[ข่าวลุงพล] ประโยคบอกเล่า ของเหล่าผู้ดี กับวลีที่ว่า ตาสว่างแล้ว
ประโยคบอกเล่า ของเขาคนนั้น
หลายๆ คน ที่จงเกลียดจงชังลุงพล
แล้วสถาปนาตัวเองว่าเป็นผู้ดี ด้วยวลีที่สวยหรูว่า ตาสว่างแล้ว ต่างจรแจวจากลุงพล
บ้างก็จากไปอย่างเงียบๆ แต่ก็มีบ้างบางผู้คน ที่ซุกซนทั้งกาย วาจา และใจ
โดยเฉพาะการใช้วาจา ที่พวกเขาต่างพากันคิดว่า ผู้ที่มีการศึกษาดี
ล้วนแล้วแต่ใช้ถ้อยคำเหล่านี้ กลับมาโจมตีลุงพล ผ่านทางสื่อออนไลน์ต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นทางเฟซบุ๊ค ทางเพจ หรือแม้กระทั่งยูทูป
ใครที่มีความคิดเห็น แตกต่างจากพวกเขาเหล่านี้
ถ้าคุณหลงเข้าไปในวังวนของพวกเขา ก็เตรียมตัวโดนทัวร์ลง และเตรียมพร้อมน้อมรับฉายาต่างๆ
ที่พวกเขาเหล่านั้นจะมอบให้คุณ แม้คุณจะไม่เต็มใจน้อมรับ แต่เชื่อผมเถอะ
เมื่อพวกเขาเหล่านี้ ได้หล่นวาทกรรมเหล่านั้นออกมาแล้ว นั่นคือความสุขเล็กๆ น้อยๆ
ที่หล่อเลี้ยงสมองอันน้อยนิดของพวกเขา ให้คุณคิดเสียว่า
คุณได้ทำบุญอุทิศความสุขความสะใจ ให้แก่พวกเขาแล้ว อย่าลืมพนมมือขึ้น
แล้วกล่าวคำว่าสาธุด้วย ถ้าหลังจากที่พวกคุณ ได้อ่านคำอวยพรเหล่านั้นของพวกเขาแล้ว
เฉกเช่นคอมเมนต์ที่ผมยกมากล่าวอ้างนี้
มันสื่อถึงกมลสันดานของคนที่คอมเมนต์
และสื่อถึงความคิดอันเปล่ากลวงของพวกเขาได้เป็นอย่างดีเลยว่า ในสมองของเจ้าของคอมเมนต์นี้
มีแต่ขี้เลื่อย ซึ่งเขาได้คอมเมนต์ไว้ใต้คลิปๆ หนึ่งว่า พวกหลงรักผัวชาวบ้าน
แอบโอนไว ช่วยคนโดนคดี สงสัยผัวที่บ้านไม่รู้นะครับ ว่าเมียตัวเอง
ไปแอบหลงรักผัวชาวบ้าน มีอะไรโอนให้เขาหมด ผมนี่ขำมากเลย ขำในความโง่ของ Fc ข้างไข่
ถ้าผมมองคอมเมนต์นี้
ในเรื่องของกฎแห่งกรรม ผมก็กล้าพูดได้เลยว่า นี่คือวจีกรรม
ซึ่งผมเคยพูดถึงเรื่องนี้ไปหลายคลิปแล้ว
กรรมคือกฎของเหตุและผลนี้ เป็นกฎสากลและเป็นกฎพื้นฐานของสิ่งที่มีชีวิต
ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ก็ ไม่ได้อยู่นอกเหนือการควบคุมของเราเสียทีเดียว เมื่อเอ่ยถึงกรรมมักจะเข้าใจผิดๆ
ว่า หมายถึง “โชคชะตา”
ซึ่งเป็นความหมายที่เพี้ยนไปจากคำว่า “กรรม” ที่พระบรมศาสดาทรงแสดงไว้โดยสิ้นเชิง
“โชคชะตา” เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา
เป็นพรหมลิขิตของแต่ละคน ที่ถูกกำหนดมาล่วงหน้า ส่วน “กรรม” มีความหมายตามตัวอักษรว่า
“การกระทำ” การกระทำของเราเองต่างหาก ที่เป็นเหตุให้เราได้รับผลของกรรมนั้น
ดังพุทธพจน์ ที่ว่า “สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน
เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวและประณีตได้”
ทุกสิ่งที่เราประสบในชีวิต
ล้วนเป็นผลมาจากการกระทำของตัวเราเองทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้เราจึงสามารถกำหนด “อนาคต” ด้วยการควบคุม
“การกระทำของตนเอง” แต่ละคนต้องรับผิดชอบในการกระทำอันเป็นเหตุให้ตนต้องเป็นทุกข์
และต่างก็สามารถเข้าถึงวิธีดับทุกข์ได้เช่นกัน ดังพุทธพจน์ ที่ว่า “ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
ตนแลเป็นทางไปของตน”
ว่าด้วย “กรรม” หรือ
“การกระทำ” มีอยู่ 3 อย่าง คือ
1.กายกรรม
คือ การกระทำทางกาย
2.วจีกรรม
คือ การ กระทำทางวาจาด้วย “คำพูด”
3.มโนกรรม
คือ การกระทำทางใจ ด้วย “ความคิด”
ตามปกติคนทั่วไป ให้ความสำคัญกับการกระทำทางกาย
รองลงมาคือ การกระทำทางวาจา และให้ความสำคัญน้อยที่สุดกับการ กระทำทางใจ โดยทั่วไปสำหรับเราหรือเขา การทุบตีใครสักคน
ดูจะเป็นเรื่องร้ายแรงกว่าการพูดดูถูกเขา และการกระทำทั้งสองอย่างนั้น ดูรุนแรงมากกว่าการมุ่งร้ายแค่อยู่ในใจ
แน่นอนว่า นี่เป็นมุมมองในเชิงกฎหมาย ที่มนุษย์บัญญัติกันขึ้นมาในแต่ละประเทศ
แต่ตามหลักของ “ธรรมะ” ซึ่งเป็น
“กฎของธรรมชาติ” แล้ว “มโนกรรม” เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ส่วนกายกรรม
หรือวจีกรรม จะพิจารณารุนแรงเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับ “เจตนา” ในการกระทำนั้น เปรียบดังกรณีที่ปู่มุนีนัดเคลียร์ปัญหากับคนๆ
นั้นโดยตรง ซึ่งเรื่องราวก็จบลงได้ด้วยดี ระหว่างปู่มุนี กับคนๆ นั้น
แต่พอจะแยกย้ายกัน กลายเป็นว่า คนของฝั่งคนนั้น ปรี่เข้ามาจะเอาเรื่องปู่มุนี ซึ่งเป็นการกระทำกายกรรมอย่างเดียวกัน
โดยผลการกระทำเหมือนกันคือ ทำให้สำนึก
แต่ “เจตนา” ของคนๆ นั้น และคนของคนๆ นั้น ต่างกันคนละขั้ว
กล่าวคือ คนๆ นั้น กระทำด้วยเจตนาที่ต้องการสงบศึก
ส่วนคนของคนๆ นั้น มีเจตนามุ่งร้าย ดังนั้นผลของกรรมของคนทั้งสอง ย่อมแตกต่างกัน
ทั้งนี้สำคัญอยู่ที่ “เจตนา”
ผลของ “วจีกรรม” ก็ขึ้นอยู่กับ “มโนกรรม” หรือ
“เจตนา” เช่นเดียวกัน ในการกล่าว วาจานั้นเป็นตัวกำหนดของการกระทำ
การกระทำทางกายและการกระทำทางวาจา เป็นเพียงการแสดงออกของการกระทำทางใจเท่านั้น “มโนกรรม” จึงเป็นกรรมที่แท้จริง
เป็นเหตุที่ส่งผลให้เกิดผลในอนาคตด้วยความเข้าใจใน “สัจธรรม” ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า
ใจเป็นใหญ่ ทุกสิ่งสำเร็จได้ด้วยใจ หากบุคคลกระทำการใด ไม่ว่าจะโดยทางกายหรือวาจา ด้วยใจที่ไม่บริสุทธิ์
ความทุกข์ก็ย่อมตามสนองเขาเหมือน “ล้อเกวียนหมุนตามรอยเท้าโค”
ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า
ใจเป็นใหญ่ทุกสิ่งสำเร็จได้ด้วยใจ
หากบุคคลกระทำการใดไม่ว่าจะโดยทางกายหรือวาจาด้วยใจที่บริสุทธิ์
ความสุขย่อมตามสนองเขาเหมือน “เงาติดตามตัว” สาเหตุของความทุกข์ : “มโนกรรม” ใดเล่าที่กำหนด
“ชะตากรรมของเรา” ถ้าจิตประกอบด้วย นามขันธ์ 4
คือ“วิญญาณ สัญญา เวทนา และสังขาร” แล้วส่วนใดของจิต
ที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ แท้จริงแต่ละส่วนของจิตต่างก็มีส่วนเกี่ยวข้อง
กับกระบวนการเกิดทุกข์ในระดับหนึ่ง
สามส่วนแรกคือ วิญญาณ สัญญา เวทนา
ทำงานในเชิงรับ เช่น วิญญาณ ทำหน้าที่เพียงรับรู้ข้อมูลขั้นต้นที่เข้ามา สัญญา
เป็นส่วนที่จำได้ หมายรู้ จัดข้อมูลให้เป็นหมวดหมู่ เวทนา
เป็นส่วนรับรู้ความรู้สึก แล้วส่งปัญญาญาณ ว่าวิญญาณ สัญญา เกิดขึ้นแล้ว
จิตทั้งสามส่วนแรกจึงทำหน้าที่เพียงย่อยข้อมูลที่รับเข้ามานั้น
ต่อเมื่อจิตเริ่มปรุงแต่งตอบโต้ จากนิ่งเฉยกลายเป็นชอบหรือชัง อยากได้หรือผลักไส
ปฏิกิริยาปรุงแต่งนี้ก่อให้เกิดกระบวนการต่างๆ ตามมาเป็นลูกโซ่
โดยมี “สังขาร” นี้เองเป็นจุดเริ่มต้น ดังพุทธพจน์ที่ว่า
ทุกข์ทั้งหลายย่อมเกิดขึ้น เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย เมื่อสังขารทั้งหลายดับ โดยไม่เหลือทุกข์จึงไม่เกิดกรรมที่แท้จริง
หรือสาเหตุที่แท้จริงของความทุกข์ คือ ปฏิกิริยาปรุงแต่งของจิต
ด้วยการตอบโต้ด้วยความชอบหรือชังเพียงแวบเดียว อาจไม่รุนแรงหรือส่งผลมากนั้น
แต่ก็ทำให้เกิดการสะสมของสังขารซ้ำแล้วซ้ำเล่า
และอาจเพิ่มความเข้มข้นในแต่ละครั้งจนกลายเป็นความอยากหรือความไม่อยาก
พระพุทธเจ้าทรงเรียกสิ่งนี้ว่า “ตัณหา” มีความหมายตามตามตัวอักษรว่า “ความกระหาย” อันเป็นนิสัยของจิตที่มีความอยากไม่สิ้นสุด
ในสิ่งที่ตนไม่มี ไม่เป็น ซึ่งสะท้อนถึงความไม่พอใจในสิ่งที่มี
ยิ่งความอยากนี้รุนแรงมากเท่าใด ก็ยิ่งมีอิทธิพลต่อ “ความคิด
คำพูด และการกระทำทางกาย” ของเรามากเท่านั้น
จึงเป็นเหตุให้มีทุกข์มากขึ้น
เช่นเดียวกัน กับผู้ที่ชอบดุด่าว่าร้ายให้ลุงพล
ไม่เว้นในแต่ละวัน ที่เทียวสรรหาถ้อยคำ ที่ตัวเองคิดว่าเลิศหรู
แล้วถ่มถุยออกมาว่าร้าย นั่นคือวจีกรรมที่เกิดขึ้น ออกอาการเหมือนปลากระดี่ได้น้ำ
ท่วงท่าสะใจในคลิป ให้ Fc ทั้งหลายได้ดูอย่างสะใจ นั่นคือกายกรรม
แล้วเรื่องราวที่นำมาใส่ร้ายลุงพล ก็ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ตกแต่งขึ้นมา
หาเรื่องจริงไม่ นั่นคือมโนกรรม ซึ่งกรรมทั้งสามอย่างเกิดขึ้นในใจจิตของเขา
โดยที่ปัญญาชนสมองน้อยอย่างเขา ไม่มีวันที่จะรับรู้ได้ ด้วยตัวของเขาเอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น