[ข่าวลุงพล] สาง ไดอารี่ Ep13 กับวลีที่ว่า เผื่อแผ่สัตว์โลกผู้น่าสงสาร
เผื่อแผ่สัตว์โลกผู้น่าสงสาร
โลกนี้ ไม่มีใครสมบูรณ์แบบดีทั้ง 100% มีดีมีเลว
มีสุขมีทุกข์ มีแพ้มีชนะ ปะปนกันไปเป็นสัจธรรม ที่ทุกคนต้องเป็นไปตามธรรมชาติ
ถ้ายอมรับในความจริงนี้ได้ ชีวิตก็จะเบาสบายมีความสุขได้โดยง่าย
แต่บางคนก็มีด้านมืดบอกใครไม่ได้ จึงพยายามสร้างจุดเด่นเพื่อกลบปมด้อย
และเจ็บปวดทุกครั้ง ที่เห็นใครมีในสิ่งที่ตัวเองขาด เพราะคนขี้อิจฉา
ชอบเปรียบเทียบและเสพติดการแข่งขัน รู้สึกดีถ้าได้อยู่เหนือใคร
แต่บางคนใช้ความมั่นใจ ปิดบังความอ่อนแอ เพราะกลัวความพ่ายแพ้ จึงกล้าแลกทุกอย่าง อยากจะชนะก็จะยิ่งแพ้
นิสัยของคนเราจะเป็นอย่างไร
ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นจากการปลูกฝัง เหตุการณ์ที่เคยเจอ
หรือแม้แต่สภาพแวดล้อม ซึ่งส่งผลให้คนเรามีนิสัยที่แตกต่างกัน
แต่ตัวเราเองจะเป็นคนกำหนดว่าชีวิตจะเป็นอย่างไร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความคิดและการกระทำของเราด้วย
หากเล่นเกมแล้วแพ้ สามารถย้อนกลับไปเริ่มต้นใหม่ได้
แต่ในชีวิตจริงไม่ได้เป็นอย่างในเกม ไม่สามารถกลับไปแก้ตัวได้อีก
คนที่อิจฉาคนอื่น
คนขี้แพ้มักมีนิสัยขี้อิจฉา เพื่อนรวยกว่า สวยกว่า หล่อกว่า จะรู้สึกไม่สบายใจ
เกิดการเปรียบเทียบ ความรู้สึกของการอิจฉาคือ
การไม่สามารถรู้สึกถึงเนื้อหาในชีวิตของตัวเอง เป็นเพราะคนที่อิจฉา มักต้องการมีสิ่งที่พวกเขาอิจฉา
พวกเขาโกรธมาก ที่คนอื่นสามารถบรรลุสิ่งต่างๆ ในชีวิต และได้รับสิ่งที่พวกเขาต้องการ
สรุปว่าคนขี้อิจฉา บางทีก็น่าสงสาร การปฏิเสธความคิดเห็นของคนอื่น
ผู้แพ้มักจะคิดว่าตัวเองรู้หมดทุกเรื่อง แต่เขาจะตอบคำถามได้แบบเผินๆ
โดยไม่รู้รายละเอียดจริงๆ มีคนที่ไม่สามารถ ประเมินความรู้ความเข้าใจของตนเองได้
เขาจึงแสดงออกมาในลักษณะของการรู้รอบด้าน เพียงเพราะกลัวด้อยกว่าคนอื่น
ความอิจฉาริษยา เป็นหนึ่งในความชั่วร้ายของจิตใจ ที่เกิดขึ้นจากก้นบึ้งของจิตใจ
ซึ่งทนเห็นคนอื่นทำได้ดีกว่าเราไม่ได้ แทนที่จะนำกลับมาคิดย้อนถึงตัวเอง ว่าทำไมเราทำไม่ได้
แล้วทำไมเขาทำได้ เขาทำไมเก่งจังเลย แล้วก็ศึกษาที่บุคคลผู้นั้น
แต่ถ้าหากเราไม่ใช้ปัญญาพิจารณาใส่ตัวเอง เอาแต่ดุด่าว่าร้ายให้คนอื่น คนที่เราอิจฉา ยิ่งเราด่าเมื่อไหร่
ผลกรรมนั้นก็จะย้อนกลับมาหาตัวเราเอง
ในสังคมที่เชื่อมโยง ชนชั้นทางสังคมกับระดับการศึกษา รสนิยม
และศีลธรรม ความยากลำบาก ประการหนึ่ง ของการเป็นชาวบ้านธรรมดา ที่ไม่ได้มีสถานะพิเศษในสังคม
ก็คือการถูกเหยียดหรือดูแคลน โดนหาว่าโง่บ้าง โดนหาว่ามีรสนิยม “ตลาด” บ้าง
หรือไม่ก็ถูกมองว่า แบ่งแยกคนดีคนชั่วไม่ออก ต้องให้คนดีเข้ามานำทาง แล้วใครหละ
ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนดี
ผมยังคงเวียนว่าย อยู่ในกระบวนการของคำปรามาส ซึ่งหลุดหล่นออกมาจากปาก
ของบุคคลที่เราๆ ท่านๆ อาจจะเรียกได้ว่า เขาคือบุคคลกลายพันธุ์ ซึ่งวาทะแต่ละประโยค
ที่หล่นร่วงออกมาจากปากของเขา ไม่น่าเชื่อว่า เขาช่างสรรหาถ้อยคำมาประดิดประดอย
ได้ตรงกับจริตจิตใจของเขาเสียจริงๆ อย่างประโยคล่าสุดที่ว่า
เผื่อแผ่สัตว์โลกผู้น่าสงสาร ซึ่งบริบทในประโยคที่เขากล่าวอ้างนี้ เป็นใครไปไม่ได้
นอกจากลุงพล
ใครกัน
คือสัตว์โลกผู้น่าสงสาร ถ้าคุณมองคนอื่นเป็นสัตว์โลก ตัวคุณก็ไม่ต่างอะไรจากสัตว์สังคมเช่นกัน
คุณไม่ชอบลุงพล โกรธ เกลียดลุงพล แต่ยังกล่าวอ้างถึงลุงพล แทบไม่เว้นในแต่ละวัน
คนเรา ถ้าไม่ชอบกันแล้ว จริงๆ ก็น่าจะไปอยู่ในที่ที่ตัวเองชอบ
ไม่ใช่มาเกาะแกะแทะเล็มอยู่ตลอดเวลา
มันน่าจะเป็นเรื่องที่ดีสำหรับลุงพล ถ้าในเมื่อเหล่าบุคคลกลายพันธุ์
แสดงเจตจำนงว่าไม่ชอบ แล้วไม่มายุ่งเกี่ยว ซึ่งมันจะเป็นหลักฐานที่บ่งบอกได้ว่า ลุงพลได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระแล้ว คงไม่มีใครรู้สึกดี
ในเวลาที่คนอื่นไม่ชอบ ไม่พอใจในสิ่งที่เราเป็น ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เราทำ
แต่ไม่เป็นไรหรอก เพราะการที่มีคนไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เราทำ การที่มีคนไม่ชอบ มันเป็นหลักฐานที่บอกว่า
เราได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ ชีวิตที่ไม่จำเป็นต้องทำให้คนอื่นพอใจ
ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นยอมรับ
จากวาทะหลายๆ ประโยค
ของบุคคลกลายพันธุ์ ผมพยายามตั้งข้อสันนิษฐานในใจตัวเอง
แล้วตั้งคำถามกับใจตัวเองว่า บุคคลกลายพันธุ์ผู้นี้ เขาเป็นโรคจิตหรือเปล่า
หรือมีปัญหาด้านสุขภาพจิตกันแน่ ซึ่งปัญหาสุขภาพจิต นับว่าเป็นปัญหาใหญ่เลยทีเดียว
สุขภาพจิตของแต่ละคนที่แย่ลง ส่งผลกระทบต่อคนในสังคมวงกว้าง มันคงจะดี หากเรามีเครื่องมือ
ช่วยจัดการกับความเครียดในชีวิต ที่จะช่วยลดและบรรเทาความกังวลลง
คนใช้อารมณ์เป็นเครื่องมือ ที่จะทำให้บรรลุเป้าหมาย
เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ เงื่อนไขจึงไม่ได้ถูกจำกัดไว้แค่เพียง
สาเหตุและผลลัพธ์ของพฤติกรรม แต่อาจมีอย่างอื่นอีกด้วย และเราก็มีอิสระในการเปลี่ยนแปลงมัน ชีวิตคนเรา
ไม่ได้ขับเคลื่อนไปโดยอดีต แต่ไปยังเป้าหมายที่ตั้งไว้ คนที่ยังไม่มีความสุข เป็นเพราะยังไม่รู้จักรักตัวเอง
ไม่พยายาม ไม่เรียนรู้ ที่จะรักตัวเอง ทำให้บางคนฝันอยากมีชีวิตใหม่
ทิ้งตัวตนในตอนนี้แล้วเกิดเป็นคนใหม่
สิ่งสำคัญ ไม่ได้อยู่ที่ว่าเราเกิดมายังไง
แต่อยู่ที่การใช้พื้นฐานชีวิตนั้นให้เป็นประโยชน์ การที่เราเฝ้ามองแต่เรื่องของคนอื่น
ก็เพราะเราไม่เคยสนใจข้อบกพร่องของเราเอง แทนที่จะสนใจว่า เราจะใช้พื้นฐานชีวิตนั้นให้ดีได้อย่างไร
คนที่เอาแต่พูดว่า ตัวเองร่ำรวย
อวดอ้างต่างๆ นานา เสแสร้งแกล้งมายา ว่าเบื้องหน้าโคตรมีแต่ความสุข แต่ในใจลึกๆ
แล้ว ในชีวิต แทบจะหาความสุขอะไรไม่ได้เลย อยากเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเอง
แต่หากมองลึกลงไป เราจะพบว่า ถ้าเขาอยากเปลี่ยนแปลงจริงๆ เขาก็คงทำอะไรสักอย่างไปแล้ว เขาอาจไม่ชอบสถานการณ์ปัจจุบัน
แต่อย่างน้อยมันก็อุ่นใจที่ยังไม่ตาย ก็ยังทนอยู่ได้แบบนั้น
การเปลี่ยนแปลงต่างหากที่เป็นเรื่องยาก เพราะมันต้องอาศัยความกล้า
ต้องเตรียมรับมือกับสิ่งที่ไม่รู้จัก ต้องเตรียมรับมือกับความล้มเหลว
คนที่ไม่มีความสุข
คนที่อยู่ตัวคนเดียวมานานหลายปี เพราะเมื่อเขาชินกับการอยู่คนเดียวตามลำพัง
ยึดติดอยู่กับชีวิตโดดเดี่ยว ถึงแม้เขาจะพยายามสื่อออกมาว่า ชีวิตมีความสุข แต่ลึกๆ
แล้ว เขาอาจจะปิดบัง ซ่อนเร้น ปมด้อยในใจอะไรซักอย่างเอาไว้
ความไม่สมบูรณ์แบบ ทำให้เขาปิดกั้นตัวเอง คนที่ไม่ชอบตัวเอง
ไม่รักตัวเอง ทำให้มองไม่เห็นจุดเด่นของตัวเอง เพราะมัวสนใจแต่ข้อบกพร่องเล็กๆ
น้อยๆ ของคนอื่น ทำให้ขาดความมั่นใจ
การแข่งขัน ทำให้เกิดสังคมแห่งการทำลายล้าง เป็นเรื่องปกติที่ใครๆ
ต่างก็ต้องการไขว่คว้าหาความเป็นที่สุด อยากเป็นคนสุดสอด ไม่ต้องการเป็นคนธรรมดา
ต้องการสิ่งที่ดีกว่าเดิม ต้องการไปยังจุดสูงสุด แต่เราก็มักจะเข้าใจว่า มันคือการอยู่เหนือกว่าคนอื่น
การได้ดีกว่าคนอื่น การปีนขึ้นสูงกว่าคนอื่น ถึงแม้ว่าอาจจะต้องผลักคนอื่นให้ล้มลง
ผลักคนอื่นออกจากหนทางของตัวเอง การมุ่งสู่ความเป็นเลิศจึงเป็นการคิดว่า
ทำอย่างไรก็ได้ โดยที่ไม่สนใจว่า สิ่งนั้นถูกหรือผิด เช่น การหมิ่นแคลน หรือเหยียดหยามผู้อื่น
เพื่อให้ตัวเองดูดี ในสายตาของสัตว์โลก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น