติดอยู่กับความกลัว หัวใจของพวกเขาปิดลง
และความกลัว ดูเหมือนจะปกคลุมไปทั่วทุกส่วนของชีวิต ความกลัวดูจะเป็นปัจจุบัน
ในความคิด ในหัวใจ ในบ้าน ในสิ่งที่ทำ ในการตัดสินใจ ในความสัมพันธ์ และในทุกๆ สิ่งที่พวกเขาทำ
พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในความกลัวอย่างถาวร และเมื่อความรักไม่เป็นที่ต้อนรับ
พวกเขาก็หลงทาง สับสบ ขาดการเชื่อมต่อ และไม่มีความสุขเอามากๆ
“มนุษย์
มีความจูงใจขั้นพื้นฐาน 2 ชนิด คือความกลัวและความรัก
เมื่อไหร่ก็ตามที่เราหวาดกลัว เราก็จะถูกกระชากกลับสู่ชีวิต
เมื่อไหร่ก็ตามที่เรากลัว เราก็จะเปิดรับในสิ่งที่ชีวิต หยิบยื่นมาให้ด้วยความหลงใหล
ความตื่นเต้น และการยอมรับ เราจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ที่จะรักตัวเองก่อน
ในทุกชัยชนะและความไม่สมบูรณ์แบบ ถ้าเราไม่สามารถรักตัวเองได้
เราก็จะไม่สามารถเปิดตัวเอง ไปสู่ความสามารถที่จะรักคนอื่น หรือมีศักยภาพที่จะสร้างความรักได้อย่างเต็มที่
วิวัฒนาการและความหวังเพื่อโลกที่ดีขึ้น อาศัยอยู่ในความกล้าหาญ
และมุมมองจากหัวใจที่เปิดกว้าง ของคนที่โอบกอดชีวิตเอาไว้
เพราะพวกเขาบิดเบือนอัตลักษณ์ของตัวเอง คนที่รู้สึกหลงทางในชีวิต
มีแนวโน้มที่จะถูกบิดเบือนอัตลักษณ์ของตัวเอง พวกเขาจะมองไม่เห็นความงามของตัวเอง
แสงของตัวเอง ความสมบูรณ์แบบของตัวเอง และไม่สามารถยอมรับความจริงได้ว่า
การเป็นตัวเองนั่นก็เพียงพอแล้ว วิสัยทัศน์ในการมองความจริงของพวกเขานั้น มืดมนและถูกบิดเบือน
และสิ่งที่พวกเขามองเห็นก็มีเพียงเล็กน้อย ไม่คุ้มค่า และไม่มีความหมาย
เพราะพวกเขา รายล้อมตัวเองด้วยผู้คน ที่ฉุดพวกเขาลงมา
การใช้เวลาอยู่กับคนผิดๆ มากเกินไป คืออีกเหตุผลที่คนเรารู้สึกหลงทางในชีวิต
เมื่อคุณใช้ชีวิตรายล้อมด้วยผู้คนที่ฉุดคุณลงมา คนที่ขี้แย คนที่ชอบกล่าวหา
คนที่ชอบวิจารณ์ คนที่ชอบนินทา และคนที่ชอบบ่นกับทุกๆ สิ่งและทุกๆ อย่าง
วางยาพิษสติปัญญาของคุณ หัวใจของคุณ และชีวิตของคุณด้วยความกลัวของพวกเขา
ความสงสัย และด้านลบ และคุณ ก็จะหลุดออกจากเส้นทางแห่งชีวิตในท้ายที่สุด ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้สางไดอารี่หลงทาง
“คนเรา
มีแนวโน้มจะเป็นคนใจกว้าง เมื่อแบ่งปันความไร้สาระ ความกลัว และการไม่ยอมรับ
และในขณะที่พวกเขาดูจะกระตือรือร้น ที่จะป้อนความคิดแย่ๆ ให้กับคุณ จงจำไว้ว่า บางครั้ง
การควบคุมที่เราต้องการ คือควบคุมจิตใจและอารมณ์ ไม่ใช้แค่ควบคุมอาหาร
จงระมัดระวังในสิ่งที่คุณป้อน ให้กับสติปัญญาและจิตวิญญาณของคุณ เติมพลังตัวเอง ด้วยความคิดในด้านบวก
และปล่อยให้พลังงานนั้นขับเคลื่อนคุณไปสู่การกระทำที่ดี

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น