สัมภเวสี กับวจีกรรมต่ำตม ในสังคมมืดบอด
หลังจากที่ผมได้ฟังคลิปเสียง
ของผู้ที่อุปโลกน์ตัวเองว่าเป็นคน แต่เทียวก่นด่าว่าร้ายคนอื่น
หรือแม้กระทั่งต่ำตม ต่อสิ่งที่คนอื่นเขาศรัทธา เขานับถือ แต่คุณกลับใช้วาจาแทะโลมอย่างสนุกปาก
โดยไม่สนใจว่ากลากเกลื้อน จะเปื้อนลาม จากการที่คุณได้สร้างกรรมทางวาจาเอาไว้
การกระทำโดยมีเจตนา
เกิดขึ้นในตอนใดตอนหนึ่งถือว่าเป็นกรรมทั้งสิ้น ส่วนการกระทำที่ไม่มีเจตนา คือใจไม่ได้สั่งให้ทำ
ไม่จัดว่าเป็นกรรม เช่น คนเจ็บซึ่งมีไข้สูง เกิดเพ้อคลั่ง แม้จะพูดคำหยาบออกมา
เอามือหรือเท้าไปถูกใครเข้า ก็ไม่ถือเป็นกรรม ถ้าผู้ทำไม่มีเจตนากระทำแล้ว การกระทำนั้นก็ไม่เป็นกรรม
การกระทำนั้นจะต้องให้ผลเป็นบุญหรือเป็นบาป การกระทำเรียกว่าอัพยากฤต ไม่นับว่าเป็นกรรมดี
หรือกรรมชั่ว บุญและบาปก็ไม่มี
ปุถุชนยังมีความยึดมั่นในตัวตนอยู่
จะทำอะไรก็ยังยึดถือว่า ตนเป็นผู้กระทำ การกระทำของปุถุชนจึงเป็นกรรม
ย่อมจะก่อให้เกิดวิบากหรือผลเสมอ กรรมดีก็ก่อให้เกิดบุญ ส่วนกรรมชั่วก็ก่อให้เกิดบาป
นอกจากนี้ คนบางคนเข้าใจว่า กรรมหมายถึง สิ่งไม่ดีคู่กับเวร หรือบาป
เช่นที่เรียกว่า เวรกรรม หรือ บาปกรรม ตรงกันข้ามกับฝ่ายข้างดีซึ่งเรียกว่าบุญ
ทั้งนี้ เพราะเราได้ใช้คำว่ากรรมในความหมายที่ไม่ดี
เช่นเมื่อเห็นใครต้องประสบเคราะห์ร้ายและถูกลงโทษ เราก็พูดว่ามันเป็นเวรกรรมของเขา
หรือเขาต้องรับบาปกรรมที่เขาทำไว้ แต่ความจริงคำว่ากรรมเป็นคำกลางๆ
หมายถึงการกระทำ จะมุ่งไปในทางดีก็ได้ ทางชั่วก็ได้ ถ้าเป็นกรรมดี เราก็เรียกว่า “กุศลกรรม” ถ้าเป็นกรรมชั่ว
เราก็เรียกว่า “อกุศลกรรม”
กฎแห่งกรรมนั้น
ไม่ได้ละเว้นคนมั่งคั่งร่ำรวยหรือยากจน
ใครก็ตามที่ทำความชั่วย่อมได้รับผลของกรรมชั่วไม่ช้าก็เร็ว ไม่รูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่ง
ไม่วันนี้ก็วันหน้า โดยเฉพาะเมื่อใด คนในสังคมยังอยู่ร่วมกันโดยขาดหลักความเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม
และผลของการกระทำ สังคมนั้นก็จะประสบแต่ปัญหา ความวุ่นวาย
ความทุกข์ร้อนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีทางที่จะเติมเต็มอำนาจแห่งกิเลส ตัณหา
ราคะ ที่ส่งผลร้อนแรงให้ขาดสันติสุขแห่งความร่มเย็นได้ แต่เมื่อใดในจิตใจ ได้ตระหนักรู้ในกฎแห่งกรรม
ของผู้คนในสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ ดัชนีชี้วัดความสุขสงบ และความรู้จักพอเพียงตามอัตภาพ
ก็จะนำพาให้ทุกชีวิตในสังคม เรียนรู้ที่จะรู้จักให้ รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
มีเมตตาจิตต่อกัน โลกใบนี้ก็จะหมุนวงล้อแห่งกงเกวียนกำเกวียน ไปด้วยความสว่างแห่งแสงธรรมนำทาง
ไม่มืดมัวด้วยอวิชชา และอยู่เย็นเป็นสุข ตามเหตุปัจจัยอย่างผาสุกที่แท้จริง
ส่วนเจ้าของวจีกรรมตนนี้
ก็แค่สัมภเวสี โหยหาส่วนบุญ ก็เท่านั้นเอง

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น