เจ้าหญิงแขกแก้ว ณ ลำพูน ผู้ไม่ยอมกลับคุ้มหลวง จนโดนสั่งห้ามแต่งงานใหม่


 

เจ้าหญิงแขกแก้ว ชีวิตที่เลือกได้

 

เจ้าหญิงแขกแก้ว ณ ลำพูน มีพระนามเดิมว่า เจ้าหญิงแขกแก้วมาเมือง ณ ลำพูน เป็นราชธิดาในเจ้าบุรีรัตน์ (น้อยพรหมเทพ ณ ลำพูน) เจ้าบุรีรัตน์นครลำพูน กับเจ้าสุนา ณ ลำพูน ประสูติเมื่อวันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2435 ตรงกับวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 9 เหนือ ปีมะโรง ณ คุ้มที่ประตูช้างสี ถนนรอบเมืองนอก นครลำพูน


เมื่อเจ้าหญิงแขกแก้ว อายุได้ 17 ปีบริบูรณ์ ย่างเข้า 18 ปี เจ้าน้อยพรหมเทพผู้เป็นบิดา ได้ตกลงใจเลือกคู่ครองให้ท่าน คือให้สมรสกับเจ้าบุรีรัตน์ นครลำพูน (เจ้าน้อยจักรคำ) ในขณะนั้นเป็นพ่อหม้าย เนื่องจากชายาองค์แรกของท่าน ได้ถึงแก่อนิจกรรมมา 2 ปีกว่าแล้ว เจ้าน้อยจักรคำ มีความรักใคร่ในองค์เจ้าหญิงแขกแก้วยิ่งนัก ท่านให้เกียรติ ท่านยกย่อง ท่านถนอมน้ำใจ เป็นอย่างยิ่ง ตลอดช่วงเวลา 8-9 ปี ที่ใช้ชีวิตร่วมกัน ของเจ้าหลวงจักรคำฯ กับเจ้าหญิงแขกแก้ว ท่านไม่เคยนำหม่อมคนใด เข้ามาอยู่ในคุ้มแม้แต่คนเดียว ชีวิตสมรสของเจ้าหญิงแขกแก้วในปีแรก จึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขยิ่งนัก


หนึ่งปีต่อมา คือปี พ.ศ. 2454 ท่านได้ให้กำเนิดโอรสองค์แรก คือเจ้าวรทัศน์ และในปีเดียวกันนั้นเอง เจ้าบุรีรัตน์ นครลำพูน (เจ้าน้อยจักรคำ) ก็ได้รับพระราชโองการโปรดเกล้าฯ จากรัชกาลที่ 6 แต่งตั้งให้เป็นเจ้าหลวงจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์ที่ 10 ชีวิตของเจ้าหญิงแขกแก้ว จึงพร้อมไปด้วยความสุข ชื่อเสียง เกียรติยศ ฐานะ อำนาจ วาสนา ในปลายปี พ.ศ. 2455 นี้เอง ที่ท่านได้อุปการะดูแลเจ้าน้าของท่าน คือเจ้าคำย่น (ญ) ที่นำบุตรชาย คือเจ้ากุศลวงศ์และบุตรสาว คือเจ้าส่วนบุญ กลับมาอยู่ที่ลำพูน หลังจากเจ้าน้อยพุทธวงศ์ ณ เชียงใหม่ ผู้เป็นสามี ถึงแก่อนิจกรรม เมื่อต้นปี พ.ศ. 2455 และในปี พ.ศ. 2456 ท่านได้ให้กำเนิดโอรสองค์ที่ 2 คือ เจ้ารัชเดช


เจ้าหลวงจักรคำขจรศักดิ์ มีความพึงพอใจ ในตัวเจ้าส่วนบุญ ธิดาองค์เดียวเล็กของเจ้าคำย่น (ญ) ซึ่งขณะนั้น (พ.ศ. 2456) มีอายุได้ 16 ปีบริบูรณ์ จึงออกปากขอต่อเจ้าหญิงแขกแก้ว ด้วยในเวลานั้น เจ้าส่วนบุญอยู่ในความอุปการะของเจ้าหญิงแขกแก้ว ท่านจึงยกเจ้าส่วนบุญให้เป็นชายาของเจ้าหลวงจักรคำฯ และเพื่อเป็นการตอบแทนความมีน้ำใจดีของเจ้าหญิงแขกแก้ว เจ้าหลวงจักรคำฯ จึงได้ให้คำสัญญาเกี่ยวกับการครองเรือน ระหว่างท่านกับเจ้าหญิงแขกแก้วไว้ 1 เรื่อง เจ้าส่วนบุญได้ให้กำเนิดโอรสในปี พ.ศ. 2457 คือ เจ้าพัฒนา เจ้าหญิงแขกแก้วได้ให้กำเนิดโอรสองค์ที่ 3 ในปี พ.ศ. 2458 แต่มีชีวิตอยู่เพียงไม่กี่วัน ก็ถึงแก่อนิจกรรม


ต่อมาในปี พ.ศ. 2459 ท่านได้ให้กำเนิดราชธิดา อีก 1 องค์ แต่มีชีวิตอยู่เพียงไม่กี่วัน ก็ถึงแก่อนิจกรรมอีก ไม่เพียงแค่นั้น โอรสองค์ที่ 2  คือเจ้ารัชเดช ซึ่งกำลังอยู่ในวัยน่ารัก ก็ถึงแก่อนิจกรรมในปีถัดมา เจ้าหญิงแขกแก้ว เต็มไปด้วยความโทมนัสอย่างแรงกล้า ความทุกข์ใจของท่าน อันเกิดจากกรสูญเสียโอรสและราชธิดา ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานั้น มากจนสุดจะบรรยาย และในช่วงเวลาที่ท่านโศกเศร้าเสียใจจนแทบจะตายลงไปนั้น  ก็มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นภายในคุ้มหลวง ซึ่งทำให้ท่านพบว่าเจ้าหลวงจักรคำฯ ไม่รักษาคำสัญญาที่ให้ไว้ ท่านจึงตัดสินใจกลับไปอยู่ที่คุ้มของเจ้าบุรีรัตน์ นครลำพูน (เจ้าน้อยพรหมเทพ) เมื่อท่านแจ้งความประสงค์ให้เจ้าหลวงจักรคำฯ รับทราบ ก็ได้รับการทัดทานมิให้ไป ไม่ว่าเจ้าหลวงจะพูด ท่านก็ยังยืนยันที่จะกลับไปอยู่ที่คุ้มของเจ้าบิดา เจ้าหลวงจึงห้ามนำเจ้าวรทัศน์ไปด้วย เพราะทราบดีว่าเจ้าหญิงแขกแก้วรักลูกมาก คงไม่กล้าทิ้งลูกไว้เพียงลำพัง แต่ผิดคาด เจ้าหญิงแขกแก้วกลับบอกว่า เจ้าวรทัศน์อายุ 7-8 ปีแล้ว ช่วยเหลือตัวเองได้ทุกอย่าง ไม่มีใครจะมารังแกได้ ก็ขอฝากลูกไว้ด้วย


ในวันที่เจ้าหญิงแขกแก้วออกจากคุ้มหลวงนั้น เจ้าหลวงจักรคำฯ ได้ออกปากให้เจ้าหญิงแขกแก้วนำแก้ว แหวน เงิน ทอง เครื่องประดับ ที่ท่านซื้อหาและจัดทำให้ในระหว่างครองเรือนด้วยกัน แต่เจ้าหญิงแขกแก้วปฏิเสธ ไม่เอามาแม้แต่ชิ้นเดียว เจ้าหลวงฯ ได้ออกปากให้นำขันเงิน พานเงิน พานหมากพลูบุหรี่เงิน กระบุงเงินและเครื่องใช้เงินต่างๆ ไปด้วย เพื่อจะได้มีใช้สอย ในการไปทำบุญที่วัดในวันข้างหน้า ไม่ต้องไปซื้อไปหาใหม่ แต่เจ้าหญิงแขกแก้วก็ปฏิเสธอีก ไม่ว่าเจ้าหลวงฯ จะพูดอย่างไร เจ้าหญิงแขกแก้วก็ไม่โต้ตอบ ท่านเดินออกจากคุ้มหลวงโดยมีญาติสนิท 3 คน และคนรับใช้ 1 คน ติดตามท่านไป เจ้าหลวงจักรคำฯ ได้แต่นั่งน้ำตาไหล มองเจ้าหญิงแขกแก้วออกจากคุ้มหลวงไปจนลับสายตา เหตุการณ์ในวันที่เจ้าหญิงแขกแก้วออกจากคุ้มหลวงนั้น ผู้คนที่อาศัยในคุ้มหลวงในเวลานั้นมีจำนวนมาก หลายคนเป็นญาติ หลายคนเป็นบริวาร ต่างก็ได้เห็นเหตุการณ์ และได้ยินคำโต้ตอบระหว่างเจ้าหลวงจักรคำฯ และเจ้าหญิงแขกแก้วตั้งแต่ต้นจนจบ


เมืองลำพูนในสมัยนั้น มีผู้คนไม่มากนัก บ้านเมืองสงบ การดำรงชีพของชาวเมืองเรียบง่าย ยึดมั่นในขนบธรรมเนียม ประเพณี และพระพุทธศาสนา จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเจ้าหลวงฯ กับเจ้าหญิงแขกแก้ว จึงเป็นที่โจษจัน พูดกันทั้งเมือง ถ้าเป็นสมัยนี้ก็เรียกว่า เป็น Talk of the town ได้เลย ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์คาดคะเนต่างๆ นานา แม้แต่ญาติพี่น้องของเจ้าหญิงแขกแก้ว ก็ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของท่าน ผู้คนที่รู้เรื่องนี้พูดคล้ายๆ กันในทำนองนี้ว่า การออกจากคุ้มหลวงมานี้ ก็เท่ากับทิ้งชื่อเสียง เกียรติยศ ทิ้งอำนาจ วาสนา และความสุขสบาย ตลอดจนฐานะที่มั่งคั่ง กลับมาเป็นเจ้าหญิงจนๆ ที่ไม่มีนา ไม่มีสวน ไม่มีคนนับหน้าถือตา แล้วจะอยู่ได้อย่างไร


เจ้าหลวงฯ ให้เอาอะไรมา ก็ไม่เอามาสักอย่าง แล้วต่อไปจะไปทำมาหากินอะไรกัน เจ้าหญิงแขกแก้วไม่ตอบคำถามของใครสักคน ท่านไม่พูดเรื่องนี้กับผู้ใดเลย ท่านเล่าให้เจ้าน้อยพรหมเทพผู้เป็นบิดาแต่เพียงผู้เดียว ถึงเหตุผลที่ท่านตัดสินใจกลับมาบ้าน


เจ้าหลวงจักรคำฯ ไม่ละความพยายาม ที่จะให้เจ้าหญิงแขกแก้วกลับไปอยู่ที่คุ้มหลวงอีก ท่านไหว้วานขอร้องญาติผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิด สนิทสนม และเป็นผู้ที่เจ้าน้อยพรหมเทพเคารพนับถือหรือเกรงใจ เป็นผู้ประสานรอยร้าว และให้เกลี้ยกล่อมชักจูงด้วยเหตุผลนานาประการ ให้เจ้าหญิงแขกแก้วกลับมาอยู่ที่คุ้มหลวงดังเดิม มีทั้งญาติผู้ใหญ่ที่ใช้นามสกุล ณ ลำพูน ณ เชียงใหม่ ชนัญชยานนท์ ลังกาพินธุ์ ถึง 3 ครั้ง 3 หน แต่เจ้าหญิงแขกแก้วก็ไม่กลับไป ญาติผู้ใหญ่เหล่านั้น ต่างก็เกรงจะได้รับคำตำหนิจากเจ้าหลวงจักรคำฯ จึงไปเกลี้ยกล่อม และขอร้องเจ้าน้อยพรหมเทพอีกต่อหนึ่ง แต่เจ้าน้อยพรหมเทพบอกว่า ท่านไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องของลูก ขอให้เจ้าหญิงแขกแก้วตัดสินใจเอง จากคำบอกเล่าที่ได้รับทราบมาว่า เจ้าหญิงแขกแก้วในช่วงเวลานั้น อายุเพียง 26-27 ปีเท่านั้น ยังคงงดงามอยู่ ที่สำคัญท่านเป็นสตรีที่มีความรู้ มีความคิดสร้างสรรค์ ได้รับการอบรมมาอย่างดี ท่านจึงเป็นสตรีที่มีคุณค่า และยังเป็นที่หมายปองของชายที่มีฐานันดรศักดิ์ทั้งหลาย


ในที่สุดเจ้าหลวงจักรคำฯ ตัดสินใจไปง้องอนเจ้าหญิงแขกแก้วด้วยตัวท่านเอง ที่คุ้มเจ้าบุรีรัตน์ (เจ้าน้อยพรหมเทพ) เจ้าหลวงจักรคำฯ ได้พูดคุยกับเจ้าหญิงแขกแก้วตามลำพัง พูดกันอย่างไร ไม่มีใครได้ยิน ในช่วงแรก หลายคนในคุ้มเจ้าบุรีรัตน์ (เจ้าน้อยพรหมเทพ) ได้ยินในช่วงสุดท้าย คนที่ได้ยินเล่าว่า เสียงของเจ้าหลวงฯ ดังลั่นบ้าน น้ำเสียงโกรธมาก เจ้าหลวงฯ พูดว่า เมื่อมารับกลับบ้านก็ยังไม่ยอมกลับ ก็ตามใจ อย่าหวังนะว่าจะได้แต่งงานใหม่ หากมีใครมาสู่ขอแต่งงาน จะขัดขวางจนถึงที่สุด แล้วเจ้าหลวงจักรคำฯ ก็เดินปึงปังจากเรือนไป 2-3 สัปดาห์ต่อมาเจ้าหลวงฯ ได้ไปหาเจ้าบุรีรัตน์ยังที่ทำงาน ท่านได้พูดจากับเจ้าบุรีรัตน์เป็นเวลานาน เจ้าบุรีรัตน์ได้เล่าให้ญาติสนิทท่านหนึ่งในภายหลังว่า เจ้าหลวงฯ ขอให้ท่านช่วยพูดหรือสั่งให้เจ้าหญิงฯ ให้กลับไปที่คุ้มหลวง หากเจ้าบุรีรัตน์สั่งให้กลับ เจ้าหญิงฯ ต้องกลับไปคุ้มหลวงแน่นอน เจ้าบุรีรัตน์ได้บอกให้เจ้าหลวงฯ พูดกับเจ้าหญิงแขกแก้วด้วยตนเอง เพราะเป็นเรื่องในครอบครัว แล้วแต่เจ้าหญิงแขกแก้วตัดสินใจ เจ้าหลวงจักรคำฯ ผิดหวังถึงกับน้ำตาไหลต่อหน้าเจ้าบุรีรัตน์


เจ้าหญิงแขกแก้วเป็นสตรีที่มีการศึกษา มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีความเชื่อมั่นในตนเองอย่างมาก และเป็นคนที่รักษาคำพูดอย่างยิ่ง ท่านมีจิตใจเข้มแข็ง หนักแน่น ไม่หวั่นไหวต่อสังคมรอบข้าง ท่านปฏิเสธที่จะเป็นนกน้อยในกรงทอง ท่านเลือกที่จะดำเนินชีวิตอย่างอิสระ ตามที่ใจท่านปรารถนา ซึ่งมิใช่วิถีชีวิตและ มิใช่วิธีคิดของสตรีล้านนาในยุคสมัยนั้น สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แน่นอน ท่านต้องมีความกล้าหาญ มีความเข้มแข็ง และมีความอดทนอดกลั้นอย่างมาก ในการที่จะดำรงชีวิตอยู่โดยลำพัง ท่ามกลางเสียงครหานินทา ในสังคมที่มีผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า สังคมที่ผู้ชายมีอภิสิทธิ์เหนือผู้หญิงในทุกๆ เรื่อง นั่นคือสังคมของคนไทยล้านนาใน พ.ศ. 2461


เจ้าหญิงแขกแก้ว ถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคชราเมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2513 ตรงกับวันศุกร์ แรม 3 ค่ำ เดือน 12 เหนือ เวลา 20.50 น. ที่โรงพยาบาลลำพูน รวมสิริอายุได้ 78 ปี 2 เดือน



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ดินแดนล้านนา เมืองเชียงใหม่

บอกใจไว้รอเจ็บ แท้งก่อนเกิด หลังพับเก็บความคิดฝันเข้าแฟ้มไปแล้ว

ศาลาการเปรียญไม้ทรงโบราณ ที่อำเภอเสาไห้