[ข่าวลุงพล] คนคิดลบที่มองว่า องค์ปู่ปาริจิต ศักดิ์สิทธิ์ไม่เท่าศาล
คนคิดลบที่มองว่า องค์ปู่ปาริจิต ศักดิ์สิทธิ์ไม่เท่าศาล
“คนไอคิวต่ำ สมองน้อย ทานข้าวให้เยอะๆ ถ้าไม่ไหวก็แนะนำให้ไปหาหมอ” ประโยคที่ฟังดูแล้ว
เหมือนจะไม่มีอะไร แต่จริงๆ แล้ว นี่คือทัศนคติในเชิงลบของผู้พูด
และพูดเจาะจงตรงเป๊ะใส่ Fc ลุงพลเลย ด้วยความคิดที่ว่า
ตัวเองเป็นผู้ที่เจริญแล้ว ซึ่งสติปัญญาทางความคิด แต่ในมุมมองสำหรับผม เปล่าเลย
คนที่พูดออกมาแบบนี้ มองคนอื่นในแง่ลบแบบนี้ คนที่พูดนั่นแหละ
ยังเวียนว่ายอยู่ในทะเลแห่งความอิจฉา
มนุษย์เราโดยธรรมชาติแล้ว มักจะมองโลกในแง่ลบเสมอ
เช่นบุคคลที่ผมกล่าวถึงนี้ ยกตัวอย่างง่ายๆ
เพราะคนส่วนใหญ่มักชอบฟังข่าวสารในเชิงลบ จึงไม่น่าสงสัยเลยว่า ทำไมจึงมีข่าวประเภทนี้อยู่ในทีวีอย่างไม่ขาดสาย
แม้จะไม่ทราบเหตุผลหรือเรื่องราวแน่ชัด แต่ไม่ว่าใคร ต่างก็สนใจในการซุบซิบนินทากันทั้งนั้น
จึงเป็นเหตุผลที่ว่า สื่อทั้งหลาย สามารถทำเงินจากช่วงตกต่ำ หรือชีวิตที่ย่ำแย่ของเหล่าคนมีชื่อเสียงได้นั่นเอง
สิ่งสำคัญที่สุดคือการตระหนัก และรู้เท่าทันตัวเอง
ทั้งในยามที่กำลังเจอคนคิดบวก ขอเพียงแค่ใส่ใจ เราก็จะเปลี่ยนแปลงตนเองได้
โดยการปรับปรุงทัศนคติที่มีต่อเขาผู้นั้น แม้จะต้องเข้าไปอยู่ท่ามกลางผู้คน ที่สนับสนุนเขาผู้นั้นทุกเมื่อ
และปล่อยให้สิ่งต่างๆ เป็นไปโดยไม่มัวจ่อมจมอยู่กับมัน เมื่อเวลาผ่านไป เราอาจค้นพบได้ว่าทั้งสุขภาพจิต
สุขภาพใจของเรา และความสัมพันธ์ต่อคนรอบข้าง พัฒนาไปในทางบวกมากยิ่งขึ้น
สมองของเรา จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับประสบการณ์เชิงลบ
เพราะการไม่แยแสต่อเรื่องที่เป็นลบ เรื่องที่เสี่ยง
มีโอกาสให้เราต้องพบความเจ็บปวด ความทุกข์ หรือถึงขั้นเอาชีวิตไม่รอดเอาง่ายๆ การเจอคนคิดลบ
จึงเป็นอันตราย ต่อการทำงานของสมองของเรา
บุคคลที่คิดลบต่อผู้อื่น สมองของเขา มีเจ้าหน้าที่คอยรักษาความปลอดภัย
เสมือนยามหนุ่มๆ ที่คอยปั่นจักรยานตรวจตาไปทั่วๆ หมู่บ้าน คอยเฝ้ามองดูว่า มีสิ่งใดที่จะเข้ามาคุกคาม
ทำอันตรายต่อตัวเขาและทรัพย์สินของเขาหรือไม่ และพี่ยามคนนั้นชื่อ อมิกดาลา (Amygdala) ซึ่งเป็นสมองส่วนของความกลัว
ขี้ขลาด สิ่งใดก็ตาม ที่พี่ยามเขาเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ
ไม่ชัดเจน จะต้องถูกตีความว่า เป็นอันตรายเอาไว้ก่อน แม้จะมีหลักฐานแสดงตัวว่า
สิ่งนั้นมีความปลอดภัยต่อเขาอย่างแท้จริง แต่พี่ยามก็จะดึงดันว่า
สิ่งที่เขาเห็นนั้น มันอันตรายต่อเขา
เหมือนอย่างที่เขาพูดว่า องค์ปู่ปาริจิต
หรือจะศักดิ์สิทธิ์เท่าศาล
ซึ่งการทำงานของพี่ยามนี้
อยู่บนระบบสมองส่วนอารมณ์และความรู้สึก ซึ่งทำงานได้เร็วกว่าสมองส่วนที่คิดและหาเหตุผลที่แท้จริง
เขาจึงเลือกเชื่อในข้อมูลที่เป็นลบ ได้ง่ายกว่าข้อมูลในเชิงบวก
ทั้งที่เมื่อมาคิดวิเคราะห์ดูดีๆ แล้ว เหมือนเรื่องนั้นจะดูไม่มีเหตุผลก็ตาม
เขาจึงมักเชื่อข่าวลือในแง่ไม่ดี ของใครบางคนได้ง่ายๆ
ทั้งที่บางครั้ง ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อนเลยเสียด้วยซ้ำ อยากจำกลับลืม
อยากลืมกลับจำ เพราะสมองเขามีพื้นที่จำกัด สมองส่วนความจำระยะยาว หรือ ฮิปโปแคมปัส
(Hippocampus) ก็จะพยายาม จัดเก็บประสบการณ์เชิงลบของเขาไว้เป็นอย่างดี
เพื่อให้มั่นใจว่า เขาจะได้เข้าไปใกล้
กับเรื่องราวเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว ในทันทีที่มีข่าวไร้สาระเข้ามา
เขาจะรีบปั้นข่าวนั้น ให้ดูเหมือนเรื่องจริง เพื่อหลอกลวง Fc
ของเขาในทันควัน ส่วนเรื่องราวเชิงบวกนั้น จะหายสาบสูญไปทันที สมองของเขา จะไม่ค่อยรู้สึกอะไร
เพราะสมองของเขา เลือกจัดเก็บข้อมูลในลักษณะนี้ โดยไม่สนว่า เขารู้สึกอย่างไร
ดังนั้นอย่าแปลกใจว่า ทำไม เขาถึงก้าวข้ามลุงพลไปไม่ได้เสียที
ดูเหมือนเรื่องราวทุกก้าวย่างของลุงพล
จะฝังแน่นในความรู้สึกของเขาได้อย่างยาวนาน เรียกว่าแทบจะจำ ทุกท่าทางที่ถูกกระทำ
ทุกทุกคำที่พูด ได้อย่างชัดเจน และแม้ว่าในทางทฤษฎี จะบอกว่า เมื่อเขาดูข่าวลุงพล 5 ครั้ง เขาจะหยิบยกเรื่องราวเหล่านั้น
ไปโจมตีว่าร้ายให้ลุงพลได้เป็น 100 ครั้ง เพราะความรู้สึกและความสัมพันธ์ มันกลับมาดีเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว
แต่เรื่องราวเกี่ยวกับลุงพลนั้น มันก็ไม่ได้สูญหายไปไหน มันยังคงฝังลึกลงในจิตใจของเขา
ความคิดในเชิงลบ ยังคงสั่งการสมองอันน้อยนิดของเขา ให้หลอกใจของเขาเองว่า
ลุงพลคือคนเนรคุณ
เมื่อเป็นแบบนี้ สมองของเขา จึงเหลือพื้นที่ ให้เขามีข้อมูลเป็นบวกไม่มากเท่าไหร่นัก
ทั้งที่ชีวิตเขาน่าจะเจอกับเรื่องที่เป็นบวก มากกว่าเสียด้วยซ้ำ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่รอดมาได้ถึงทุกวันนี้
แม้ธรรมชาติของสมองของเขาจะเป็นเช่นนั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่า เขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลง และพัฒนาสมองของเขา
ให้คิดและมีทัศนคติเชิงบวกมากขึ้นได้ หากเขา เริ่มจากฝึกมองหาข้อมูลในเชิงบวกมากขึ้น
จากสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว เพื่อสร้างคลังข้อมูลให้เป็นบวก ในสมองส่วนความทรงจำระยะยาวให้มากขึ้น
การตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆ ที่เข้ามาให้ช้าลง เพื่อให้สมองส่วนคิดได้มีเวลาทำงานบ้าง
ก่อนจะใช้แต่สมองส่วนอารมณ์ในการตัดสินใจ และที่สำคัญคือ การสร้างความตะหนัก
การรู้เนื้อรู้ตัว รู้ทันอารมณ์ความรู้สึกของตัวเขาเอง ก็จะช่วยให้เขาสามารถเข้าใจ
และหาวิธีจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกเชิงลบของเขาได้ทัน ไม่ปล่อยให้สมองของเขา ฟุ้งซ่านไปด้วยข้อมูลเชิงลบ
ที่วิ่งไปวิ่งมา ให้เปลืองพลังงานของสมองไปโดยเปล่าประโยชน์
แล้วตอนนี้ เขากำลังเกิดอารมณ์ความรู้สึกแบบไหน
อารมณ์ความรู้สึกเชิงลบครั้งล่าสุดของเขา เกิดขึ้นเมื่อไหร่ เขาจำได้ไหมว่า
เหตุการณ์ใด ที่ทำให้เขา เกิดอารมณ์ความรู้สึกแบบนี้ แล้วเขาสามารถ เปลี่ยนแปลงความรู้สึกของเขาต่อเรื่องนั้นได้อย่างไร
และสุดท้าย เมื่อเขาเปลี่ยนแปลงความรู้สึกของเขาต่อเรื่องนั้นได้ เขาจะได้ประโยชน์อะไร
ตอบตัวเขาเองดูเสียหน่อย ดีไหมครับ

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น