[ข่าวลุงพล] คนโง่ จะเก็บใจไว้ที่ลิ้น ส่วนคนที่ฉลาด จะเก็บลิ้นไว้ที่ใจ
คนโง่ จะเก็บใจไว้ที่ลิ้น ส่วนคนที่ฉลาด จะเก็บลิ้นไว้ที่ใจ
ผู้ที่มีไฟแห่งความเคียดแค้น
ชิงชัง ฝังแน่นในกมลสันดาน อย่างยากที่จะทำให้มอดดับได้
ต่อให้เราเอาน้ำสาดใส่เพื่อดับมอด
ก็ยิ่งเหมือนกับเราสาดน้ำมันเข้ากองไฟ
ได้อ่านงานเขียนของพี่รักษ์ มนัญญา
นักเขียนชื่อดัง ที่เขียนบทความ ลงบนบล็อกส่วนตัวเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า
เมื่อไฟแห่งความโกรธมาเผาไหม้
กายของเรา
เปรียบเหมือนเมืองที่ตกอยู่ท่ามกลางกองเพลิงอันเร่าร้อน
มันพร้อมจะเผาไหม้ทุกอย่างให้ไหม้วอดวาย ไฟกองใหญ่ที่โหมอยู่
ในหัวใจของแต่ละคนในเวลานี้ ซึ่งเป็นไฟอันน่ากลัวอย่างยิ่งเพราะว่านั่น
คือไฟที่เกิดจากความเห็นต่าง และเกิดจากความโกรธ ซึ่งยากจะดับได้ด้วยน้ำธรรมดา
ต่อให้ฝนแสนห่าตกลงมาทั้งวันทั้งคืน ไฟในใจ ของคนที่คลุ้มคลั่งด้วยความโกรธ
ก็ไม่อาจดับมอดลงได้
แม้ว่าในวันนี้ฝนกำลังตก
แต่ผมยังเห็นแสงเพลิงแวบวาบตลอด แสดงถึงสถานการณ์อันไม่น่าวางใจ
พอลมร้ายมากระพือเพียงนิดเดียว ไฟนั้นก็พร้อมที่จะลุกพรึบขึ้นอย่างรวดเร็ว
รายรอบตัวของผม ก็มีกองเพลิงรายย่อยเกิดขึ้นตลอด
ผมจึงแลเห็นเปลวไฟเรียงรายอยู่รอบๆ ตัว ผมบอกตัวเองตลอดว่า อย่าประมาทว่า
เป็นเพียงกองไฟเล็กๆ จะดับเมื่อไรก็ได้
ถ้าคิดอย่างนั้นเมื่อไร
เราจะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่รู้ตัว ไฟที่รายรอบตัวผมในเวลานี้
ก็เป็นไฟแห่งกิเลสชนิดหนึ่ง ซึ่งอยู่ในอกุศลมูลคือ โทสะ หลายต่อหลายครั้ง
ที่ผมต้องเดินอยู่ท่ามกลางกองโทสะของคน แม้ว่าเราไม่ใช่คนจุด
แต่ไฟนั้นไม่รู้หรอกว่าใครเป็นจุดขึ้นมา ไฟมีหน้าที่เพียงเผาไหม้และทำลาย
ไฟต้องทำหน้าที่ด้วยความเที่ยงตรง เผาไหม้คือหน้าที่ของไฟ
เรามีน้ำเพียงขันเดียว
ย่อมไม่อาจดับไฟกองใหญ่ได้ ทางหนึ่งที่จะช่วยดับไฟได้คือ ใช้น้ำแห่งเมตตาธรรม
โดยเฉพาะบุคคลที่ยืนอยู่บนสถานะที่สูงกว่า ต้องเป็นผู้ที่มีใจน้อมไปในทางแห่งเมตตา
เพื่อนำเมตตาธรรม มาเป็นน้ำทิพย์ดับไฟอันรุ่มร้อนนั้น
แต่ถ้าผู้ที่ยืนอยู่บนสถานะที่สูงกว่า กลับลงเล่นด้วยการกระพือลม ยุแหย่
ไม่ว่าจะด้วยเจตนาใดก็ตาม ไฟนั้นก็ยากจักดับลงง่ายๆ
มีหลายครั้งเหมือนกัน
ที่เราอาจไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงสงบนิ่งดูอาการของไฟ
ไม่เข้าไปใส่ฟืนหรือราดน้ำมันเติมเข้าไป ไฟนั้นก็จะสิ้นเชื้อและค่อยๆ มอดๆ ลงไป
นั่นคือการดับไฟโดยไม่ต้องใช้น้ำอื่นใด แต่ดูจะมีความยากกว่าเสียอีก
เพราะวิธีการอย่างนี้ ท่านเรียกว่า การเข้าไปดูอาการของไฟ ไม่ว่าไฟนั้น
จะเกิดขึ้นเมื่อไร มีอาการเป็นอย่างไร ร้อนรนเพียงใด ถ้าเราเข้าไปรู้ไปเห็น
อาการของไฟนั้นได้เร็ว ไฟนั้นก็จะถูกจำกัดบริเวณอยู่ในพื้นที่แคบๆ
ไม่กระพือฮือโหมออกไปสู่วงกว้าง ไม่นานนัก ไฟนั้นก็สงบลง
ไฟที่เกิดในภายนอก แม้นว่าจะร้อน
แต่ท่านกล่าวว่า ไฟในใจคือ ไฟที่ลุกไหม้ใจจิต มีอันตรายกว่า เผาไหม้ได้มากกว่า
และยากจะดับลงง่ายๆ การดับลงแห่งไฟในใจ นั่นแหละจึงจะเป็นการดับไฟที่สมบูรณ์
มีความสงบร่มเย็นอย่างแท้จริง ขอให้ทุกดวงจิตที่กำลังรุ่มร้อนด้วยไฟ สงบ ระงับ
จากการถูกไฟในใจเผาผลาญด้วยเถิด
ยอมที่จะเสียโสตประสาทสายตา
และโสตประสาททางหู ในการรับชมรับฟังคลิป ของยูทูปช่องหนึ่ง ผู้ที่ยังคุกรุ่นไปด้วยไฟแห่งความอาฆาตแค้น
ที่ยังคงเทียวอวดอ้าง ทวงบุญคุณลุงพล ไม่เว้นในแต่ละวัน หรือแม้กระทั่งการด่าและท้าต่อย
ซึ่งคนปากพร่อยจะไม่ค่อยใส่ใจ นึกอยากพูดอะไร ก็จัดไปแบบเต็มที่
ตามแต่อารมณ์ในขณะนั้น เมื่อเรายังไม่พูด
เราเป็นนายคำพูด แต่เมื่อพูดไปแล้ว คำพูดเป็นนายเรา เคยได้ยินใช่ไหมครับประโยคนี้
บางคนพูดไม่เก่ง ไม่มั่นใจ ไม่รู้จะพูดเรื่องอะไร แต่บางคนนั้นพูดได้พูดดี
แต่ก็มีบางคน ที่อาจจะใช้คำพูดนั้น ทำร้ายใครอีกหลายคนได้อีกด้วย
บางครั้ง การนิ่งเฉยไม่พูดอะไร
ก็คือคำพูดที่ชัดเจนอยู่แล้ว ถ้าคิดแล้วว่า พูดออกไปอาจไม่ดี
สู้ไม่พูดเสียยังจะดีกว่า บางครั้ง การพูดมาก อาจเสียมาก พูดน้อยย่อมเสียน้อยกว่า การพูดนั้นใช้สมอง
ไม่ใช่ใช้ปากเพียงอย่างเดียว หากคุณ “คิดดี
พูดดี และทำดี”
คุณก็ไม่จำเป็นต้องพึ่ง “โชคดี” อย่าให้ลิ้นของเรา ประจานตัวเอง
การพูด สะท้อนตัวผู้พูด ได้ดีที่สุด คนโง่
เก็บใจไว้ที่ลิ้น ส่วนคนฉลาดจะเก็บลิ้นไว้ที่ใจ คนคิดน้อย พูดมาก ส่วนคนพูดมาก
มักทำน้อย ซึ่งก็ไม่จริงเสมอไป บางคนพูดมาก ทำมากก็มี การพูดคือการแบ่งปัน
ส่วนการฟังก็คือการใส่ใจกันนั่นเอง คิดก่อนพูด ไม่มีคำว่าเสีย จงพูดให้ผู้อื่นเห็นภาพ
แต่อย่าสร้างภาพให้ผู้อื่นเห็น จงพูดดี แต่อย่าดีแต่พูด
คนพูดเก่ง อาจจะไม่ใช่คน พูดดี บางครั้ง
การพูดที่ดี ก็อาจสู้การพูดที่จริงใจไม่ได้ กุญแจสำคัญของการพูด คือ กล้าพูด ยิ่งคุณอ่านมาก
คุณยิ่งพูดน้อย แต่จะพูดดีขึ้นเรื่อยๆ อย่าพูดเอาดีใส่ตัว
และอย่าพูดเอาชั่วใส่ผู้อื่นด้วย บางครั้งการพูด
ก็คืออาวุธที่เชือดเฉือนและทรงอานุภาพที่สุด ในโลกนี้มีเพียง 3 สิ่ง
ที่เอากลับคืนมาไม่ได้ คือ เวลา โอกาส และ คำพูดที่เอ่ยออกไปแล้ว อย่ากังวลไป
ปากของคนอื่น ปล่อยเขาพูด หนทางของเรา ก็เดินด้วยเท้าของเราเอง
ตราบใดที่มีคนอยู่ ก็มีคำว่าถูกผิด ตราบใดที่คนยังมีอ้าปาก ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนโยกย้ายกับคำว่า
ถูก-ผิด แม้ว่าคุณจะยืนนิ่งไม่ขยับ ก็จะมีบางคนพูดว่าเห็นคุณวิ่ง สิ่งที่คนอื่นพูด อย่าไปสนใจ ปากของคนอื่น อยากพูดอะไรก็พูดได้ หนทางของคุณเอง อยากเดินยังไงก็เดินไป ต่อให้ทำดีแค่ไหน ก็จะมีบางคนไม่พอใจ โปรดจำไว้หนึ่งประโยค ถามใจตนเอง
หากนั้นคือหนทางที่ทำให้ไม่รู้สึกละอายใจ ก็จะยิ่งดี
ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ ไม่ว่าปัญหาอะไรจะเกิด ก็จะนำไปสู่การแสดงความคิดเห็น
และวิพากษ์วิจารณ์ปากของคนอื่น หนทางของคนอื่น หนทางของตนเอง ก็เดินด้วยเท้าของตนเอง มุมมอง
แววตาที่ต่างกัน ใยต้องเสียน้ำลาย คนที่คุณภาพชีวิตไม่สูง ใยต้องไปใส่ใจ โลกก็เป็นเช่นนี้ คุณทำดี
ไม่มีใครเห็น คุณทำแย่
ทุกคนบ่นว่า
คุณดีร้อยครั้ง ไม่มีใครสรรเสริญ คุณผิดครั้งเดียว ผู้คนตำหนิชี้ด่า ไม่ว่าเขาจะถ่อมเนื้อถ่อมตัวเท่าใด ก็มักจะมีคน
“นินทา ว่าร้าย” เบื้องหลัง
สกปรก หากคุณอภิปราย
ก็หาว่า ก้าวร้าว หากคุณเงียบ
ก็หาว่ายอมรับว่านั้นคือความจริง หากคุณบิดหน้า ก็หาว่าคุณกระดากอาย
ขี้โมโห หากคุณไม่สนใจ
ก็หาว่า ไม่มีมโนธรรม
มนุษย์ เอาชนะปากเดียวไม่ได้ นับไม่จบไม่สิ้นกับหัวใจดวงเดียว ปากคนเรายากจะหาอะไรมาอุดได้ ทำหน้าที่ของตนองให้ดีที่สุด
จะได้ไม่โกรธ ปากคนอื่นก็อยู่บนหน้าของคนอื่น ก็แล้วแต่เขา
อยากจะพูดอะไร การได้รู้จักคนประเภทนี้ ถือว่าทำให้ชีวิตตนเองต้องปนเปื้อน คนดีพระเจ้าจะดูแล
คุ้มครอง คนเลว
พระเจ้าจะไม่ให้อภัย
ใครดี ใครชั่ว ใครจริง ใครเท็จ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์เอง ปากของคนอื่น อยากพูดอะไรก็พูดไปคุณมีหน้าที่เป็นคนดี
ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมาก็พอ เป็นคนที่รู้หน้าที่ของตนเอง อย่าทำเรื่องที่ผิดต่อมนุษย์ด้วยกัน ทุกคนล้วนยุ่งทั้งนั้น “อย่ามองตัวเอง” ด้วยสายตาที่จู้จี้จุกจิกของใครบางคน “อย่าวัดคุณค่าของตัวเอง” ตามมาตรฐานของคนอื่น อย่ามัดใจคุณจนแน่นเกินไป ปล่อยวาง ชีวิตจะเป็นอย่างที่คุณต้องการ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น