[ข่าวลุงพล] ทนายอิคคิว ผู้หิวแสงแห่งความจริง
ทนายอิคคิว ผู้หิวแสงแห่งความจริง
ศัพท์ที่หลายคนได้ยินกันหนาหูในระยะหลัง
ไม่ว่าจะในกลุ่มเสรีนิยมหรืออนุรักษ์นิยม ก็คือคำว่า “หิวแสง” โดยทั่วไป
คำนี้มีความหมาย ถึงคนที่โหยกระหายหาชื่อเสียง อยากดัง
จนสามารถทำอะไรก็ได้ที่คนอื่นไม่คาดคิดเพื่อ “เรียกเรตติ้ง” ให้ตัวเอง
เพื่อให้ “แสง” สาดส่องมาตกกระทบและเป็นที่พูดถึง เปรียบได้กับคนที่อยู่บนเวทีละคร
แล้วต้องวิ่งไปหาแสงสปอตไลต์อยู่ตลอดเวลา เพราะแสงย่อมหมายถึงความโดดเด่น
ถ้าได้อยู่ในแสง ก็อาจแปลว่า คนคนนั้นเป็นที่จับตาดูมากที่สุดในโรงละคร
แต่จะเป็นแง่บวกหรือลบเป็นอีกเรื่อง
หากร่างกายหิวโหยอาหาร เราสามารถเติมเต็มได้ด้วยการกิน อันเป็นกิจกรรมที่เราทำได้ด้วยตัวเอง แต่อาการ “หิวแสง” นั้นเป็นยิ่งกว่าความหิวอาหาร
เพราะไม่สามารถบำบัดได้ด้วยตัวเราเพียงลำพัง แต่จะบำบัดให้รู้สึก “อิ่มแสง” ขึ้นมาได้
ก็เมื่อมีคนอื่นมาจับตาดู โดยเฉพาะจับตาดูในแง่บวก หรือด้วยความชื่นชม
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย จะว่าไป
มนุษย์แทบทุกคนล้วนมีอาการ “หิวแสง” กันทั้งนั้น
เราต่างต้องการความสนใจจากผู้อื่น เพราะความสนใจจากผู้อื่น
คือการยืนยันถึงความมั่นคงในสถานะ และความเป็นอยู่ของเรา
ความหิวแสงอย่างพอประมาณจึงเป็นอาการปกติ แต่จะไม่ปกติก็ต่อเมื่ออาการหิวแสงนั้นแสดงตัวออกมามากเกินควรโดยที่เราไม่รู้ตัว
ตัวตนของเราเกิดจากประสบการณ์ ต้นทุน และมุมมองที่เรามีต่อโลก
เราใช้ประสบการณ์เหล่านี้เพื่อประเมินโลกรอบตัวเรา แต่ที่ยากกว่าก็คือ
การใช้ประสบการณ์เหล่านี้มาประเมินตัวเองนี่แหละ เมื่อประเมินพลาด อาการหิวแสงจึงไม่เคยได้รับการเติมเต็มจนอิ่มเสียที
หยิบบทความดีๆ ของพี่โซดา น้ำ
ที่บอกย้ำเรื่องราวได้อย่างลงตัว เผื่อจะเขี่ยความขุ่นมัว ที่ซุกซ่อนตัว อยู่ในแววตาอันมืดบอด
ของ Fc ผู้ที่ยืนยันกับสาธารณชนคนอื่นว่า ตัวเองตาสว่างแล้ว เรื่อง ทนายอิ๊กคิว ผู้หิวแสงแห่งความจริง
เท่าที่ได้ติดตามเรื่องราวของลุงพล มาตั้งแต่แรก
ก็เห็นว่า มันมีเรื่องดราม่าหลายหลากมากประเด็น ที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตของเขา ทั้งด้านบวกและด้านลบ
สำหรับเรื่องด้านบวกที่เกิดขึ้นกับเขานั้น ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่ง ที่เขาได้สร้างขึ้นมาเองเป็นส่วนใหญ่
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสร้างสาธารณะประโยชน์เพื่อชุมชน
หรือการริเริ่มที่จะสร้างแลนด์มาร์คแห่งใหม่
เพื่อต้องการจะกระตุ้นความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ของผู้คนในหมู่บ้าน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของผู้คนทั่วๆ
ไป ไม่เว้นแม้กระทั่ง กลุ่มคนที่จงเกลียดจงชังในตัวเขา
สำหรับผู้ที่เห็นพ้อง กับสิ่งที่เขาได้สร้างขึ้นมานั้น
ต่างก็อนุโมทนาสาธุ ให้กับการกระทำที่ดีงาม
ส่วนฝ่ายที่ไม่ชอบและเกลียดชังเขาจนเข้าไส้
กลับมองว่าเป็นการมุ่งหวังผลประโยชน์เพื่อตัวเอง ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องธรรมดา ที่คนกลุ่มหลังนี้จะคิดเช่นนั้น
เพราะพวกเขาเลือกแล้วที่จะยืนอยู่ กับฝ่ายที่เป็นปรปักษ์กับลุงพล
โดยที่คนกลุ่มนี้พยายามปั้นเรื่อง เพื่อหาเหตุมาโจมตีเขาในทุกวิถีทาง
เรียกได้ว่าถึงขั้นระดมสรรพกำลังทั้งหมดที่มีอยู่
เพื่อมุ่งหวังที่จะทำให้ผู้คนหันมาเกลียดชังลุงพลให้จงได้
ไม่ว่าจะเป็นการใส่ร้ายป้ายสีทั้งทางตรงและทางอ้อม
และการสร้างประเด็นด้านลบในหลากหลายรูปแบบ
โดยไม่ทิ้งระยะให้ลุงพลได้หยุดพักหายใจกันเลยทีเดียว
เริ่มจากการที่พวกเขา ได้จงใจสร้างห้องที่มืดมิดนั้นขึ้นมา
แล้วกล่าวหาว่า ภายในห้องที่มืดมิดนั้น ล้วนมีแต่สิ่งเลวร้าย
ที่ลุงพลได้กระทำเอาไว้ทั้งสิ้น ส่งผลให้กลุ่มเป้าหมาย ที่หมั่นไส้ลุงพลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
รวมทั้งกลุ่มคน ที่ไม่ได้ติดตามเรื่องราวของเขามาตั้งแต่ต้น
ต่างก็พากันปักใจหลงเชื่อ ข้อกล่าวหาในความมืดนั้น
โดยที่ต่างก็มโนเป็นภาพที่เลวร้ายกันไปต่างๆ นานา ทั้งๆ ที่ ภายในห้องที่พวกเขากำลังเพ่งมองอยู่ในขณะนี้
มีเพียงความมืดมิด และคำพูดที่กระตุ้นความเกลียดชังเท่านั้นเอง
เช่น กล่าวหาว่ามีพระบูชา ที่ไม่ได้ถูกจัดวางไว้ในที่อันควร
ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
และสมควรที่จะได้รับการประณาม จากผู้คนเป็นอย่างยิ่ง
หรือแม้แต่ประเด็นที่กล่าวหาว่า ตรงมุมหนึ่งภายในห้องที่มืดมิดนั้น
มีสมุดบัญชีธนาคารซุกซ่อนอยู่จำนวนหลายเล่ม
แทบไม่น่าเชื่อว่าจากข้อกล่าวหาที่เลื่อนลอยเพียงเท่านี้ จะได้ผลอย่างเกินคาด กับกลุ่มคนที่เกลียดลุงพลจำนวนหนึ่ง
ที่นั่งน้ำลายยืด รับข้อมูลจากช่องยูทูปและเพจนรกบางเพจ จนคนเหล่านี้ ต่างก็พากันหลงเชื่ออย่างหัวปักหัวปำ
และทวีความเกลียดชังเพิ่มมากขึ้นเป็นร้อยเท่าทวีคูณ
จนกระทั่งหลังจากนั้นไม่นานนัก
ทนายสมเกียรติก็ได้ยื่นนิ้วมืออวบๆ เข้าไปเปิดสวิทช์ไฟ
จนห้องที่มืดมิดนั้นสว่างไสวไปทั่วบริเวณ เท่านั้นเอง
ภาพความจริงก็ได้ประจักษ์แก่สายตาของผู้คน ว่าอันที่จริงแล้ว เหตุการณ์มันกลับไม่ได้เป็นไปตามที่ กลุ่มปรปักษ์ของลุงพลได้กล่าวหาไว้
เพราะพระพุทธรูปบูชาองค์ที่กล่าวถึงนี้
ก็ได้ถูกจัดวางไว้บนหิ้งที่เหมาะสมทุกประการ มิได้ถูกนำไปวางไว้ในที่ที่ไม่สมควรตามที่ถูกกล่าวหา
สำหรับปัญหาเรื่องบัญชีเงินฝาก ที่ได้ถูกกล่าวหาว่ามีเพิ่มเติมอีกหลายเล่มนั้น
เมื่อพิจารณาจากภาพที่เห็นอยู่ในขณะนี้
ก็มีอยู่เท่าที่จำเป็นต้องใช้แค่เพียงสองเล่ม
มิหนำซ้ำยังเป็นบัญชีที่ปิดรับการบริจาคไปนานแล้วด้วย เป็นอันว่า แผนการที่กลุ่มปรปักษ์ของลุงพล
ได้ปั้นเรื่องขึ้นมานั้น ได้ถูกหักล้างในทันที ที่ทนายสมเกียรติได้เปิดสวิทช์ไฟ
แต่พอคล้อยหลังไปไม่นานนัก คนกลุ่มนี้ ก็ค่อยๆ แอบย่องมาปิดสวิทช์ไฟอีกเรื่อยๆ
โดยหวังว่าจะสร้างความมืดมิดขึ้นภายในห้องนั้น
เพื่อที่จะนำประเด็นดราม่าในด้านลบเรื่องอื่นๆ มาหลอกลวงแฟนคลับของตัวเอง และสาธารณะชนกันต่อไป
และนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ทนายสมเกียรติ ก็ได้ถูกตั้งฉายาจากกลุ่มปรปักษ์ของลุงพลว่า
“ทนายหิวแสง” ซึ่งโดยส่วนตัวผมเอง
ก็เห็นด้วยกับฉายาที่ทนายได้รับมานี้
เพียงแต่อยากจะขยายความเพิ่มเติมให้อีกสักนิดหนึ่งว่า “ทนายผู้โหยหาแสงแห่งความจริง” เพราะขยันไปเปิดไฟในทุกครั้ง
ที่ฝ่ายตรงข้ามย่องมาปิด เรียกได้ว่าพอทนายสมเกียรติเปิดไฟแต่ละครั้ง
กลุ่มแฟนคลับของลุงพล เป็นได้ฮากันท้องคัดท้องแข็ง
เมื่อได้เห็นอาการเงิบซ้ำเงิบซาก ของฝ่ายที่กล่าวหาลุงพล
กลายเป็นว่า ผู้ที่หิวแสงกลับไม่ใช่ทนายสมเกียรติ
เพราะท่านคือผู้ที่สร้างความกระจ่างให้กับผู้คน ซึ่งถือได้ว่า เป็นสิ่งที่วิญญูชนทั้งหลายพึงกระทำ
ยิ่งในยุคที่สื่อมวลชนบางช่อง ไร้ซึ่งมาตรฐานและกฎเกณฑ์ แน่นอนว่า กลุ่มคนที่จ้องจะดับแสงแห่งความถูกต้องดีงามนี้ต่างหาก
ที่พยายามจะปิดหูปิดตา เพื่อสร้างความเกลียดชังให้ผู้คน
โดยที่พวกเขาพึงพอใจที่จะซุกตัวเอง อยู่ภายในซอกหลืบ
ไม่กล้าแม้แต่จะก้าวออกไปยืนท่ามกลางแสงไฟเสียด้วยซ้ำ
บทความดีๆ โดย พี่โซดา น้ำ

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น