[ข่าวลุงพล] คำถามที่ต้องการคำตอบ


 

คำถามที่ต้องการคำตอบ

 

            บทความเชิงคำถาม ของทนายนิทัศน์ ประเสริฐเนติกุล เรื่อง คำถามที่ต้องการคำตอบ

มีคนถามทนายว่าวันที่ ๘ เมษายนที่ผ่านมา ลุงพลไปที่ตำรวจป่าไม้ (ปทส) ด้วยข้อหาอะไรกันแน่ คำถามนี้จริงๆ ต้องถามท่านทนายสมเกียรติโดยตรง แต่เมื่อเป็นคำถามที่ถูกนำมาถามทนาย  ทนายก็ขออนุญาตอบตามที่เข้าใจ แต่จะให้ชัวร์ต้องถามทนายสมเกียรติครับ


เวลานี้เท่าที่ยืนยันได้ ลุงพลตกเป็นผู้ต้องหา ๓ คดี  คดีแรก บุกรุกแผ้วถางป่า บนที่ดินประมาณ ๒ งาน  คดีที่ ๒ ครอบครองไม้มะค่าแต้ ที่เข้าใจว่าเป็นไม้ตะเคียน ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก.  คดีที่ ๓ ทำไม้หรือตัดไม้อะราง ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก.เช่นกัน


ย้อนไปเมื่อหลายวันก่อน ทนายเคยเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับไม้อะรางเอาไว้ว่า ไม้อะราง เป็นไม้อะไรไม่มีใครรู้จัก แต่ถูกจัดเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. แต่ดันไปขึ้นที่ข้างบ้านลุงพล เลยเป็นเรื่องเป็นราว ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นไม้กฐินป่า แต่เมื่อตำรวจนำไปพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ผลกลายเป็นไม้อะราง ซึ่งใครจะตัดต้องได้รับอนุญาต ตามกฎหมายป่าไม้ก่อน


การตัดไม้ถือว่าเป็นการทำไม้ และการทำไม้หวงห้ามประเภท ก. ถ้าใครทำโดยไม่ได้รับอนุญาต ถือว่าเป็นความผิด ตาม พรบ.ป่าไม้ ๒๔๘๔ ม.๗๓ ระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี ปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท   ดีนะที่ไม่เป็นไม้หวงห้ามประเภท ข. โทษจำคุกถึงยี่สิบปีเลย งานนี้เหล่ายูทูปเบอร์ที่ถูกหางเลข  ถ้ารับสารภาพศาลคงรอการลงอาญาร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่คงถูกปรับหลักหมื่น ถ้าสิบกว่าคน ก็น่าจะเป็นแสน  แสนสาหัสเลยงานนี้


แต่ถ้าสู้คดี ถ้าชนะก็ลอยตัวไป ถ้าแพ้ศาลก็คงรอลงอาญาให้ แต่ค่าปรับคงสูงขึ้นอีกเท่าตัว เพราะศาลคงไม่ลดโทษให้กึ่งหนึ่งฐานสู้คดี  งานนี้เลยตัดสินใจยาก ขึ้นศาลสู้คดีก็เหนื่อยแล้ว แต่ต้องเดินทางมาขึ้นศาลอาญากรุงเทพฯ คงเหนื่อยยิ่งขึ้น น่าจะขอศาลโอนคดีไปที่มุกดาหารได้ เพราะมูลคดีเกิดที่มุกดาหาร  เรื่องโอนคดีนี้ ให้ปรึกษาทนายที่แต่งตั้งตามกฎหมายนะครับ ว่าจะทำอย่างไร     ตัวทนายไม่เก่งเรื่องโอนคดีครับ


เท่าที่มองทนายที่เหมาะสมกับคดีนี้ คือท่านทนายสมเกียรติ และท่านทนายรัชพล คนหนึ่งอยู่กรุงเทพฯคนหนึ่งอยู่พื้นที่ จึงเหมาะสมที่สุด ไม่รู้ว่าวันที่ลุงพลไปประกันตัวที่สถานีตำรวจภูธรกกตูม โดนคดีบุกรุกแผ้วถางป่า  หรือคดีไม้มะค่าแต้ ที่เข้าใจว่าเป็นไม้ตะเคียน   แต่คงไม่เกี่ยวกับคดีตัดไม้อะราง  งั้นที่มีข่าวว่าตำรวจไปหาลุงพลที่บ้านเมื่อวันที่ ๖ เมย ๖๔ คงไปส่งหมายคดีตัดไม้อะรางแน่เลย


เท่าที่ทราบจากข่าว คดีบุกรุกแผ้วถางป่า ที่มีการแจ้งความที่ สถานีตำรวจภูธรกกตูม ในวันที่มีตำรวจหลายนาย ไปที่บ้านกกกอกและเชิญลุงพลไปที่ สถานีตำรวจภูธรกกตูม ต้องประกันตัวในวงเงิน ๑ แสนบาท คดีที่ ๒ คดีครอบครองไม้มะค่าแต้ ซึ่งไม้ถูกยึดไปเป็นของกลางแล้ว คดีนี้ไม่มีการโอนคดีมาที่ ปทส. ทางสถานีตำรวจภูธรกกตูม เป็นผู้ดำเนินคดีเอง   และคดีที่ ๓ ตัดไม้อะราง ได้โอนคดีมาที่ ปทส.แล้ว


ดังนั้น ๒ ใน ๓ ของคดี คือคดีบุกรุกแผ้วถางป่า และคดีตัดไม้อะราง จึงถูกโอนมาที่ ปทส. แล้ว และวันที่ ๘ ทาง ปทส.ได้แจ้งการรับโอนสำนวนคดีให้ลุงพลทราบ  ส่วนช่างพงศ์ ถูกดำเนินคดีเพียงคดีเดียว คือร่วมกันทำไม้หรือตัดไม้อะราง โดยลุงพลและช่างพงศ์ เป็นผู้ต้องหาร่วมกันในคดีตัดไม้อะราง


วันที่ ๘ ที่ ปทส. ทนายไม่ทราบว่า ทางตำรวจ ได้มีการสอบคำให้การของลุงพลเพิ่มเติมหรือไม่ ส่วนช่างพงศ์ ถูกสอบคำให้การในฐานะผู้ต้องหาแล้ว แต่ช่างพงศ์จะให้การอย่างไร ไม่ทราบได้ คำถามต่อมา หลังจากนี้คดีจะเดินอย่างไร ทนายขอตอบว่า ตำรวจจะรวบรวมพยานหลักฐาน และคำให้การของฝ่ายผู้เสียหายคือป่าไม้ และคำให้การของฝ่ายผู้ต้องหาคือลุงพลและช่างพงศ์ เพื่อสรุปความเห็น ควรสั่งฟ้องหรือควรสั่งไม่ฟ้อง ซึ่งโอกาสสั่งไม่ฟ้องแทบมองไม่เห็น แล้วเสนอความเห็น ให้พนักงานอัยการพิจารณา ถ้าอัยการเห็นชอบคำสั่งฟ้องของทางตำรวจ ปทส.  อัยการก็จะส่งฟ้องต่อศาลต่อไป เท่าที่ทราบ อาจมีการออกหมายเรียกผู้ต้องหาเพิ่ม ถ้ามีการออกหมายเรียกผู้ต้องหาเพิ่ม  ก็ต้องรอให้การสอบสวนผู้ต้องหาครบทุกคน     ก่อนมีคำสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง


คำถามที่คาใจคือ ลุงพลจะติดคุกไหม  ทนายขอตอบว่า คดีบุกรุกแผ้วถางป่า ถ้าสู้คดี มีโอกาศชนะคดีได้ ส่วนคดีครอบครองไม้มะค่าแต้ เท่าที่จำได้เคยมีคำพิพากษาฎีกายกฟ้อง ไม้ลื่นไหลมาจากภูเขามาเอง ส่วนคดีตัดไม้อะราง เคยมีฎีกาตัดไม้ในวัด โดยเข้าใจว่าตัดได้ก็ยังผิด  แต่ทั้ง ๓ คดี เอาไปเปรียบเทียบกับคดีตายายเก็บเห็ดไม่ได้  เพราะความจริงทั้งตาและยาย ตัดไม้แผ้วถางป่าหลายไร่  แต่อ้างว่าไปเก็บเห็ด จึงถูกศาลพิพากษาลงโทษ


แต่ทั้ง ๓ คดี ทุกคนที่ดูคลิป หรือเฝ้าติดตามคดีลุงพลมาตั้งแต่ต้น เห็นว่าลุงพลและเหล่ายูทูปเบอร์ และช่างพงศ์ หลงข้อเท็จจริง ไม่รู้ว่าที่ตรงนั้น อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และไม้ที่ครอบครอง หรือที่ตัด ไม่ได้เป็นไม้หวงห้าม เรียกว่าทำผิดด้วยความใสซื่อแบบชาวบ้าน   ทนายเชื่อว่าอย่างมากก็ปรับ คงไม่ถึงติดคุกติดตะรางแน่นอน


ส่วนคดีไฮไลท์ของลุงพล คือคดีฆ่าน้องชมพู่  เวลานี้ท่าจะถูกลืมไปแล้ว และลุงพลไม่ได้ฆ่าแน่นอน อากาศและความร้อนเป็นคนฆ่าน้อง อันเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายโดยไม่เจตนา แต่ถ้าจะขุดคดีกันจริงๆ ว่า ทำไมอากาศและความร้อนจึงฆ่าน้องชมพู่ได้   ขุดไม่อยาก แต่ไม่อยากขุด  ถ้าจะขุดต้องย้ายตำรวจ สภ.กกตูมหลายคนก่อน  แถมทนายพูดแบบไม่โม้   ในวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓  ทนายดันรู้ด้วยว่า น้องแต่งกายก่อนตายด้วยชุดอะไร แต่ไม่ใช่ชุดที่พบศพแน่นอน


 ดังนั้น ใครที่รู้อยู่แก่ใจว่า วันนั้นเกิดอะไรขึ้น  ถ้าไม่อยากฟื้นฝอยหาตะเข็บ ก็นิ่งๆ ไว้ อย่าพูดหรือเอ่ยอะไรออกมา เดี๋ยวจะเข้าตัว ไม่เชื่อกรรมเวรก็เชื่อทนายเถอะ หรือถ้าไม่เชื่อทนายก็เชื่อสุภาษิตโบราณที่ว่า  "พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง"

ทนายนิทัศน์ ประเสริฐเนติกุล 



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ดินแดนล้านนา เมืองเชียงใหม่

(ชาติพันธุ์) ลาวทรงดํา ไทยทรงดํา ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง

มาชู ปิกชู ประเทศเปรู เมืองสาบสูญแห่งอินคา