[ข่าวลุงพล] เด็กขอทาน วาจาที่เป็นยาพิษ ศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน ก็ไม่มีใครเชื่อถือ


 

วาจาที่เป็นยาพิษ ต่อให้ศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน ก็คงไม่มีใครเชื่อถือ

 

เด็กที่รำหน้าองค์ปู่ปาริจิต คือขอทาน ผมแทบไม่อยากจะเชื่อว่า นี่คือถ้อยวลี ที่ถูกพ่นออกมาจากปากของบุคคล ที่ใครหลายคนให้ความนับหน้าถือตา


เพียงแค่คำพูดที่ไม่คิด และปลายนิ้วสัมผัส ก็อาจฆ่าคนให้ตายทั้งเป็นได้ ไม่ต่างจากอาวุธที่ใช้ทำร้าย หรือใช้ประหัตประหารผู้อื่นเลย จะมีสักกี่ครั้ง ที่เราเคยตั้งคำถามดูเล่นๆ ว่า มีกี่คนแล้วที่ต้องเจ็บปวดเพราะคำพูดของเรา เราคงรู้สึกสลดใจไม่น้อย และมองเห็นพฤติกรรม อันน่ารังเกียจของเราได้ไม่ยาก


ถ้าคนเราอยากจะพูดอะไรก็พูด หรือพิมพ์แสดงความคิดเห็นอะไรก็ได้ โดยไม่ได้คิดให้ดี หรือนึกถึงความรู้สึกของผู้อื่นเลย ต่อให้อ้างว่าที่จริงแล้ว ตนเองไม่ใช่คนที่คิดร้ายกับใคร และก็ไม่ได้ทำผิดถึงขั้นไปฆ่าใครตายซะหน่อย ก็แค่เป็นคนที่พูดไม่คิด พิมพ์อะไรไม่แคร์เท่านั้นเอง ทำไมต้องซีเรียส ดราม่าอะไรกันขนาดนั้น เพื่อให้ตัวเองไม่ต้องเป็นฝ่ายผิด หรือรู้สึกผิดน้อยลง ด้วยเหตุนี้จึงยากที่ใครๆ จะเชื่อได้ว่า ทุกอย่างที่คนประเภทนี้ทำลงไป ไม่ได้มาจากความคิดที่แย่ๆ เป็นพื้นฐาน


จริงอยู่ ที่การกระทำสำคัญกว่าคำพูดและการพิมพ์ แต่การพูดที่ไม่ดี พิมพ์ในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง ใช้วาจาทำร้ายผู้อื่น ใช้การพิมพ์คอมเมนต์เพื่อประณาม หรือซ้ำเติมให้ใครต้องเจ็บช้ำน้ำใจ ย่อมสะท้อน และบ่งบอกให้เห็นว่าคนๆ นั้นลึกๆ แล้วเป็นคนมีทัศนคติ และจิตใจอย่างไร ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่าคนๆ นั้นเป็นคนดี หรือไม่ดี แต่ที่รู้ๆ คือคนๆ นี้เป็นอะไรที่ทุกคนควรหลีกเลี่ยง และควรออกห่าง ด้วยความที่เขา ไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของใครเลย แม้แต่ผลกระทบที่จะตามมาถึงตัวของเขาเอง


ยิ่งในยุคสมัย ที่คนเราสามารถติดต่อสื่อการกันได้ง่าย แสดงความคิดเห็นกันได้ง่าย คนเราก็ยิ่งล่วงเกินกันได้ง่าย และทำร้ายกันได้ง่ายด้วยเช่นกัน หากมองว่าคำพูดที่ไม่ดี หรือการพิมพ์แสดงความคิดเห็นที่รุนแรงไม่ได้สำคัญอะไร แล้วทำไมถึงมีคนมากมายที่น้อยใจ เสียใจ เครียด หรืออับอาย จนฆ่าตัวตายกันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน นั่นคงพอจะบอกได้ว่า เรื่องเหล่านี้ มันมีผลต่อจิตใจของคนมากแค่ไหน ถ้าเพียงพูดง่ายๆ ว่า ถ้าเป็นคุณก็ไม่เห็นเป็นอะไร แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า คนอื่นเขาจะไม่รู้สึก


และคนส่วนใหญ่ มักจะมาคิดได้ในวันที่สายไป หรือแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว และทำได้แต่คิดในใจว่า เราไม่น่าพูดไม่ดีแบบนั้นเลย ไม่งั้นเรื่องคงไม่จบลงแบบนี้ ไม่น่าไปคอมเมนต์แบบนั้นเลยเรา ป่านนี้คนนั้น จะเป็นยังไงบ้างนะ ทำไมตอนนั้นเราถึงพิมพ์อะไรโง่ๆ ตอบไปแบบนั้นนะ คนอ่านเขาจะโกรธเราไหม ไม่น่าโพสต์อะไรแบบนั้นออกไปเลย คนอื่นที่เห็นก็คงเข้าใจว่า เราเป็นคนแบบนั้นไปกันหมดแล้ว


ดังนั้น ก่อนที่จะสื่อสารออกมาเป็นคำพูด หรือการพิมพ์ผ่านทางตัวอักษร จึงต้องพินิจพิเคราะห์ให้ดีว่า สิ่งเหล่านี้มันจะส่งผลต่อผู้อื่นอย่างไร หรือจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง ในวันข้างหน้าหรือไม่ เพื่อจะได้ไม่ต้องมาเสียดาย หรือเสียใจทีหลัง และวิธีที่จะป้องกันการล่วงเกินผู้อื่นได้ง่ายที่สุด คือการมีสติรู้ตัวว่า ถ้าเราโดนกระทำแบบนี้บ้าง เราจะรู้สึกอย่างไร เพียงเท่านั้น เราจะพอนึกภาพออกเป็นฉากๆ ว่า ถ้าตัวเองถูกพูดไม่ดีใส่แบบนี้บ้าง หรือถูกคอมเมนต์ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงแบบนั้นบ้าง เราจะรู้สึกอย่างไร จะเสียใจ จะทุกข์ใจหรือไม่ ซึ่งเราจะสามารถยับยั้ง การกระทำอันน่ารังเกียจของเรา ที่จะไม่ไปกระทำต่อผู้อื่นได้ทันที โดยที่ไม่ต้องรอให้ใครมาบอก หรือมาห้ามเราได้เลย



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ดินแดนล้านนา เมืองเชียงใหม่

(ชาติพันธุ์) ลาวทรงดํา ไทยทรงดํา ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง

มาชู ปิกชู ประเทศเปรู เมืองสาบสูญแห่งอินคา