พระไชยเชษฐาธิราช ผู้ไม่ได้มีเชื้อสายล้านนา
พระไชยเชษฐาธิราช ผู้ไม่ได้มีเชื้อสายล้านนา
ในประวัติศาสตร์ลาวนั้น กษัตริย์ลาวที่มักถูกเอ่ยถึงมากที่สุด คือ พระไชยเชษฐาธิราช ในฐานะที่ยกย่องเป็นวีรกษัตริย์และมหาราชผู้ยิ่งใหญ่ เป็นกษัตริย์สองแผ่นดิน ปกครองทั้งล้านช้างและล้านนาในเวลาเดียวกัน และเมื่อมีการค้นหาพระราชประวัติของพระองค์ ข้อมูลจากทุกแหล่งเอกสารมักจะชี้ไปในทางเดียวกันว่า ทรงกำเนิดมาพร้อมสถานะเจ้าชายลูกครึ่งล้านช้าง-ล้านนา
ส่วนใหญ่แล้วมักกล่าวกันว่า พระไชยเชษฐาเป็นพระราชโอรสของพระโพธิสาลราช กับเจ้าหญิงเชียงใหม่พระราชธิดาพระเกษเมืองเกล้า ทรงพระนามว่า เจ้านางยอดคำทิพ เมื่อแผ่นดินเชียงใหม่เกิดจลาจล ในฐานะที่เป็นเชื้อสายพระเกษเมืองเกล้าอยู่ครึ่งหนึ่ง พระมหาเทวีจิรประภา ที่เชื่อกันว่าเป็นมเหสีของพระเกษเมืองเกล้า และมีฐานะเป็นเสด็จยายของพระองค์ พร้อมทั้งเหล่าขุนนางได้เชิญพระองค์มาครองราชสมบัติที่เชียงใหม่ นี่คือความรับรู้โดยทั่วไป
แต่เมื่อไปสืบค้นเอกสาร ที่เป็นลักษณะความเก่า กลับพบข้อมูลเกี่ยวกับพระไชยเชษฐาธิราชที่ต่างออกไป เริ่มจาก
- พระราชมารดาของพระไชยเชษฐา เป็นเจ้าหญิงล้านช้าง ไม่ใช่ล้านนา
ในนิทานขุนบรม ฉบับวัดธาตุหลวง นครหลวงพระบาง ซึ่งรจนาขึ้นในปี จ.ศ. ๑๒๒๒ ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๐๓ ตามรับสั่งของพระเจ้าน้องนางเธอของพระเจ้าจันทรเทพประภาคุณ กษัตริย์หลวงพระบาง (แต่เนื้อหาของเอกสารนี้ น่าจะเก่าไปถึงรัชกาลพระไชยองค์เว้เป็นอย่างน้อย) ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับวงศาของพระไชยเชษฐาไว้ว่า
"...พระโพธิสารราชเสวยบ้านเมือง จึงมีลูกชาย ๑ ดอมนางใหญ่ผู้หนึ่ง ชื่อนางหอสูง ตนนางนั้นเป็นเชื้อพระยาจิกคำ ทั้งเป็นเชื้อนางน้อยอ่อนสอ ลูกชายตนนั้น แม่นพระไชยเสฐาทิราชเจ้านิแล..."
และนิทานขุนบรมฉบับนี้ ได้ให้ข้อมูลว่าพระราชมารดาของพระไชยเชษฐาธิราช คือ เจ้านางหอสูง ซึ่งเป็นเชื้อสายพระเจ้าจิกคำ หรือพระเจ้าคำเต็มซ้า กษัตริย์ล้านช้างลำดับที่ ๕ (โอรสพระเจ้าสามแสนไท ประสูติแต่เจ้านางน้อยอ่อนสอ) นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงเชษฐาของพระราชมารดาของพระไชยเชษฐา ซึ่งเป็นลุงของพระไชยเชษฐา อันมีบทบาทสำคัญในรัชกาลนี้ นั่นคือ "พระยากลาง" ความว่า "...มีเสนาใหญ่ตนหนึ่ง ชื่อว่าพระยากาง เจ้าตนนี้เป็นพี่ชายนางหอสูง..." โดยพระยากลางเป็นหนึ่งในเสนาบดีที่ขึ้นไปช่วยราชการพระไชยเชษฐาที่เชียงใหม่ และกลับมาสำเร็จราชการและจัดการบ้านบ้านเมืองต่างพระเนตรพระกรรณหลายครั้ง ซึ่งท่านมีตำแหน่งเป็นแสนเมือง หรืออัครมหาเสนาบดี จึงมักออกพระนามอีกพระนามว่า พระยาแสนลุง ซึ่งพระยาแสนลุงท่านนี้ คงไม่ใช่โอรสพระเกษเมืองเกล้าแน่นอน นอกจากนี้ ยังไม่ปรากฏในเอกสารฝ่ายล้านนาฉบับใด ๆ เลย ที่กล่าวถึงเจ้านางยอดคำทิพ หรือการเสกสมรสระหว่างธิดาพระเกษเมืองเกล้ากับพระโพธิสาลราช
ดังนั้น จึงเป็นไม่ได้ที่พระราชมารดาของพระไชยเชษฐาจะเป็นพระธิดาพระเกษเมืองเกล้า หรือเจ้าหญิงจากเชียงใหม่
- ขุนนางเชียงใหม่เชิญพระโพธิสาลราชครองล้านนา ไม่ใช่พระไชยเชษฐา
แต่เดิมเข้าใจกันว่า ขุนนางล้านนาจำเพาะเจาะจงเลือกพระไชยเชษฐา หรือขณะนั้นมีพระนามว่า เจ้าอุปยุวราช ขึ้นครองล้านนามาแต่แรก ในฐานะเป็นเจ้าชายลูกครึ่งล้านช้าง-ล้านนา แต่เมื่อสืบค้นอย่างละเอียดกลับพบข้อมูลทั้งในพื้นเชียงใหม่อันเป็นเอกสารฝ่ายล้านนา กับนิทานขุนบรมและนิทานเชียงดงอันเป็นเอกสารฝ่ายล้านช้าง กล่าวตรงกันว่า ขุนนางล้านนาตั้งใจจะอัญเชิญพระโพธิสาลราชให้มาครองล้านนา เพื่อจะให้เข้าใจจึงต้องเล่าความมาตั้งแต่เหตุจลาจลในเชียงใหม่หลังการสวรรคตของพระเกษเมืองเกล้า
ในพื้นเชียงใหม่เล่าว่า หลังจากแสนคร้าว ขุนนางเชียงใหม่ก่อรัฐประหาร และปลงพระชนม์พระเกษเมืองเกล้า แสนคร้าวพยายามหาเจ้านายในแว่นแคว้นข้างเคียงมาครองล้านนา เพื่อจะให้เป็นหุ่นเชิด ในชั้นแรกแสนคร้าวไปเชิญเจ้าฟ้าเชียงตุงให้มาครองแต่เจ้าฟ้าเชียงตุงไม่รับ จึงไปเชิญเจ้าฟ้าเมืองนาย (พระเมกุฏิ) คราวนี้เจ้าฟ้าเมืองนายรับจะมาครองล้านนา
แต่ระหว่างที่เจ้าฟ้าเมืองนายยังไม่มานั้น ขุนนางล้านนาซึ่งเป็นขั้วอำนาจตรงข้ามกับแสนคร้าว อันประกอบด้วย เจ้าหมื่นสามล้านอ้ายเจ้าเมืองลำปาง เจ้าหมื่นแก้วเจ้าเมืองเชียงราย เจ้าหมื่นมโนเจ้าเมืองเชียงแสน เจ้าหมื่นยี่เจ้าเมืองพาน ได้ไปรวมกันที่เชียงแสน แล้วส่งขุนนางไปเชิญพระโพธิสาลราชมาครองล้านนา แข่งกับเจ้าฟ้าเมืองนายของฝ่ายแสนคร้าว "...เจ้าขุนทั้งหลายพร้อมกันยังเชียงแสน จิ่งหื้อหมื่นตาแสงพ่อนาย ไพราธนาพระญาล้านช้าง ก็รับปฏิญาณว่าจักมากินเชียงใหม่..." (จากพื้นเชียงใหม่ ฉบับ ๗๐๐ ปี)
เหตุการณ์นี้ บันทึกตรงกันกับเอกสารฝ่ายล้านช้าง ที่กล่าวว่า "...แต่นั้นพระสังฆเจ้าทั้งหลาย ทั้งสวนดอก ทั้งป่าแดง แลชื่อเมืองทั้งมวล เป็นต้นว่าพระยาแสนหลวง พระยาสามล้าน พระยาเชียงแสน พระยาเชียงราย พระยาฝาง พระยาพะยาว พระยาน่าน พระยานคร พระยาแพร่ เขาเจ้าทั้งหลาย พร้อมกันจึงมาราธนานิมนต์ขอเอาพระโพธิสาราชเจ้า เมือเป็นเจ้าแผ่นดินในเมืองพิงเชียงใหม่ถึงสองที สามที ก็จึงเมือตามนิมนต์เขาหั้นแล..." (จากนิทานขุนบรม ฉบับวัดธาตุหลวง หลวงพระบาง)
แต่ยังไม่ทันที่เจ้าฟ้าเมืองนาย หรือพระโพธิสาลราช จะได้ครองเมืองเชียงใหม่ เจ้าหมื่นหัวเคียนเมืองแสนหวี ซึ่งโพล่มาแบบงง ๆ ได้ชิงนำทัพลงมาตีเมืองเชียงใหม่ และรบกับแสนคร้าว แต่เจ้าหมื่นหัวเคียนเป็นฝ่ายแตกหนีลงมาถึงเมืองลำพูน เจ้าหมื่นหัวเคียนจึงเชิญขั้วอำนาจใหม่เข้ามาจัดการล้านนา โดยการส่งทูตไปเชิญกษัตริย์อยุธยามาเอาเชียงใหม่ พระไชยราชาธิราชแห่งอยุธยา จึงเสด็จยกทัพขึ้นมาร่วมวงกินโต๊ะล้านนาครั้งนี้
ฝ่ายกลุ่มพระยาสามล้านอ้าย เห็นเหตุการณ์ที่ชักจะวุ่นวายไปใหญ่ เพราะมีอยุธยาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จึงนำกำลังจากเชียงแสนมาบุกตีเชียงใหม่ และสามารถสังหารแสนคร้าวและพรรคพวก อันประกอบด้วย หมื่นเตริน หมื่นอ้าย และหมื่นเสริมลูกแสนคร้าว จากนั้นจึงอัญเชิญพระมหาเทวีจิรประภา ซึ่งหลักฐานปัจจุบันนี้ยังไม่ทราบถึงสถานะของพระนางที่แน่ชัด บางว่าเป็นมเหสีพระเกษเมืองเกล้า บ้างว่าเป็นพระธิดาพระเกษเมืองเกล้า พระนางได้ขึ้นครองเมือง พระมหาเทวีจิรประภาจึงขอเป็นไมตรีกับพระไชยราชาธิราช โดยพระไชยราชาธิราชเสด็จมาประทับในเชียงใหม่ทรงก่อกู่ถวายพระเกษเมืองเกล้าที่วัดโลกโมฬีและถวายไทยทานสิ้นพระราชทรัพย์ไป ๕,๐๐๐ เงิน และเสด็จยกทัพกลับ
ฝ่ายพระเมกุฏเจ้าฟ้าเมืองนาย เมื่อทราบว่าแสนคร้าวถูกปราบ ก็ทรงยกทัพเมืองนายเข้าแดนล้านนา เวลานั้นยอดพระเจดีย์หลวงและเจดีย์วัดพระสิงห์ได้พังทลายลงมา ทัพเมืองนายยกเข้ามาถึงวัดสวนดอก ตั้งทัพล้อมเมืองไว้ ฝ่ายเชียงใหม่ขอทัพล้านช้างมาช่วย พระโพธิสาลราชโปรดฯ ให้พระยากลาง (ลุงพระไชยเชษฐา) และพระยาสุนหรือพระยาซุน (พระยาอรชุน) ยกทัพไปช่วยล้านนารบเจ้าฟ้าเมืองนาย จนฝ่ายเมืองนายถอยทัพไป แต่เมื่อข่าวทัพล้านช้างยกข้ามโขงเข้ามาล้านนาทราบถึงพระไชยราชาธิราชนั้น ทรงพิโรธเป็นอันมาก จึงยกทัพเข้าตีล้านนา แต่กองทัพผสมล้านนา-ล้านช้าง สามารถตีทัพอยุธยาให้ถอยลงไปได้
- ราชาภิเษกพระไชยเชษฐาธิราช ทรงอยู่ในฐานะเขยล้านนา
เมื่อเสร็จศึกอยุธยา พระมหาเทวีและขุนนางล้านนาจึงอัญเชิญพระอุปยุวราช โอรสองค์โตของพระโพธิสาลราชขึ้นครองล้านนาแทน ทรงพระนามว่า พระไชยเชษฐาธิราช พร้อมทั้งอภิเษกพระราชธิดา ๒ องค์ ซึ่งไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นธิดาของกษัตริย์องค์ใด ซึ่งอาจเป็นพระธิดาของพระเกษเมืองเกล้า หรือพระธิดาเจ้าซายคำ
"...บัดนี้จักจา พระสังฆเจ้าทั้งหลายแลนายเมืองพิงเชียงใหม่ ขอราธนาพระอุปยุวเจ้า อยู่เป็นเจ้าแผ่นดินเมืองพิงเชียงใหม่ พระยากลางลุงพี่แม่พระอุปยูวราชเจ้านั้น ไว้เป็นแสนเมืองในเมืองเชียงใหม่ เจ้าแผ่นดินก็ให้ลูกอยู่ตามอันมักแห่งเขา จึงเอานางผู้หนึ่ง ชื่อว่าตนทิพ เป็นเอกมเหสีขวา ผู้หนึ่งชื่อว่าตนคำอัคคมเหสีซ้าย ใส่ชื่อว่าเป็น พระเชยยะเสฐาทิราชเจ้า อยู่เป็นเจ้าแผ่นดินเชียงใหม่ หั้นแล..." (จากนิทานขุนบรมฯ)
"...พร้อมกันเอาเครื่องราชปริโภค แลฉัตร พัด ยั่วยาน ช้างม้า หอกดาบ เครื่องแห่เครื่องแหนทั้งมวล ออกไพต้อนรับเอาเจ้าพระญาอุปปโย อังคาสราธนามาเถิงประตูโขงวัดเชียงยืน...อุสสาราชภิเสกพระราชอุปปโยเป็นพระญาเมืองพิงเชียงใหม่ยังสวนแหร่ นั่งแท่นแก้วโรงหลวงกับพระราชธิดาทั้งสอง คือ พระตนทิพเป็นอัคคมเหสี พระตนคำตนเป็นน้อง หั้นแล..." (พื้นเมืองเชียงใหม่ฯ ๗๐๐ ปี)
จะเห็นได้ว่านับตั้งแต่พระเกษเมืองเกล้าสวรรคต กลุ่มการเมืองในล้านนาต่างก็หาพันธมิตรในการก่อสงครามกลางเมืองกันขึ้น การเชิญเจ้านายต่างวงศ์มาครองล้านนาจึงเป็นเรื่องคาดการณ์ได้ สำหรับกลุ่มเจ้าสามล้านอ้าย เลือกจะเป็นพันธมิตรกับล้านช้าง และเสนอให้พระโพธิสาลราชขึ้นเป็นกษัตริย์ล้านนา ทั้งที่ไม่ได้สืบสายสืบวงศ์กันมาก่อน หากแต่ท้ายสุดพระโพธิสาลราชไม่ได้ครองล้านนาเอง แต่โปรดฯ ให้พระราชโอรสครองแทน และกระชับความสัมพันธ์ด้วยการให้พระไชยเชษฐาธิราช อยู่ในสถานะเขยของล้านนา ผ่านการอภิเษกกับเจ้าหญิงตนทิพ และเจ้าหญิงตนคำ แห่งล้านนา
พระมหาเทวีจิรประภา ผู้ถูกทำให้เป็นยายของพระไชยเชษฐา
เป็นที่ทราบกันดีว่า พระมหาเทวีจิรประภานั้น เป็นกษัตริย์แห่งล้านนาพระองค์แรกที่เป็นสตรีในยุคที่เชียงใหม่เป็นราชธานี หากแต่ประวัติของพระนางกลับยังเป็นปริศนา โดยทั่วไป มักกล่าวอ้างต่อ ๆ กันมาว่า พระนางเป็นพระมเหสีของพระเกษเมืองเกล้า เป็นพระมารดาเจ้าซายคำและพระนางยอดคำทิพย์ และอยู่ในฐานะยายของพระไชยเชษฐา แต่บางฉบับก็กล่าวว่าพระนางเป็นพระธิดาพระเกษเมืองเกล้า และเป็นเป็นมาตุฉา (น้า/ป้า) ของไชยเชษฐา แต่เมื่อสืบหลักฐานที่กล่าวถึงประวัติของพระนางกลับมีความคลุมเครือเป็นอย่างมาก
พื้นเชียงใหม่ เป็นเอกสารเก่าที่สุดที่กล่าวถึงพระนาง ความว่า "...แล้วจิ่งพร้อมกันเอามหาเทวีเจ้าจิรปภาเป็นพระญา ในปีดับไส้ สก ๙๐๗ ตัว เดือน ๑๐ แรม ๓ ค่ำ เมง วัน ๕ ไทเปิกยี หั้นแล..." (พื้นเชียงใหม่ฯ ๗๐๐ ปี) และอีกฉบับ "...ราชเทวีจอมใจลักขอนหนังไปหื้อแก่พระญาชาวใต้..." (พื้นเชียงใหม่ฯ จ.ศ.๑๑๗๗) ในพื้นกล่าวถึงพระนางเพียงเท่านี้เอง ไม่ปรากฏรายละเอียดอื่นเกี่ยวกับพระนางเลย
แต่ในพื้นเชียงใหม่ได้พบร่องรอยที่น่าสนใจ คือ ในขณะที่ทัพอยุธยาของพระไชยราชายกมาตีเชียงใหม่นั้น พระไชยราชาให้ขุนนางเอาเครื่องบรรณาการมาถวายบุคคลหนึ่งเรียกว่า "พระเป็นเจ้าแม่ลูกทั้งสอง" "...พระญาใต้หื้อหมื่นศรีมหาเทศ ๑ พันเทพมณเฑียร ๑ เอาปัณณาการมาถวายพระเป็นเจ้าแม่ลูกทั้งสอง..." (พื้นเชียงใหม่ฯ ๗๐๐ ปี) พระเป็นเจ้าแม่ลูกทั้งสองนี้เป็นผู้ใด?
ตำนานพระธาตุเจ้าหริภุญไชย ซึ่งจารขึ้นในปี พ.ศ. ๒๑๐๙ ได้ระบุข้อความถึงพระเป็นเจ้าสองแม่ลูกนี้ว่า “...มหาเทวีผู้เป็นมเหสีของพระเมืองเกษเกล้า ผู้เป็นแม่แก่โอรสทั้งสอง ได้ทำการบูรณะบุทองจังโกแด่องค์พระธาตุเจ้าหริภุญไชย...” ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามหาเทวีแม่ลูกนี้ จะหมายถึงพระมหาเทวีจิรประภา เพราะหากทรงเป็นมเหสีพระเกษเมืองเกล้าจริง จะทรงเป็นมารดาของพระโอรสสององค์ของพระเกษเมืองเกล้า นั่นคือ เจ้าซายคำ และเจ้าจอมเมือง ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้มากที่มหาเทวีจิรประภาจะเป็นมเหสีพระเกษเมืองเกล้าตามที่กล่าวอ้างกันมา
แล้วพระมหาเทวีจิรประภามีความเกี่ยวพันกับพระไชยเชษฐาในฐานะยายจริงหรือ? เมื่อสอบเอกสาร คือ พงษาวดารล้านช้างตามถ้อยคำในฉบับเดิม, ขุนบรมราชาฉบับกรุงเทพ, ขุนบรมฉบับวัดพระธาตุหลวงพระบาง, และนิทานเชียงดงเชียงทอง รวมถึงพื้นเชียงใหม่ กลับไม่พบความเกี่ยวข้องดังกล่าวเลย
พงศาวดารเมืองหลวงพระบางฉบับศาลาลูกขุน ซึ่งกรมมหาดไทย เรียบเรียงขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายรัชกาลที่ ๕ เป็นเอกสารทางการฉบับแรก ที่ระบุความเกี่ยวพันทางการแต่งงานระหว่างพระโพธิสาลราชกับเชียงใหม่ว่า "...พระยาพรหมราช เจ้าเชียงใหม่ ทราบว่า เจ้าเมืองหลวงพระบางตั้งอยู่ในยุติธรรม เห็นแก่พระยาพรหมราช จึงปล่อยตัวพวกซึ่งทำความผิดมาดังนี้ ก็มีบุญคุณมาก จึงแต่งให้ท้าวพระยาพานางยอดคำ บุตร ไปยกให้เปนภรรยาพระยาโพธิสาระ ๆ มีบุตรชาย เจ้าเชษฐวงษา ๑ เจ้าท่าเรือ ๑ เจ้าวรวังโส ๑ สามคน บุตรหญิง นางแก้วกุมรี ๑ นางคำเหลา ๑ นางคำไป ๑ สามคน รวม ๖ คน..." ซึ่งเอกสารฉบับนี้น่าจะเรียบเรียงจากขุนบรม และแทรกข้อมูลจากพื้นพระแก้ว (ตำนานพระแก้ว) เนื่องจากมีข้อความตรงกันในเรื่องการคืนพระแทรกคำและการที่พระเจ้าเชียงใหม่ยกพระธิดาให้พระโพธิสาลราช ซึ่งเป็นเอกสารสมัยหลัง ไม่ปรากฏในเอกสารความเก่าเลย แต่กระนั้นก็มีข้อน่าคิดว่า นางยอดคำทิพนี้ หากมีตัวตนจริง จะเป็นธิดาพระเกษเมืองเกล้าที่ประสูติแต่พระมหาเทวีจิรประภาจริงหรือไม่ และพระยาพรหมราชตามเอกสารฉบับนี้ (ฉบับอื่นเรียกแต่ว่าพระเจ้าเชียงใหม่) จะหมายถึงพระเกษเมืองเกล้าจริงหรือไม่ เพราะนางยอดคำทิพนั้นไม่ปรากฏในเอกสารประเภทพงศาวดารจากฝ่ายล้านนาเลย
![]() |
พระมหาธาตุ (ธาตุน้อย) เมืองหลวงพระบาง ซึ่งถูกสร้างโดยพระมหาเทวีจั่วแท่น (มหาเทวีตนย่า) โดยมักถูกเข้าใจผิดว่าสร้างโดยพระมหาเทวีจิรประภา |
นิทานขุนบรมฉบับวัดธาตุหลวงพระบาง ซึ่งเขียนขึ้นในสมัยพระไชยองค์เว้ ได้ให้ข้อมูลที่ต่างออกไป และขัดแย้งกับพงศาวดารหลวงพระบางและตำนานพระแก้ว "...พระโพธิสารราชเสวยบ้านเมือง จึงมีลูกชาย ๑ ดอมนางใหญ่ผู้หนึ่งชื่อนางหอสูง ตนนางนั้นเป็นเชื้อพระยาจิกคำ ทั้งเป็นเชื้อนางน้อยอ่อนสอ ลูกชายตนนั้น แม่นพระไชยเสฐาทิราชเจ้านี้แล จึงมีลูกชาย ๑ ดอมนางหอขอกชื่อว่าพระล้านช้าง นางตนนั้นเป็นเชื้อเป็นพงศ์นางแก้วฟ้า ลูกพระยายดทิยา จึงมีลูกดอมนางใหญ่ชาย ๑ ชื่อว่านางหอกาง นางตนนั้นเชื้อพระยาหล้าแสนไท ยังมีลูกหญิง ๒ คน ผู้ ๑ ชื่อว่า พระนาง จึงมีหญิง ๑ นำนางสนมชื่อว่าพระคำไข จึงมีดอมนักสนม ชาย ๑ ชื่อว่าพระท่าเรือ..." (ขุนบรมฯ ฉบับวัดพระธาตุหลวง)
จะเห็นว่าเอกสารฉบับนี้ ระบุว่าเจ้าน้องของไชยเชษฐา ล้วนแต่ต่างมารดากันทั้งสิ้น และระบุอีกว่าเจ้านางหอสูงมารดาพระไชยเชษฐาเป็นเชื้อสายของพระเจ้าจิกคำหรือพระเจ้าคำซ้า กษัตริย์ล้านช้าง ไม่ใช่พระเกษเมืองเกล้า กษัตริย์เชียงใหม่
- พระมหาเทวีจิรประภา สนิทสนมกับอยุธยา ไม่ใช่ล้านช้าง
มีข้อน่าสังเกตในพื้นเชียงใหม่ ให้ข้อมูลว่า พระมหาเทวีจิรประภามีความสนิทสนมกับอยุธยาเป็นอย่างมาก เมื่อกองทัพล้านช้างยกข้ามแม่น้ำโขงมาช่วยฝ่ายพระยาแสนเมืองและพระยาสามล้านอ้าย ปราบแสนคร้าว และเตรียมรบกับอยุธยานั้น พื้นเชียงใหม่กล่าวอ้างว่า พระนางลอบส่งหนังสือแจ้งข่าวให้พระไชยราชาทราบ "...ราชเทวีจอมใจลักขอนหนังไปหื้อแก่พระญาชาวใต้ขึ้นมารบลาวยังเวียงละพูน แพ้แล้ว (ชนะ) ลวดเผาเวียงละพูนเสีย ขึ้นมารบเอาเชียงใหม่ บ่ได้ ลวดค้านหนีเมือ..." (พื้นเชียงใหม่ฯ จ.ศ.๑๑๗๗) หลักฐานตรงนี้จะขัดแย้งกับความเชื่อว่า พระมหาเทวีจิรประภาทรงอยู่ฝ่ายล้านช้าง และขอกำลังล้านช้างมาทำศึกกับอยุธยา เพราะกลับกลายเป็นว่าพระนางนี่เอง ที่เป็นฝ่ายชักชวนพระไชยราชาธิราช นำทัพอยุธยามาเอาเชียงใหม่
ดังที่กล่าวไปแล้วว่า พระมหาเทวีจิรประภา เป็นผู้ชักชวนพระไชยราชาแห่งอยุธยามาเอาเชียงใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับหลักฐานในพื้นเชียงใหม่ที่เล่าว่า มีเพียงขุนนางล้านนาฝ่ายที่สนับสนุนล้านช้างเท่านั้น เช่น พระยาแสนเมือง พระยาสามล้านอ้าย ที่นำทัพต้านอยุธยา ในขณะที่พื้นเชียงใหม่กล่าวว่าระหว่างที่กองทัพอยุธยาได้เมืองลำพูนแล้ว พระไชยราชาได้ลอบติดต่อให้หมื่นศรีมหาเทศและพันเทพมณเฑียร นำเครื่องบรรณาการมาถวายแก่พระมหาเทวีจิรประภา ซึ่งผิดวิสัยมาก จึงเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกเสียจากว่าพระนางจะเป็นฝ่ายอยุธยานั่นเอง และพฤติกรรมของพระนางนั้น ยากจะเชื่อว่าพระนางมีสถานะเป็นเสด็จยายของพระไชยเชษฐาแห่งล้านช้างตามที่กล่าวอ้างกัน
ศาสตราจารย์ พิเศษ เจียจันทร์พงศ์ เป็นผู้หนึ่งที่สันนิษฐานว่า ความจริงแล้วพระมหาเทวีจิรประภานั้น อาจเป็นเครือญาติกับพระไชยราชาธิราชกษัตริย์อยุธยา เมื่อครั้งที่ครองเมืองพิษณุโลก และสันนิษฐานว่าพระนางน่าจะเป็นเจ้านายเมืองเหนือของอยุธยาที่สมรสกับเจ้านายแห่งเมืองเชียงใหม่ซึ่งภายหลังได้ครองราชย์เป็นพระเมืองเกษเกล้า
- พระมหาธาตุน้อย เมืองหลวงพระบาง กับความเข้าใจผิด
มักกล่าวอ้างกันเสมอ ว่าชีวิตบั้นปลายพระชนม์ชีพของพระมหาเทวีจิรประภา พระนางได้ตามเสด็จพระไชยเชษฐาผู้เป็นหลานกลับหลวงพระบาง โดยอ้างอิงจากจารึกวัดพระมหาธาตุ (พระธาตุน้อย) เมืองหลวงพระบาง ซึ่งระบุว่า "...สักราช ๙๑๐ ปีเบิกสัน เดิน ๗ ออก ๑๑ ค่ำ วันศุกร์ มื้อระวายยี่ ยามพาดลั่น ฤกษ์หัสตะ พระราชไอยกามหาเทวเจ้า ตั้งพระมหาธาตุ ก็โอกาส หยาดน้ำ ข้อยข้ากับอารามแลไพร่..." แต่ข้อความเพียงเท่านี้ กลับมีความเชื่อว่าพระราชไอยกาเจ้าที่ว่า ต้องหมายถึงพระมหาเทวีจิรประภาแน่
แต่เมื่อสอบทานเอกสาร กลับพบข้อมูลในขุนบรมกล่าวว่า "...อยู่นานได้ ๗ วัน เจ้า (พระโพธิสาลราช) ก็สั่งมหาเทวี ทั้งเจ้านางหอสูง แลเสนาอามาดทั้งหลาย เป็นต้นว่าพระยาอรชุร แลพระยาสีสธำ แล้วเจ้าก็เถิงอนิจจกัมไปตามกำแห่งตนหั้นแล ราชเทวีเจ้า ทั้งมหาสีจันโทจึ่งเอามาเผาที่ขางสนามก้ำเหนือ เบื้องตาวันออกที่ก่อมหาเจดีวัดทาดหลวงกางเมืองชวาบัดนี้แล..." ในเอกสารนี้กล่าวว่าพระมหาเทวี ซึ่งเป็นพระราชมารดาของพระเจ้าโพธิสาลราช ได้ก่อพระมหาเจดีย์เพื่อสบดูก (บรรจุพระอัฐิ) ของพระโพธิสาลราช ซึ่งเจดีย์อยู่ทางตะวันออกของพระธาตุหลวง เมืองหลวงพระบาง (ขณะนั้นยังไม่มีพระธาตุหลวง) แต่เนื่องจากเหตุการณ์ไม่มีศักราชระบุไว้ จึงไปสอบศักราชในพงศาวดารล้านช้าง พบว่าพระโพธิสาลราชสวรรคตในปี จ.ศ. ๙๐๙ ซึ่งตรงกันกับเหตุการณ์นี้พอดี ดังนั้น การก่อพระธาตุสบดูกเสร็จสิ้นหลังการสวรรตค ๑ ปี จึงเป็นเรื่องที่สอดคล้องกัน
พระไอยกามหาเทวีเจ้า หรือพระมหาเทวีตนย่า ตามจารึกวัดธาตุน้อยนี้ คือ พระนางจั่วแท่น พระมเหสีของพระเจ้าวิชุล โดยมีภูมิหลังเป็นธิดากษัตริย์พวน และเป็นพระไอยยิกาหรือย่าของพระไชยเชษฐา พระนางปกครองหลวงพระบางมาตลอด เนื่องจากพระไชยเชษฐาภายหลังจากที่เสด็จกลับเชียงใหม่และเกิดการรัฐประหารขึ้นในเชียงใหม่ พระองค์มักไม่ประทับที่หลวงพระบางแต่ทรงเสด็จไปตั้งราชสำนักที่เชียงแสนเพื่อทำสงครามชิงเชียงใหม่คืนจากพระเจ้าเมกุ พระมหาเทวีตนย่าจึงทรงปกครองหลวงพระบางร่วมกับพระนางหอสูงมารดาพระไชยเชษฐา พระยากลางลุง พี่ชายนางหอสูงและเป็นลุงของพระไชยเชษฐา โดยมีอำนาจที่ค่อนข้างสิทธิขาด จะเห็นได้จากการที่พระนางได้ยกดินแดนทางใต้ให้แก่พระยาสีสธำขุนนางล้านช้างคนสำคัญ และตั้งขึ้นเป็นพระเจ้าเวียงจันทน์ "...แต่นั้นราชเทวี ทั้งราชมาดา ทั้งพระยาแสนลุง จึงให้ไปมอบบ้านมอบเมือง เป็นต้นว่าเมืองซ้าย เชียงคาน ทั้งแก่นท้าว ทั้งเวียงเมืองเก พระนำรุ่งเชียงสา ห้วยหลวง เวียงคำ เวียงจัน ไว้ให้พระยาสีสธำ แต่งบุรทั้งมวล จึงใส่ชื่อว่าสีสธัมมไตรโลกนาออกพระเป็นเจ้า..." (ขุนบรม ฉบับวัดธาตุหลวง) พระมหาเทวีองค์นี้ จึงถูกเข้าใจว่าเป็นพระมหาเทวีจิรประภานั่นเอง
นอกจากนี้ ยังสืบค้นพบว่าในพื้นเชียงใหม่ กล่าวถึงการสวรรคตของพระนางจิรประภากล่าวว่า “.. (ศักราช ๙๐๘) ปีรวายสง้า เดือน ๗ ออก ๖ ค่ำ วัน ๗ ไทยเมิงไส้ ยามกองแลงแล้ว พระมหาเทวีเจ้าจิระปะภาธิราชะ อายุได้ ๔๒ ได้เป็นเทวี ๒๒ ปี พอ ๖๔ ปี ก็สุรคุตต์แล บ่สิ้นปีรวายสง้า ๒ วันแล..” จากเอกสารฉบับนี้ พบว่าพระมหาเทวีจิรประภาสวรรคตก่อนสร้างพระธาตุน้อยที่หลวงพระบางถึง ๓ ปี ดังนั้น พระมหาเทวีที่สร้างพระธาตุน้อยจึงไม่มีทางจะเป็นพระมหาเทวีจิรประภา
...........................................................
อ้างอิง
- นิทานขุนบรม ฉบับวัดธาตุหลวง นครหลวงพระบาง ปี จ.ศ. ๑๒๒๒
- ตำนานนิทานเชียงดงเชียงทองเชียงหวาง ฉบับวัดแสนสุขาราม
- ตำนานพื้นเชียงใหม่ฉบับเชียงใหม่ ๗๐๐ ปี
- ภาพพระบรมราชานุสาวรีย์พระไชยเชษฐาธิราช หน้าพระธาตุหลวง นครเวียงจันทน์
- ขุนบรมฉบับวัดพระธาตุหลวง เมืองหลวงพระบาง
- พื้นเชียงใหม่ ฉบับ ๗๐๐ ปี
- พื้นเมืองพิงเชียงใหม่ ฉบับ จ.ศ. ๑๑๗๗
- พิเศษ เจียจันทร์พงษ์. "ลูกเขาเมียใครที่เชียงใหม่ สุโขทัย และอยุธยา" ในฟื้นฝอยหาตะเข็บ, หน้า ๒๒๙
- สิงฆะ วรรณสัย. ตำนานพระธาตุหริภุญไชย ปริวรรตจากคัมภีร์ใบลานอักษรธรรม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น