เจ้าจอมมารดาวาด นางละครสู่สนมในร.4 หัวโจกดังในวัง ผู้ “ให้ยกพวกตีบริวารเจ้าจอมอื่น”
เจ้าจอมมารดาวาด นางละครสู่สนมในร.4 หัวโจกดังในวัง ผู้ “ให้ยกพวกตีบริวารเจ้าจอมอื่น”
ราชสำนักไทย มีนางในผู้มากความสามารถคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทำอาหาร บริหารจัดการ ศิลปะการแสดง และการละคร ซึ่งหากพูดถึงฝ่ายในที่เก่งกาจเรื่องการละครแล้ว ย่อมไม่พ้นชื่อ เจ้าจอมมารดาวาดในรัชกาลที่ 4 ซึ่งเป็นนางละครหลวง และได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นพระสนม ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าจอมมารดาวาดได้เป็นท้าววรจันทร์ และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่น โดยเฉพาะเรื่องความเป็น “หัวโจก”
เจ้าจอมมารดาวาด ในรัชกาลที่ 4 ได้รับฝึกสอนด้านการละครตั้งแต่เด็ก และได้เป็นที่ท้าววรจันทร์ในสมัยรัชกาลที่ 4 ท่านมีนามเดิมว่า “แมว” เกิดเมื่อพ.ศ. 2384 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สกุลของท่าน สืบเชื้อสายมาตั้งแต่พระยาอภัยพิพิธ (สุ่น) ซึ่งรับราชการในกรมท่าในสมัยรัชกาลที่ 1
เจ้าจอมมาราดาวาดเป็นธิดาของนายสมบุญ มหาดเล็ก มารดาท่านชื่อถ้วย รับราชการฝ่ายใน นายสมบุญ บิดาของท่านเสียชีวิตตั้งแต่ท่านยังเด็ก เจ้าจอมนาคในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งเป็นป้า กลายเป็นผู้เลี้ยงดูท่าน และฝึกสอนละครให้ ร่วมกับครูการละครอีกหลายท่าน อาทิ เจ้าจอมมารดาแย้ม ในรัชกาลที่ 3 (สมัยนั้นเล่นเป็นตัวอิเหนา)
หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัวขึ้นครองราชย์ เจ้าจอมนาค จึงนำท่านเข้าถวายตัว แด่สมเด็จพระนางโสมนัสวัฒนาวดี เมื่อครั้งเจ้าจอมนาค ถวายบังคมขอลาออกจากราชการ ได้ขอตัวท่านออกมาด้วย แต่เมื่อสมเด็จพระนางโสมนัสวัฒนาวดี ทรงฝึกหัดข้าหลวงรำละครถวายรัชกาลที่ 4 เมื่อพระองค์เสด็จลงเสวยที่พระตำหนัก พระองค์ขอท่านจากเจ้าจอมนาคมาฝึก เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัวทอดพระเนตรละครก็จำท่านได้
เมื่อพ.ศ. 2395 สมเด็จพระนางโสมนัสวัฒนาวดีเสด็จสวรรคต เจ้าจอมมารดานาคขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ท้าววรจันทร์ (แมว) ซึ่งช่วงเวลานั้นยังอายุเพียง 11 ปีออกจากราชการ โดยอ้างว่าถวายตัวพระองค์สมเด็จพระนางโสมนัสวัฒนาวดีเท่านั้น แต่ออกมาไม่นาน รัชกาลที่ 4 ทรงโปรดให้กรมวังและตำรวจหลวง รับตัวท้าววรจันทร์กลับมารับราชการละครหลวง ท่านได้รับบทเป็นพระเอก พระรองในช่วงแรก กระทั่งช่วงหนึ่งที่ขาดตัวพระเอก จึงได้รับโอกาสเป็นพระเอกตั้งแต่นั้นมาตลอดรัชกาล
ท่านเป็นพระเอกที่รำสวยและสง่า แบบ “ไม่มีที่เปรียบได้” เล่นละครเป็นพระเอกทั้งตัวอิเหนา พระราม และบางครั้งก็เป็นเทวดา หลังจากนั้นท่านถวายตัวเป็นบาทบริจาริกาในรัชกาลที่ 4 ซึ่งนางละครก็ยังเป็นหน้าที่ของเจ้าจอม และได้ถวายรับใช้มาตลอด โดยได้เล่นและรำได้สง่างามหลายครั้ง จนเป็นที่เลื่องลือ นอกเหนือจากงานละครแล้ว หน้าที่ของบาทบริจาริกา ทำให้ท่านได้โดยเสด็จพระราชดำเนิน ไปหัวเมืองต่างๆ ด้วยบ่อยครั้ง
รัชกาลที่ 4 สวรรคตในพ.ศ. 2411 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ครองราชย์ และบรรลุพระราชนิติภาวะ บริหารราชการแผ่นดินด้วยพระองค์เอง ในพ.ศ. 2429 พระองค์ทรงเห็นว่า ราชการฝ่ายในขาดผู้บังคับบัญชาสิทธิขาด ท้าววรจันทร (มาลัย) อายุมาก ท้าวนางรองลงมาก็ไม่สามารถสั่งการเฉียบขาดได้ ทรงทาบทามเจ้าจอมมารดาวาดให้มารับราชการในวังอีกครั้ง แม้เจ้าจอมจะบ่ายเบี่ยง แต่พระองค์ทรงแนะนำว่า สามารถกราบบังคมทูลถามได้ทุกอย่าง และจะทรงสอนให้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตรเป็นท้าววรจันทร์ บรมธรรมิก ภักดีนารีวรคณานุรักษา บังคับบัญชาราชการในพระบรมมหาราชวัง
การบริหารงานฝ่ายหน้า และฝ่ายในในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ จนถึงรัชกาลที่ 5 จะแยกออกจากกัน พระบรมวงศานุวงศ์ พระสนม และข้าราชการฝ่ายใน มักมีบริวารกันจำนวนมาก ทำให้พระบรมมหาราชวังกลายเป็นที่ประชุมประกวดการ สมาคมฝ่ายหญิงไม่ด้อยหย่อนไปกว่านอกวัง
มีเรื่องเล่าจากพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร พระโอรสในพันเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาดา ซึ่งเป็นหลานย่าของท้าววรจันทร (เจ้าจอมมารดาวาด) เสด็จไปประทับร่วมกับท่านในพระบรมมหาราชวัง เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ ทรงนิพนธ์เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของท้าววรจันทร์ มีเนื้อหาส่วนหนึ่งว่า
“นิสัยคุณย่า เป็นคนที่ภาษาสามัญใช้ว่าหัวโจก มีอัธยาศัยเฉียบขาดรุนแรง แต่ระคนด้วยเมตตากรุณา พยายามคุ้มครองรักษาผู้น้อยใต้บังคับบัญชา ไม่ว่าในราชการหรือครอบครัว ในระหว่างที่เป็นเจ้าจอมในรัชกาลที่ 5 เป็นคนกว้างขวาง มีบริวารมากอันนิสัยเช่นนี้ ในทางดีย่อมเห็นกันอยู่แล้ว แต่ ทางร้ายของการมีบริวารมากนั้นก็ใช่ว่าไม่มี
ท่านเคยเล่าว่า ท่านได้ให้ยกพวกบ่าวไพร่ เพื่อนฝูง ไปตีกันกับบริวารของเจ้าจอมอื่น ๆ ก็มี มาถึงตอนรัชกาลที่ 5 ที่เข้าไปเป็นท้าววรจันทรนิสสัยหัวโจกดูเหมือนจะช่วยท่านได้มาก ด้วยนิสสัยเช่นนี้ ช่วยให้ท่านรู้เท่าถึงนัยของหัวโจกต่าง ๆ ที่ได้ตั้งตัวขึ้นในพระบรมมหาราชวังในครั้งนั้น ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้แสดงพระราชประสงค์ให้ท่านเข้าไปปราบปรามนั้น ท่านจึงได้ทําการปกครองได้สําเร็จ
ถึงแม้จะไม่ได้รับความนิยมรักใคร่ของทุกคนก็ได้รับความไว้วางใจและความเคารพเกรงใจของคนทุกชั้นที่อยู่ในพระบรมมหาราชวัง ถึงแม้ท่านจะเป็นคนใจเร็วและทําอะไรทําโดยด่วน ลงมือเร็วสําเร็จเร็วก็จริง แต่ท่านไม่ใคร่ทําอะไร ๆ นอกจากท่านจะได้ตรองอะไรเห็นดีเห็นชอบแล้วด้วยตนเองจริง ๆ
การสิ่งใด ๆ ที่คนนั้นคนนี้มาแนะนําตักเตือนว่าควรทําอย่างนั้นควรทําอย่างนี้ถ้าท่านมิได้เห็นจริงตามแล้วก็ยากที่ท่านจะอนุโลมเพียงโดยเหตุว่าใคร ๆ เขาว่าดีว่าถูก เหตุฉะนี้จึงเกิดข้อครหาขึ้นเนือง ๆ ว่าท่านเป็นคนดื้อ แม้ในราชการบางคราวก็เคยมีผู้กราบบังคมทูลกล่าวโทษท่านรุนแรงว่ายาก…โดยเหตุแห่งนิสัยอันรุนแรงเช่นนี้ในชั้นต้น ท่านจึงต้องปะทะกับคนต่าง ๆ ทุกชั้น แต่ในที่สุด เมื่อทรงรู้จักนิสสัยท่านดีขึ้น ก็กลายเป็นพระเมตตาทุกพระองค์ โดยเฉพาะสมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ และสมเด็จพระพันวัสสาเจ้า…”
สำหรับการกล่าวโทษดังเนื้อหาข้างต้นนั้น เล็ก พงษ์สมัครไทย อธิบายว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเข้าพระทัยในการปฏิบัติหน้าที่ของท้าววรจันทร์ เมื่อมีพระบรมวงศ์ฝ่ายในกราบบังคมทูลกล่าวโทษท้าววรจันทร์ พระองค์มีพระราชดำรัสว่า
“เรื่องท้าววรจันทรนั้นฉันขอเสียที รู้อยู่แล้วว่าไฟ ก็อย่าได้เอามือเข้าไปจี้ เขาไม่ได้เดินเหินหรือขอเข้ามา ฉันเอาเขาเข้ามาเอง”
ไม่เพียงแต่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเท่านั้น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงเมตตาท้าววรจันทร์ด้วย เนื่องจากทรงคุ้นเคยกับท้าววรจันทร์มาแต่ทรงพระเยาว์ ในสมัยรัชกาลที่ 6 การงานในพระบรมมหาราชวังไม่ใคร่มากมายเหมือนก่อน เนื่องจากรัชกาลที่ 6 ประทับพระราชวังอื่น ไม่ได้ประทับในพระบรมมหาราชวัง ในช่วงที่รัชกาลที่ 6 สวรรคตในพ.ศ. 2468 ท้าววรจันทร์ยังรับราชการอยู่ แม้จะอยู่ในวัย 84 ปีแล้วก็ตาม
เมื่อสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเมตตาท้าววรจันทร์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ชั้นที่ 2 เมื่อครั้งท้าววรจันทร์ทำบุญฉลองอายุครบ 90 ปี ท้าววรจันทร์ ถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคชรา ในพ.ศ. 2482 ขณะอายุ 98 ปี
ท้าววรจันทร์ ประสูติพระราชโอรสเพียงพระองค์เดียว โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระนามว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าโสณบัณฑิต เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 61 ในรัชกาลที่ 4 แต่ในต้นรัชกาลที่ 6 พระโอรสพระองค์นี้ (ภายหลังคือ นายพันเอก พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาดา) สิ้นพระชนม์เมื่อพ.ศ. 2456
นายพันเอก พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาดา มีพระโอรสและพระธิดา ประสูติแต่หม่อมเอม 13 พระองค์ โอรสพระองค์ที่ 2 คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัต กรมหมื่นพิทยลาภพพฤฒิยากร เป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการ เมื่อ พ.ศ. 2469 ต่อมาในพ.ศ. 2492 รับตำแหน่งเป็นประธานองคมนตรี สิ้นพระชนม์เมื่อพ.ศ. 2517 รวมพระชนมายุ 88 พรรษา
ปีพ.ศ. 2449 ท้าววรจันทร์ลงโทษอำแดงเนย เพราะหลบหนีงาน โดยให้บ่าวในกำกับของตนจำนวนสามคน ได้แก่ อำแดงนก อำแดงพลอย และอำแดงผ่อง เฆี่ยนตีอำแดงเนยซึ่งกำลังตั้งครรภ์อาการสาหัสและตายทั้งกลมในเวลาต่อมา กรรมการศาลกระทรวงวัง พิพากษาให้จำคุกท้าววรจันทร์ อำแดงนก อำแดงพลอย และอำแดงผ่อง เป็นเวลาสองปี แต่ท้าววรจันทร์เป็นข้าราชการ และได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงให้งดโทษท้าววรจันทร์ แต่เปลี่ยนเป็นปรับละเมิดจตุรคูณตามบรรดาศักดิ์ท้าววรจันทร์ ศักดินา 3,000 ไร่ คิดเป็นเงิน 425 บาท 3 สลึง 500 เบี้ย ต่อมาท้าววรจันทร์ทำหนังสือถึงกระทรวงวัง ปฏิเสธความผิดทั้งหมด แต่ไม่ต้องการอุทธรณ์ เพียงแต่ต้องการให้ปล่อยตัวบ่าวสามคน ในฐานะที่ทำตามคำสั่งของท่าน

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น