๕ ยุวกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ถูกฆ่าไม่เหลือ! ๓ ยุวกษัตริย์กรุงรัตนโกสินทร์ เป็นมหาราช ๒ พระองค์
๕ ยุวกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ถูกฆ่าไม่เหลือ! ๓ ยุวกษัตริย์กรุงรัตนโกสินทร์ เป็นมหาราช ๒ พระองค์
เมื่อพระเจ้าอู่ทอง ปฐมกษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยาสวรรคต
ในพ.ศ.๑๙๑๒ พระราเมศวร พระราชโอรสได้ขึ้นครองราชย์ ตามราชประเพณี ขณะมีพระชนมายุ
๒๗ พรรษา แต่ครองราชย์บัลลังก์ได้ไม่ถึงปี สมเด็จพระบรมราชาธิราช หรือ ขุนหลวงพ่องั่ว
หรือขุนหลวงพะงั่ว ผู้เป็นพระเชษฐาของพระมารดา ซึ่งพระราชบิดา ส่งไปครองเมืองสุพรรณบุรี
ก็นำกำลังมากรุงศรีอยุธยา พระราเมศวรตระหนักดีว่า ไม่อาจต้านทานพระเจ้าลุงผู้เข้มแข็งได้
จึงเสด็จออกไปต้อนรับอัญเชิญเข้าพระนคร แล้วถวายราชสมบัติให้ ขุนหลวงพะงั่วก็เมตตาพระเจ้าหลาน
ให้ไปครองเมืองลพบุรี
พระราเมศวรไปบ่มความแค้นอยู่ถึง ๑๘ ปี
เมื่อขุนหลวงพะงั่วสวรรคต ในปี ๑๙๓๑ พระเจ้าทองลัน พระราชโอรส พระชนมายุ ๑๔ พรรษา ขึ้นครองราชย์เป็นยุวกษัตริย์องค์แรกของกรุงศรีอยุธยา
แต่ครองราชย์ได้เพียง ๗ วัน พระราเมศวรก็นำกำลังมาจากเมืองลพบุรี
จับพระเจ้าทองลันสำเร็จโทษ แล้วขึ้นครองราชย์เป็นครั้งที่ ๒
ต่อมา อีก ๑๔๖ ปี ใน พ.ศ.๒๐๗๗
ยุวกษัตริย์องค์ที่ ๒ ของกรุงศรีอยุธยา ก็ต้องตกเป็นเหยื่อของ การช่วงชิงอำนาจอีก
เมื่อสมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูร ซึ่งครองราชย์ได้ ๔ ปีเศษ สวรรคตด้วยไข้ทรพิษ
ขุนนางข้าราชการได้อัญเชิญ พระรัษฏาธิราช พระราชโอรสพระชนม์เพียง ๕
พรรษาขึ้นครองราชย์ เมื่อครองราชย์ได้ ๕ เดือนเศษ พระไชยราชา
พระอนุชาของสมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูร ที่เกิดจากพระสนม และไปครองเมืองพิษณุโลก
ก็ยกทัพมากรุงศรีอยุธยา จับยุวกษัตริย์ ๕ ขวบไปประหาร แล้วขึ้นครองราชย์แทน
สมเด็จพระไชยราชาธิราชครองราชย์ได้ ๑๓
ปี ก็ถูก เจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ พระมเหสีที่มีชู้ระหว่างพระราชสวามี ไปราชการทัพจนมีครรภ์
จึงลอบวางยาพิษ ก่อนที่ความแตกและตัวจะได้รับโทษ ขุนนางข้าราชการได้อัญเชิญ
พระยอดฟ้า ราชโอรสพระชนม์ ๑๑ พรรษาขึ้นครองราชย์
แต่อำนาจอยู่ในกำมือของเจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ แม้นางจะกำจัดข้าราชการ ที่เป็นปฏิปักษ์ไปมากแล้วก็ตาม
แต่ก็ยังหวาดระแวงว่า วันข้างหน้า เมื่อพระยอดฟ้าโตขึ้น อาจจะไปสมคบกับข้าราชการ ฝ่ายที่ไม่ยอมจงรักภักดี
อันเป็นภัยต่อนางและชายชู้ จึงสมคบกับขุนนางข้าราชการที่จงรักภักดีต่อนาง
ถอดพระยอดฟ้าลงจากบัลลังก์ แล้วทำพิธีราชาภิเษกขุนวรวงศาธิราช
ชายชู้ขึ้นครองราชย์แทน
นั่นก็คือจุดจบของยุวกษัตริย์องค์ที่ ๓
ถูกนำไปสำเร็จโทษ ที่วัดโคกพระยาตามระเบียบ หลังจากนั้น
กรุงศรีอยุธยาก็ว่างเว้นยุวกษัตริย์มา ๘๐ ปี จนใน พ.ศ.๒๑๗๑
จึงมียุวกษัตริย์องค์ที่ ๔ คือ สมเด็จพระเชษฐาธิราช
ทั้งนี้เมื่อพระเจ้าทรงธรรมประชวรหนัก ได้รับสั่งให้เจ้าพระยาศรีวรวงศ์
โอรสลับของสมเด็จพระเอกาทศรถ กับสาวชาวบ้านบางปะอิน ซึ่งเป็นคนสนิทเข้าเฝ้า
ทรงปรึกษาให้ยกราชสมบัติให้แก่พระเชษฐาธิราช พระราชโอรสซึ่งมีพระชนม์ ๑๔ พรรษา
แทนที่จะได้แก่พระศรีศิลป์ พระอนุราชตามราชประเพณี
เจ้าพระยาศรีวรวงศ์ก็เห็นชอบด้วย จัดทหารเข้าล้อมวังเมื่อพระเจ้าทรงธรรมสวรรคต
จึงอัญเชิญพระเชษฐาธิราชขึ้นครองราชย์ ซึ่งพระเชษฐาธิราช ก็ทรงตอบแทนพระยาศรีสุริยวงศ์
โดยโปรดเกล้าฯให้เลื่อนขึ้นเป็น พระยากลาโหมสุริยวงศ์
แต่แล้วสมเด็จพระเชษฐาธิราช ก็ไม่พ้นชะตากรรมของยุวกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา เมื่อครองราชย์ได้ปีเศษ เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ จัดงานศพมารดา ที่วัดตรงข้ามฟากแม่น้ำกับพระราชวัง เป็นธรรมดาของงานศพมารดาผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน จึงมีขุนนางข้าราชการไปร่วมกันเป็นจำนวนมาก จนแทบไม่มีใครอยู่ในพระราชวังเลย เมื่อสมเด็จพระเชษฐาธิราชออกท้องพระโรง ก็ไม่มีใครเฝ้า ยุวกษัตริย์ก็ไม่ได้ใคร่ครวญให้ถ่องแท้จึงทรงกริ้ว ซ้ำยังถูกยุยงให้ตื่นตกใจอีกว่า เจ้าพระยากลาโหมกำลังคิดกบฏ จึงรับสั่งให้ชาวป้อมล้อมวังขึ้นประจำป้อม แล้วดำรัสให้คนไปเรียก เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์เข้ามาเฝ้า
เมื่อเจ้าพระยากลาโหมฯได้ข่าวนี้
จึงร้องป่าวกับคนที่ไปร่วมงานศพว่า อุตส่าห์ยกราชสมบัติถวายก็ยังหามีความดีไม่ กลับหาว่ามาชุมนุมกันเป็นกบฏ
พวกท่านทั้งหลายที่มานี้ ก็มิต้องเป็นกบฏไปด้วยทั้งหมดหรือ ทุกอย่างจึงเข้าล็อค
เมื่อเสร็จจากงานศพมารดา แล้วก็ยกกำลังทหาร ๓,๐๐๐ เข้าบุกวัง ยุวกษัตริย์ทรงเผ่นหนี
แต่ก็ถูกตามจับมาได้ และนำไปประหารด้วยท่อนจันทน์ที่วัดโคกพระยา
เมื่อสำเร็จโทษยุวกษัตริย์ไปแล้ว
เส้นทางที่วางแผนไว้ก็เปิดโล่ง บรรดาเสนาพฤฒามาตย์ ราชปุโรหิตได้นำเครื่องราชกกุธภัณฑ์มาถวาย
แต่เจ้าพระยากลาโหมฯฉลาดกว่านั้น ตอบว่า
“เราทำการครั้งนี้
จะชิงราชสมบัติหามิได้ เพราะภัยมาถึงตัวแล้วก็จำเป็น
พระอาทิตยวงศ์ซึ่งเป็นราชบุตรพระมหากษัตริย์นั้นยังมีอยู่
ควรจะยกพระอาทิตยวงศ์ขึ้นผ่านสมบัติโดยราชประเพณีจึงจะชอบ”
ด้วยเหตุนี้ พระอาทิตยวงศ์ โอรสของพระเจ้าทรงธรรม ซึ่งมีพระชนมายุเพียง ๙ พรรษา จึงได้รับการอัญเชิญขึ้นครองราชย์ เป็นยุวกษัตริย์องค์ที่ ๕ ของกรุงศรีอยุธยา
พระยากลาโหมสุริยวงศ์ ปล่อยให้สมเด็จพระอาทิตยวงศ์
เล่นจับแพะจับแกะไปตามประสาเด็ก มีมหาดเล็กตามป้อนข้าวป้อนน้ำได้เพียง ๓๖ วัน
ขุนนางข้าราชการก็ทนดูไม่ไหว นำเครื่องราชกกุธภัณฑ์ มาถวายเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์
ขอให้เห็นแก่ประโยชน์สุขของอาณาประชาราษฎร์ และสมณชีพราหมณ์เถิด เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์จึงยอมขึ้นครองราชย์
ทรงพระนามว่าพระเจ้าปราสาททอง
พระเจ้าปราสาททอง ไม่ได้นำพระอาทิตยวงศ์ไปประหาร
ดังเช่นยุวกษัตริย์องค์อื่นๆ ยังคงให้อยู่ในพระราชวังต่อไปกับพระพี่เลี้ยง
การที่ไม่ประหารพระอาทิตยวงศ์นี้ นับว่าผิดประเพณีที่เคยทำกันมา ที่ต้องขุดหน่อถอนโคนให้สิ้นซาก
เพื่อมิได้ก่อตัวสร้างปัญหาขึ้นในภายหลัง ซึ่งจะเห็นได้จากกรณีพระอาทิตยวงศ์นี้
เมื่อถูกปลดลงจากราชบัลลังก์
พระอาทิตยวงศ์ก็วางตัวไม่ถูก วันหนึ่งทำให้พระเจ้าปราสาททองทรงกริ้วหนัก
ไล่ออกจากวัง ไปปลูกเรือนเสาไม้ไผ่สองห้องให้อยู่ข้างวัด
มีคนแค่ตักน้ำหุงข้าวให้เท่านั้น พระอาทิตยวงศ์ทนความขมขื่น จนอายุ ๑๖
ก็คบคิดกับคนหัวอกเดียวกัน ที่ถูกไล่ออกจากราชการ ๒๐๐ คนชำระแค้น
พอย่ำรุ่งประตู่วังเปิดก็ตรูกันโห่ร้องเข้าไป พระเจ้าปราสาททองตั้งหลักไม่ทัน ก็ทรงวิ่งไปลงเรือลอยลำอยู่กลางแม่น้ำ
แล้วทรงบัญชาการ ให้จับพวกพระอาทิตยวงศ์ไปประหารชีวิตทั้งหมด
ในที่สุด พระอาทิตยวงศ์ก็ไม่แคล้ว ชะตากรรมเช่นเดียวกับยุวกษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยา
เพียงแต่ตายช้ากว่า ลงจากราชบังลังก์แล้ว ยังมีโอกาสดูโลกได้อีก ๖-๗ ปี
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ก็มียุวกษัตริย์เหมือนกัน ๓ พระองค์ องค์แรกก็คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ซึ่งขึ้นครองราชย์เมื่อพระชนมายุ ๑๕ พรรษา ทั้งยังอยู่ในขณะประชวรด้วยไข้ป่า จากการตามเสด็จพระราชบิดา ไปทอดพระเนตรสุริยปราคาที่หว้ากอ เมืองประจวบคีรีขันธ์ มีเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ก่อนทรงบรรลุนิติภาวะ ทรงครองราชย์ยาวนานถึง ๔๒ ปี และทรงได้รับถวายพระราชสมัญญานามว่า “สมเด็จพระปิยมหาราช”
ยุวกษัตริย์องค์ต่อมาก็คือ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ ครองราชย์ขณะพระชนมพรรษาเพียง ๘ พรรษา และยังประทับอยู่ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มี พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นอนุวัตน์จาตุรนต์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา และเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) เป็นคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทรงครองราชย์อยู่ ๑๒ ปี และยังต้องศึกษาอยู่ในต่างประเทศ จึงทรงมีโอกาศปฏิบัติพระราชภารกิจได้น้อยมาก ก่อนที่จะเสด็จสวรรคตด้วยอุปัติวเหตุจากพระแสงปืน
ส่วนรัชกาลที่ ๙
พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงครองราชย์เมื่อพระชนมายุ
๑๙ พรรษา จึงต้องมีคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ประกอบด้วยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมขุนชัยนาทนเรนทร และพระยามานวราชเสวี และเมื่อทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว
แต่ยังต้องทรงศึกษาอยู่ในต่างประเทศ
ยังต้องแต่งตั้งกรมขุนชัยนาทฯเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อไป
จนเสด็จนิวัติประเทศไทย รับพระราชภาระว่าราชการด้วยพระองค์เอง ทรงครองราชย์ถึง ๗๐
ปี ยาวนานกว่ากษัตริย์ทุกพระองค์ในโลก พระราชกรณียกิจของพระองค์ เป็นที่แซ่ซ้องไปในนานาประเทศ
ถวายพระราชสมัญญาว่า “King of Kings”
การที่ยุวกษัตริย์ของกรุงรัตนโกสินทร์ ไม่มีชะตากรรมเช่นยุวกษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยา
ก็เนื่องจากยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป แม้ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ที่อริราชศัตรู จะมุ่งมั่นไม่ให้ไทยได้ผุดได้เกิด
แต่ความเข้มแข็งของกษัตริย์ในการรบ ก็ทรงปกป้องประเทศและความสงบสุขร่มเย็น ของอาณาประชาราษฎร์ไว้ได้
และเมื่อทรงสร้างประเทศเป็นปึกแผ่นมั่นคงขึ้นแล้ว ศัตรูจากประเทศรอบด้านหมดไป
ภัยจากตะวันตกคุกคามเข้ามา ซึ่งเราไม่สามารถจะต่อสู้ด้วยกำลังและอาวุธได้
ก็ทรงใช้วิเทโศบายนำชาติรอดปลอดภัยได้ตลอดมา
เมื่อประเทศก้าวเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย
ทรงต้องลดพระราชอำนาจมาอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ การครองราชย์ จึงไม่ใช่การครองอำนาจ
แต่ก็ยังทรงเป็นผู้นำทางจิตใจของประชาชน ให้ดำเนินไปในทิศทางที่ถูกต้อง
ทั้งในด้านการทำมาหากิน ให้เหมาะสมกับสภาพของตัวเอง การพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ ให้สะดวกสบายในด้านต่างๆ
รวมทั้งทางด้านวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมรอบตัว ฯลฯ จนยอมรับได้ว่า
ถ้าไม่มีโครงการพระราชดำริทั้งหลายแล้ว
ความผาสุกของประเทศจะเหลือน้อยกว่านี้อย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ ไม่แต่เพียงกองทัพเท่านั้น
ที่ปกป้องสถาบันกษัตริย์ เช่นเดียวกับในอดีต
ประชาชนซึ่งมีสิทธิมีเสียงในทางการเมืองมากขึ้น
และตระหนักถึงความสำคัญของระบอบกษัตริย์ ที่ทำให้ประเทศไทยเป็นเสมือนโอเอซิสแห่งความสุขจากประเทศรอบด้าน
เป็นความภูมิใจของคนไทย และเป็นที่อิจฉาของชาวโลก จึงเป็นกำลังสำคัญ ที่จะปกป้องสถาบันอันเป็นที่รักและหวงแหน
ให้คงอยู่คู่กับประเทศนี้ตลอดไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น