เจ้านางสุคันธา ณ เชียงใหม่ สายใยรักสองราชสำนัก เชียงใหม่-เชียงตุง “รุ่นสุดท้าย”
“เจ้านางคนสุดท้ายแห่งสองราชสำนักเชียงใหม่-เชียงตุง”
1. ความสัมพันธ์ระหว่างเชียงตุงกับเชียงใหม่
ในสมัยราชวงศ์มังราย เชียงใหม่มีความสัมพันธ์กับเชียงตุงมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์มังราย
โดยตำนานเมืองเชียงตุงกล่าวว่า พญามังรายเป็นผู้สร้างเมืองเชียงตุงเมื่อ พ.ศ. 1810
ตำนานระบุว่า เดิมเมืองเชียงตุง เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชุมชนชาวลัวะมาก่อน
ต่อมาพญามังรายได้ขยายอาณาเขต “ครุบชิงเอาเมืองทัมมิละมาเป็นเมืองขึ้นแห่งตน” ในระยะแรกได้ให้มังคุมและมังเคียน
ซึ่งเป็นลัวะไปครองเมือง ต่อมา โปรดให้เจ้าน้ำท่วมซึ่งเป็นหลาน
(พงศาวดารเชียงตุงว่าเป็นลูก) ครองเชียงตุง
ในสมัยพญาไชยสงคราม (พ.ศ. 1854-1868) ได้ส่งราชบุตร
คือเจ้าน้ำน่าน ไปครองเมืองเชียงตุง โทษฐาน “บ่ซื่อต่อกูผู้เป็นพ่อ” ครั้นสมัยพญาแสนพู
(พ.ศ. 1868-1877) และสมัยพญาคำฟู (พ.ศ. 1877-1879) ได้ส่งขุนนางมาครองเชียงตุง
ต่อมา ในสมัยพญาผายู ได้ส่งราชบุตร คือเจ้าเจ็ดพันตู
เชี้อสายราชวงศ์มังรายไปปกครองเชียงตุง ในสมัยเจ้าเจ็ดพันตูครองเชียงตุง
เชียงตุงเจริญรุ่งเรือง ทั้งทางด้านอาณาจักรและพุทธจักร โดยในปี พ.ศ. 1882
พญาผายู (พ.ศ. 1879-1877) ได้ส่งพระเถระจากเชียงใหม่ขึ้นไปเชียงตุง
เพื่อเผยแผ่พุทธศาสนา หนยางกวง พระเถระหงส์ ได้สร้างวัดขึ้นในที่ป่าช้านอกเวียง
ให้ชื่อว่าวัดราชฐานหลวง ซึ่งต่อมาชาวเชียงตุงได้เรียกว่า วัดยางกวง
ในสมัยพญากือนา (พ.ศ. 1898-1928) พุทธศาสนาในเชียงใหม่
ได้เจริญรุ่งเรืองมาก ทรงนิมนต์พระมหาสมุนเถรจากสุโขทัย มาเผยแผ่ศาสนาลังกาวงศ์ที่เชียงใหม่
มีศูนย์กลางที่วัดสวนดอก ต่อมาจึงเรียกนิกายสวนดอก พญากือนา ทรงสนับสนุนให้พระภิกษุจากเชียงแสนเชียงตุง
มาศึกษาพุทธศาสนานิกายสวนดอก ที่วัดสวนดอก ทำให้เชียงตุง ได้รับอิทธิพลทางพุทธศาสนาจากเชียงใหม่
โดยวัดในเชียงตุงรุ่นแรก เช่นวัดยางกวง เป็นนิกายสวนดอกเชียงใหม่
ต่อมา ในสมัยพญาสามฝั่งแกน
พระมหาญาณคัมภีร์ ได้นำพุทธศาสนาจากลังกามาเชียงใหม่เรียกว่า “ลังกาวงศ์ใหม่” มีศูนย์กลางที่วัดป่าแดง
จึงเรียก “นิกายป่าแดง” ต่อมานิกายป่าแดง ได้แพร่หลายออกจากเชียงใหม่
ไปทั่วล้านนาถึงเชียงตุง ซึ่งใน พ.ศ. 1989 พระยาสิริธัมมจุฬา เจ้าเมืองเชียงตุง ได้สร้างวัดป่าแดงถวาย
เป็นวัดฝ่ายอรัญวาสี
ความสัมพันธ์ระหว่างเชียงตุงและเชียงใหม่
ได้ดำเนินอย่างดีสืบมา จนกระทั่งล้านนา ตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่า เป็นระยะเวลา
200 ปีเศษ เชียงตุง รัฐชายขอบของล้านนา จึงต้องขึ้นต่อพม่าด้วย จนใน
พ.ศ. 2317 พญาจ่าบ้าน (บุญมา) และเจ้ากาวิละ ได้ร่วมกับกองทัพกรุงธนบุรี
ขับไล่พม่าออกจากเมืองเชียงใหม่ได้สำเร็จ
เชียงใหม่จึงมีฐานะเป็นเมืองประเทศราชของสยาม ตั้งแต่นั้นมา ความขัดแย้งระหว่างสยามและพม่า
ได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเชียงใหม่และเชียงตุง เริ่มเปลี่ยนไป
นำไปสู่สงครามเชียงตุง ในสมัยรัตนโกสินทร์หลายครั้ง
2. การอพยพชุมชนไทเขินจากเชียงตุงมาสู่เชียงใหม่ ในสมัยพระเจ้ากาวิละครองเชียงใหม่
ตั้งแต่ พ.ศ. 2325 นั้น ภารกิจสำคัญคือ การขับไล่พม่า ที่ยังอยู่เชียงแสนออกจากดินแดนล้านนา
และเร่งฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่ โดยรวบรวมกำลังคน ที่อพยพหนีภัยสงครามไปอยู่ตามป่าเขา
และจากเมืองต่างๆ เข้ามาไว้ในเมืองเชียงใหม่ ทรงใช้วิธีการเกลี้ยกล่อม และส่งกองกำลังเข้าตีเมืองต่างๆ
หลายครั้ง เช่นในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2341-2344 มีการ “เทครัว” คนจากแถบแม่น้ำคง (สาละวิน) เช่น
เมืองปุ บ้านงัวลาย บ้านสะต๋อย บ้านวังลุง วังกาด สร้อยไร ท่าช้าง บ้านนาฯ
มาไว้ที่เชียงใหม่ และใน พ.ศ. 2345
สามารถตีเมืองสาดและเมืองเชียงตุงได้สำเร็จ
ในปี 2347 กองทัพเชียงใหม่ร่วมกับกองทัพสยาม ตีเชียงแสนได้สำเร็จ
มีการ “เทครัว”
คนไทยวนจากเชียงแสนไปไว้ที่ต่างๆ เช่น 1. บ้านฮ่อมในเชียงใหม่
2. อำเภอคูบัว จังหวัดราชบุรี 3.
อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี ฯลฯ
จากนั้น พระเจ้ากาวิละ ได้มอบหมายให้ท้าวแก่นคำ นำกองกำลังขึ้นไปเชียงตุง เกลี้ยกล่อมให้เจ้าเมืองเชียงตุงขณะนั้นคือ
เจ้ามหาสิริชัยสารัมพยะ ยอมสวามิภักดิ์
ซึ่งเจ้าเมืองเชียงตุงยินยอมและพร้อมนำเจ้านาย ขุนนาง และชาวเขินจากเชียงตุง มาอยู่ในเชียงใหม่
ครั้งนั้น พระเจ้ากาวิละ โปรดให้เจ้านายไทเขิน
ขุนนางและกลุ่มช่างมีฝีมืออยู่พื้นที่ระหว่างกำแพงชั้นในและชั้นนอก รอบวัดนันทาราม
วัดดาวดึงษ์ วัดธาตุคำ วัดเมืองมาง วัดศรีสุพรรณ ส่วนกลุ่มคนที่เป็นเกษตรกร ได้อยู่รอบนอกเวียง
เช่น ที่วัดป่างิ้ว วัดสันต้นแหน วัดสันข้าวแคบ วัดสันกลาง วัดสันก้างปลา
ในเขตอำเภอสันกำแพง และแถบอำเภอดอยสะเก็ด ที่วัดป่าป้อง เป็นชุมชนไทเขินสืบมาถึงปัจจุบัน
3. สายสัมพันธ์รักเชียงตุง-เชียงใหม่-ลำปาง เจ้าฟ้าเชียงตุง
ที่มาอยู่ในเชียงใหม่เมื่อ พ.ศ. 2347 เป็นลูกๆ ของเจ้าฟ้าชายสาม เจ้าหอคำเชียงตุง
(พ.ศ. 2203-2309 และ พ.ศ. 2312-2329)
มี 8 คนคือ 1. เจ้ากระหม่อมต้นสกุลพรหมศรี 2. เจ้าแสนเมือง
3. เจ้าฟ้ามหาศิริชัยสารัมพยะ หรือเจ้าฟ้ากองไท 4. เจ้าเมืองเหล็ก
(เจ้าดวงทิพย์) 5. เจ้ามหาขนาน (เจ้าดวงแสน) 6. เจ้ามหาพรหม
(สมรสกับเจ้าศรีแก้ว ธิดาของเจ้าบุรีรัตน์ (น้อยกาวิละ) อนุชาของเจ้าพุทธวงศ์ เจ้าหลวงเชียงใหม่
เป็นต้นสกุลสิโรรสและกาวิละเวส 7. เจ้านางศรีแก้ว 8. เจ้านางคำแดง
เจ้าฟ้าก้อนแก้วอินทรแถลง
เจ้าฟ้าผู้ครองนครเชียงตุง ผู้ที่รัฐบาลอังกฤษยกย่อง
โอรสและธิดาล้วนแต่มีความสามารถและรอบรู้มาก ในบรรดาพี่น้องดังกล่าวมีเจ้ามหาขนาน
(เจ้าดวงแสง) คนเดียว ที่ไม่ยอมมาเชียงใหม่ ขอต่อสู้กับพม่าโดยมีฐานที่เมืองหลวย
เมืองยาง ต่อมา พม่าให้ท้าวคำวัง คนของเจ้ามหาขนานเกลี้ยกล่อมสำเร็จ
และยกเจ้ามหาขนานเป็นเจ้าเมืองเชียงตุง เรียกว่า เจ้าฟ้าหลวงเขมรัฐ มหาสิงหะบวรสุธรรมราชาธิราช
ซึ่งผู้สืบสายทายาทในสายนี้คนหนึ่ง คือเจ้านางสุคันธา ณ เชียงใหม่
กล่าวถึงเจ้ามหาขนาน (เจ้าดวงแสง)
ผู้เป็นเจ้าหอคำเชียงตุงมีบุตร 7 คน ลูกคนที่ 7
ชื่อเจ้าฟ้าโชติกองไท (เกิดจากเทวีเชียงแขงจึงเป็นเจ้าฟ้าเชียงแขง)
ได้ครองเชียงตุงสืบต่อจากพี่ชายคนโต คือเจ้าหนานมหาพรหม
เจ้าฟ้าโชติกองไทมีลูก 6 คน
ลูกคนที่ 4 คือเจ้าฟ้าก๋องคำฟู ได้เป็นเจ้าหอคำเชียงตุง สมัยอังกฤษเข้ามาปกครองพม่า
ครองเชียงตุงได้ 9 ปีก็พิราลัย ลูกคนที่ 5
ของเจ้าฟ้าโชติกองไท คือ เจ้าฟ้าก้อนแก้วอินทรแถลง ขึ้นเป็นเจ้าหอคำเชียงตุงสืบแทน
เจ้าฟ้าก้อนแก้วอินทรแถลงมีชายา 6 คน
มีลูกรวม 19 คน ในจำนวนนี้มี 3
คนมีสายสัมพันธ์รักกับคนในล้านนา คือ
1. ลูกชายคนหนึ่งที่เกิดจาก
“เจ้าแม่เมือง” (อัครมเหสี) แม่เจ้าปทุมมหาเทวี
(ธิดาเจ้าเมืองสิง) (คนเชียงตุงเรียกเจ้าแม่เมือง มีอำนาจมาก) คือเจ้าฟ้าพรหมลือ
ต่อมาได้มีสายสัมพันธ์รักกับเจ้าทิพวรรณ ณ เชียงตุง (พ.ศ. 2446-2532) หลานสาวของเจ้าบุญวาทย์วงศ์มานิต
เจ้าหลวงลำปางองค์ที่ 13 (มารดาคือเจ้าหญิงฝนห่าแก้ว เป็นธิดาเจ้าหลวงลำปาง)
เจ้าฟ้าพรหมลือ เป็นเจ้านายชั้นสูงของเชียงตุง
ที่สามารถกางสัปทนและนั่งเสลี่ยงได้ ซึ่งมีเพียง 3 พระองค์คือ
1. เจ้าฟ้าก้อนแก้วอินทรแถลง
เจ้าหอคำ 2. เจ้าฟ้ากองไท (รัชทายาท) 3. เจ้าฟ้าพรหมลือ
(โอรสเจ้าแม่เมือง) เจ้านายคนอื่นใช้ได้แค่ “จ้องคำ” (ร่มทอง)
ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
รัฐบาลสยามได้เชียงตุงจัดตั้งเป็นสหรัฐไทยเดิม ร.8 โปรดเกล้าฯ สถาปนาเจ้าพรหมลือ เป็นเจ้าฟ้าสิริสุวรรณราชยศสรพรหมลือ
ครองสหรัฐไทยเดิม แต่เมื่อสิ้นสงครามรัฐบาลสยาม ต้องมอบเชียงตุงคืนสหประชาชาติ
เจ้าฟ้าพรหมลือ ต้องพาครอบครัวเข้าไทย พำนักที่กลางเวียงเชียงใหม่จนพิราลัยใน พ.ศ.
2498 (ปัจจุบันคือที่ตั้งศาลาธนารักษ์ของกรมธนารักษ์)
2. ลูกชายคนหนึ่งที่เกิดจาก
“นางฟ้า” เจ้านางจามฟองคือ เจ้าขุนศึก
ต่อมาได้สมรสกับนางสาวธาดา พัฒนถาบุตร ธิดาของแม่บัวจันทร์และนายดาบแดง พัฒนถาบุตร
(2430-2523) คหบดีบ้านวัวลาย เชียงใหม่
3. ธิดาคนหนึ่งที่เกิดจาก
“นางฟ้า” เจ้านางทิพย์หลวง หรือเจ้านางบัวทิพย์หลวง
คือ เจ้านางสุคันธา ต่อมาได้สมรสกับ เจ้าอินทนนท์ ณ เชียงใหม่
ราชบุตรของพลตรีเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าหลวงเชียงใหม่องค์ที่ 9
4. เจ้านางคนสุดท้าย
แห่งราชสำนักเชียงใหม่-เชียงตุง เจ้านางสุคันธาพระธิดาแห่งเจ้าฟ้าก้อนแก้วอินทรแถลง
เจ้าหอคำเชียงตุง กับเจ้านางทิพย์หลวงหรือเจ้านางบัวทิพย์หลวง เกิดเมื่อ พ.ศ. 2453
ในหอหลวงเมืองเชียงตุง เจ้านางเรียกเจ้าพ่อว่า “ฟ้าหม่อม” มีพี่น้องร่วมมารดา
5 คนคือ 1. เจ้านางแว่นแก้ว 2. เจ้านางสุคันธา
3. เจ้านางแว่นทิพ 4. เจ้าสิงห์ไชย 5. เจ้าแก้วเมืองมา
ได้เสกสมรสกับเจ้าชายแห่งราชสำนักเชียงใหม่ คือเจ้าอินทนนท์ ณ เชียงใหม่
ราชบุตรพลตรีเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าหลวงเชียงใหม่ ณ หอคำเชียงตุง โดยมีเจ้าฟ้าก้อนแก้วอินทรแถลงเจ้าหอคำ
เจ้านางปทุมมหาเทวีเป็นเจ้าภาพเมื่อ พ.ศ. 2476 มีร้อยเอกโรแบรด์
ข้าหลวงอังกฤษผู้กำกับราชการนครเชียงตุง ร่วมเป็นเกียรติในงานมงคลสมรส
เจ้านางสุคันธาและเจ้าอินทนนท์ ณ
เชียงใหม่ จึงเป็นสายใยแห่งความรัก ของราชสำนักเชียงใหม่-เชียงตุงรุ่นลูก “เจ้าหลวง” สองราชสำนักรุ่นสุดท้าย
และบัดนี้ เจ้านางคนสุดท้ายแห่งราชสำนักเชียงใหม่-เชียงตุง ก็ได้คืนสู่สวรรคาลัย
นับเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ล้านนาคนหนึ่ง ที่ชาวล้านนาเพิ่งรู้จักและให้การเคารพ
โดยเฉพาะชาวเขินในล้านา เพิ่งรับรู้ว่า เจ้านางสุคันธา ณ เชียงใหม่
คือเจ้านางแห่งนครเชียงตุง ขัตติยนารีของชาวเขิน ที่มีสายสัมพันธ์รักกับเจ้าชายแห่งราชสำนักเชียงใหม่
ดำรงชีวิตอย่างเรียบง่ายในนครเชียงใหม่ตราบสิ้นลมหายใจ
อย่างไรก็ดี
ก่อนเจ้านางสุคันธาจะสิ้นลมหายใจ ทายาทคนหนึ่ง ของเจ้านางสุคันธาและเจ้าอินทนนท์ ณ
เชียงใหม่ คือเจ้าวิไลวรรณ ณ เชียงใหม่ ได้พบกับลูกหลานไทเขินบ้านนันทาราม เมื่อ 27
ธันวาคม 2545 เพื่อแนะนำการแต่งกายแบบไทเขิน และเป็นประธานเปิดนิทรรศการ
“กาดคัวฮักคัวหาง คัวเงิน” ที่วัดนันทาราม เมื่อ 3
มกราคม 2546 ทำให้สายสัมพันธ์ระหว่างลูกหลานไทเขิน ที่บรรพบุรุษได้มาอยู่ในเชียงใหม่
แน่นแฟ้นขึ้นอีกวาระหนึ่ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น