การฟื้นตื่นของชายผู้จมน้ำ
![]() |
การฟื้นตื่นของชายผู้จมน้ำ |
เสียงของพ่อแว่วมาจากที่ใดสักแห่ง เหมือนมันดังอยู่ใกล้ๆ แต่ไซก็ยังไม่รู้ว่ามันดังมาจากที่ไหน เพียงไม่กี่อึดใจก็มีเสียงสะอื้นไห้ของแม่ปนเสียงของผู้คนมากมายที่พูดจากันฟังไม่ได้ความ ไซพยายามตั้งใจฟังก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี พยายามมองหาที่มาของเสียงก็มีเพียงม่านหมอกขาวปกคลุมไปทั่ว ดวงอาทิตย์หายไปไหน ไซมั่นใจว่าเวลาขณะนี้มันใกล้จะเที่ยงแล้ว
“เรากำลังอยู่ที่ไหน” นั่นสิ...เขากำลังอยู่ที่ไหน หรือกำลังฝัน
“ไม่จริงดอกเราไม่ได้ฝัน เรากำลังลงเล่นน้ำในลำห้วย” ทั้งที่เมื่อสักครู่ยังเล่นน้ำในลำห้วยกับเพื่อนๆ แต่ตอนนี้เพื่อนหายไปไหนหมด ลำห้วยหายไปไหน
“ไซมันตายแล้ว” เสียงของพ่อดังขึ้นมาอีกครั้ง มันดังกังวานปนเศร้าคล้ายเสียงของบ่าวภูไทอำเภอเรณูนครเพ้อรำพันถึงหญิงสาวอันเป็นที่รัก ในวันที่หล่อนตัดสินใจแต่งงานกับผู้บ่าวบ้านอื่น
“พ่อ ผมยังไม่ตาย”
ไซตะโกนร้องบอกออกไปด้วยความหวาดกลัว มองไปทางไหนก็มีเพียงม่านหมอกขาว จนไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน เสียงของพ่อกับแม่เงียบหายไปแล้ว ไซพยายามตั้งสติเพื่อทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หมอกขาวเริ่มจางหายไป แต่บรรยากาศยังคงมืดครึ้ม ภาพทุ่งนาข้าวเหลืองอร่ามเริ่มปรากฏเบื้องหน้า ไซบอกกับตัวเองว่าต้องรีบเดินไปที่นั่น ทุ่งนาข้าวที่เห็นยังไม่รู้เลยว่าเป็นของใคร
“ต้องมีคนอยู่ที่ทุ่งนาแห่งนี้” เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น สังเกตสองข้างทาง ต้นข้าวสุกเหลืองอร่ามไปทั่วทั้งบริเวณ คงใกล้ถึงฤดูเก็บเกี่ยว มองออกไปเบื้องหน้าทิวเขาสลับซับซ้อน เหมือนเทือกเขาภูพาน แสดงว่าที่ราบลุ่มแห่งนี้ต้องเป็นหนองหาน เมืองประวัติศาสตร์อันมีมนต์ขลังของท้าวผาแดงนาไอ่ แล้วทำไมเต็มไปด้วยทุ่งนาข้าว หรือนี่คือทุ่งนาข้าวอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งเมืองบอลิคำไซย “ข้างหน้ามีเถียงนาด้วย ไม่ใช่สิ มันน่าจะเป็นบ้านของชาวนา” พอไซเดินไปถึงด้วยความหวังอันเปี่ยมล้นว่าจะเจอใครซักคน มันไม่ใช่เถียงนา มันเหมือนกับกุฏิของพระอาจารย์ มั่น ภูริทัตโต วัดป่าบ้านหนองผือที่พระอาจารย์มั่นได้พำนักอยู่ติดต่อกันห้าพรรษาสุดท้าย (พ.ศ. ๒๔๘๘-๒๔๙๒) แห่งปัจฉิมวัยก่อนที่ท่านจะละสังขาร
ไซทำความคุ้นชินกับเส้นทางสายแปลกหน้า แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้อยู่ดีว่าที่นี่มันคือที่ไหน ไซมั่นใจว่ากำลังลงเล่นน้ำในลำห้วยท้ายหมู่บ้านกับเพื่อนๆว่ายน้ำแข่งกันอย่างสนุกสนาน แล้วมาเดินอยู่ในที่แห่งนี้ได้อย่างไร มันต้องไม่ใช่ทางไปทุ่งไหหิน ไม่ใช่ทางไปกู่พันนาอำเภอสว่างแดนดิน และไม่ใช่ทางไปพระธาตุภูเพ็กอย่างแน่นอน
มีเสียงของผู้คนมากมายแว่วมาจากที่ใดสักแห่ง ไซพยายามเอียงหูฟังก็ยังไม่รู้ว่าพวกเขาพูดคุยกันถึงเรื่องอะไร บางช่วงจังหวะคล้ายเสียงของผู้บ่าว-ผู้สาวไทโซ่บ้านห้วยบุ่นพูดคุยหยอกล้อกัน แต่คงไม่ใช่เสียงของนักการเมืองที่กำลังถกเถียงกันในสภาอันทรงเกียรติอย่างแน่นอน
“หรือข้างหน้ามีหมู่บ้าน” ไซคิดก่อนเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิมอีก ไซมั่นใจว่าไม่เคยเทียวทางสายนี้ มันเป็นทางลูกรังสองข้างทางยังเป็นนาข้าว ราวกับว่าเขากำลังเดินอยู่บนทางหลวงชนบทเส้นทางจากวัดธาตุมหาชัยไปอำเภอปลาปาก แต่เส้นทางสายนั้นมันไม่มีทุ่งนาข้าวหลงเหลืออยู่ เพราะชาวบ้านถูกนักการเมืองเช่าที่ดินปลูกมันสำปะหลัง ปลูกอ้อยไปหมดแล้ว เพื่อเหตุผลทางธุรกิจหรือเพื่ออะไรก็สุดแต่จะคาดเดา “มีรอยเท้าของผู้คนตั้งมากมายเดินล่วงหน้าไปก่อนแล้ว” ไซร้องขึ้นด้วยความดีใจ
“คงไปได้ไม่ไกล”
พวกเขาจะพากันไปที่ไหน หรือกำลังอพยพจากบ้านเมืองเก่าเพื่อไปแสวงหา บ้านดินดำน้ำซุ่ม หรือเป็นขบวนหามพระอาจารย์ มั่น ภูริทัตโต จากวัดป่าบ้านหนองผือ ขณะเดินย้ำไปในทุ่งนาข้าวของโยมเป้ะชาวบ้านกุดก้อม(ว่ากันว่า โยมเป้ะเป็นอุบาสกที่มีความศรัทธาในพระอาจารย์มั่นมาก เห็นความลำบากในการหามท่านย้อนไปย้อนมาบนคันนา และเวลานั้นใกล้จะค่ำอยู่แล้ว จึงยอมเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ โดยยอมให้ขบวนหามเดินผ่านต้นข้าวที่กำลังสุกเหลืองอร่าม มุ่งตรงเข้าสู่วัดป่ากลางโนนภู่ได้เลยเพราะที่นาของเขาอยู่ระหว่างกลางของทางเข้าวัด ผู้คนเกือบสองร้อยเดินผ่านนาข้าวที่กำลังสุกเหลืองอร่ามอยู่นั้น สภาพจะเป็นเช่นไน แต่โยมเป้ะกับดีใจและไม่คิดเสียดายเลยเป็นสิ่งที่แปลกมากๆ นี่อาจจะเรียกว่าบุญเกิดขึ้นในใจของโยมเป้ะแล้ว) มุ่งหน้าไปสู่วัดป่ากลางโนนภู่
ไซตั้งข้อสังเกต บางทีเหมือนเขาเดินอยู่บนทางลูกรัง บางทีเหมือนกำลังย่ำเดินอยู่บนคันนา ยังไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะไปสิ้นสุดที่ใด แล้วทำไมเขาต้องมาก้าวย่ำอยู่บนเส้นทางสายนี้ เพื่อนๆอยู่ที่ไหน มีใครเป็นห่วงเขาหรือเปล่า พ่อแม่จะรู้บ้างไหมว่าเขากำลังก้าวย่ำไปบนเส้นทางสายแปลกหน้าอย่างไร้จุดหมาย ไม่มีแม้แต่นกสักตัวบินวนบนท้องฟ้า ไม่มีแม้แต่เสียงของสัตว์ป่าร่ำร้องมาเป็นเพื่อนปลอบใจ มีแต่ทุ่งนาข้าวที่พลิ้วไหวตามแรงลมหนาวเป็นคราวครั้ง อีกทั้งความเงียบของหยดน้ำค้างที่จับอยู่ปลายใบข้าวขณะหยดลงพื้นนา ก็ยิ่งทำให้เวลานี้วังเวงยิ่งนัก
“มีทุ่งนาข้าว ต้องมีบ้านของผู้คน” ไซได้แต่หวังว่า ทางข้างหน้าอันใกล้ติดกับภูเขา ต้องมีหมู่บ้านของผู้คนอาศัยอยู่ บางทีผู้คนที่นั่นอาจบอกได้ว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ที่ไหน เหมือนคอแห้งอยากดื่มน้ำ เพียงเสี้ยวความคิดที่รู้สึก ความอยากนั้นก็จางหายไป
ใกล้ภูเขาเข้าไปทุกขณะ สัมผัสถึงความอับชื้นจากธรรมชาติ เส้นทางที่ไซย่ำเดินมาเหมือนเริ่มเปลี่ยนจากทางลูกรังเป็นทางคอนกรีต เขาพยายามข่มความดีใจอันแปลกประหลาด สองข้างทางเริ่มมีต้นไม้น้อยใหญ่ทั้ง ตะแบก เต็ง รัง ไม้แดง พะยอม ยาง สลับกับสวนผลไม้ ทางคอนกรีตทอดยาวคดโค้งหายเขาไปในภูเขา เริ่มมีเสียงนกป่าแว่วมาเป็นระยะ
“ทางโค้งข้างหน้ามีคนอยู่” ความคิดสั่งการให้เปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่งอย่างรวดเร็ว ราวกับนักกรีฑากำลังทำการแข่งขันวิ่งร้อยเมตร นี้คือสิ่งปรารถนามากที่สุด ไซอยากเจอผู้คนเพื่อจะได้สอบถามว่าที่นี่คือที่แห่งไหน คนที่เขาเห็นเมื่อสักครู่คือผู้ชายวัยกลางคน อายุไม่น่าจะถึงห้าสิบปีหรือมากกว่านั้น กำลังดันรถเข็นที่มีก้อนหินอยู่เกือบเต็มรถ
“ลุง ลุง รอผมด้วย” ไซส่งเสียงร้องเรียกขณะวิ่งเข้าไปใกล้ๆ ชายผู้นั้นหยุดฝีเท้าหันกลับมามองทางต้นเสียง
“มีอะไรหรือ” ถามน้ำเสียงราบเรียบ
“ผมหลงทางมา ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน”
“ทางไปพระธาตุพนม”
“ทางไปพระธาตุพนม” ไซทวนคำ
“ใช่ เดินพ้นเขาลูกนี้ไปทะลุออกทุ่งนาก็มองเห็นพระธาตุพนมแล้ว”
ไซมองไปเบื้องหน้า ใช้ฝ่ามือตบที่ใบหน้าตัวเองเบาๆ เหมือนกับคิดว่าตัวเองฝันไป เพราะเขาคิดว่ากำลังเล่นน้ำอยู่กับเพื่อนๆ แต่ทำไมถึงมาอยู่ที่ตรงนี้ได้ เขารู้สึกถึงสัมผัสจากฝ่ามือ จึงมั่นใจว่าไม่ได้ฝัน แต่ก็ยังไม่คลายความสงสัย
“ลุงจะขนหินพวกนี้ไปที่ไหน” ไซหันมาถามชายผู้นั้น
“ไปสร้างพระธาตุพนม”
“พระธาตุพนมเป็นอะไรหรือลุง” ไซถามด้วยความตกใจ
“พังทลายหมดแล้ว” ชายผู้นั้นตอบสายตาทั้งคู่จับอยู่ที่ก้อนหินบนในรถเข็น ไซตกใจในคำบอกกล่าวของชายผู้นั้น เขาหันไปมองสองข้างทางเห็นมีก้อนหินวางอยู่เป็นระยะ
“หินพวกนี้ก็นำไปสร้างพระธาตุพนมด้วยใช่ไหมลุง” ไซถามพร้อมกับชี้ไปก้อนหินที่วางอยู่สองข้างทาง
“ใช่”
ไซพอจะคาดเดาอะไรต่างๆนานาได้แล้วว่า ถ้าหนทางเบื้องหน้ามุ่งตรงไปพระธาตุพนม แสดงว่าที่ที่เขากำลังเดินอยู่ตรงนี้ต้องเป็นเทือกเขาภูพาน พ้นเขตภูเขาออกไปก็จะเป็นทุ่งนาข้าวอย่างที่ชายผู้นั้นบอกกล่าว ถ้าถึงที่ตรงนั้นเขาคงจะพอหาช่องทางกลับบ้านตัวเองได้อย่างแน่นอน แต่มันไม่น่าจะเป็นไปได้ เขาเชื่อว่าองค์พระธาตุพนมยังไม่ได้เป็นอะไร เหตุการณ์ตอนที่ธาตุพนมล่มก็ผ่านมานานมากแล้ว ตอนนี้คงมีแต่พระธาตุพนมองค์ใหม่ที่ตั้งเด่นสง่างามให้ผู้คนได้กราบไหว้อยู่เป็นประจำ
“มันเล่นน้ำกับเพื่อนแล้วจมน้ำตาย” เหมือนเสียงของแม่แว่วมาจากฟากภูเขาฝั่งโน้น ประโยคที่ไซได้ยินยิ่งทำให้ความสงสัยเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
“เราจมน้ำตายแล้วหรือ”
ไซบ่นพึมพำ พยายามคิดย้อนเหตุการณ์ก่อนที่จะมาเดินอยู่บนเส้นทางสายนี้ แต่ก็ให้เปล่าประโยชน์เพราะจำอะไรไม่ได้เลย มองออกไปเบื้องหน้าเห็นหมู่บ้านผู้คนในเงาสลัวที่โอบล้อมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่
“ลุง ข้างหน้าใช่หมู่บ้านหรือเปล่า” ไซหันกลับมาถาม เขาแทบหัวใจหยุดเต้นเมื่อไม่เห็นมีชายผู้นั้น และให้ยิ่งแปลกใจไปอีก เมื่อเส้นทางคอนกรีตที่พึ่งเดินผ่านมา ตอนนี้กลายเป็นเพียงทางลูกรังเล็กๆ คดโค้งหายไปในราวป่า
“ลุงหายไปไหน”
ไซคิด ถ้าชายผู้นั้นจะไปทางอื่น ไซก็ให้มั่นใจว่า ยังไม่มีทางแยกเลี้ยวไปทางไหนเลย เขาสลัดความคิดทิ้งแล้วกลับหลังหันมาทางที่มองเห็นหมู่บ้านอยู่เบื้องหน้าเมื่อสักครู่ ภาพหมู่บ้านที่เห็นพอลางๆ บัดนี้กลายเป็นทางแยก ทางขวามือเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่บรรยากาศวังเวง ความตกใจเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวต่อภาพที่ได้เห็น
“มันเกิดอะไรขึ้น”
ไซถามตัวเอง คราวนี้เขาใช้วิธีหยิกไปที่ต้นแขนอย่างแรง อาการเจ็บบ่งบอกได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไป หมู่บ้านหายไปไหน ชายผู้นั้นหายไปไหน ไซตัดสินใจเดินเลี้ยวไปทางซ้ายมือ ซึ่งเป็นทุ่งนาข้าวเหลืองอร่ามสลับกับสวนดอกไม้ เติมเต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิด เส้นทางเบื้องหน้าลาดยางขยายใหญ่ขึ้นเป็นสี่เลน เขาบอกกับตัวเองว่าจะไม่ยอมหันกลับไปมองด้านหลังอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
“ต้องเป็นเส้นทางกลับไปบ้านเราอย่างแน่นอน” ขณะก้าวเดินอย่างเร่งรีบ มองสองข้างทางให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง ดอกไม้หลากชนิดส่งกลิ่นหอมโชยมาตามสายลม ทำให้คลายความหวาดกลัวลงไปได้บ้าง
“มีองค์พระธาตุด้วย”
ไซร้องขึ้นด้วยความดีใจ เมื่อสายตาทั้งคู่มองไปเห็นองค์พระธาตุอันเก่าแก่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า บริเวณรอบข้างองค์พระธาตุมีสวนดอกไม้รายล้อม เขาบอกกับตัวเองว่านี่คือองค์พระธาตุพนม ภาพของผู้คนมากมายที่มานมัสการองค์พระธาตุปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับห่าฝนหลงฤดู เขาใช้มือทั้งสองข้างปาดขยี้ตา “มันเป็นไปได้อย่างไร” เสียงสวดมนตร์ของพระภิกษุหลายรูปก้องไปทั่วทั้งบริเวณ ล้วนผู้คนมากมายกำลังเดินวนรอบองค์พระธาตุ ในมือของพวกเขามีดอกไม้ธูปเทียน
“หรือนี่คืองานนมัสการองค์พระธาตุพนม” ไซกวาดสายตามองรอบๆข้างก่อนจะไปสะดุดที่ต้นดาวเรืองดอกสีเหลืองบานสะพรั่ง โดยไม่รีรอเขาถือวิสาสะเด็ดมาหนึ่งคู่แล้วนั่งลงพนมมือสายตาจับอยู่ที่องค์พระธาตุ
“ลูกไม่รู้เลยว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น และไม่รู้ว่าเดินทางมานมัสการองค์พระธาตุได้อย่างไร ถ้าบุญยังพอมีเหลืออยู่บ้าง ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นกับลูกในตอนนี้ขอให้เป็นเพียงความฝันก็แล้วกันนะครับ”
ทันทีที่อธิฐานเสร็จ ไซก้มลงกราบต่อองค์พระธาตุ เหมือนเสียงของพระอาจารย์ มั่นวันที่พูดกับชาวบ้านหนอผือเป็นครั้งสุดท้ายประสานมากับเสียงของพระภิกษุสวดมนตร์
“เมือเสียเด้อ หมดท่อนี้หล่ะเน้อ เอาน้ำไปรดไม้แก่นล่อนให้มันป่งใบ บ่มีดอกเด้อ” ไซได้ยินอย่างนั้นจริงๆก่อนที่ความทรงจำทุกอย่างจะวูบหายไป...
ไซพยายามลืมตาขึ้นด้วยความยากลำบาก พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล มีพ่อแม่พี่น้องและเพื่อนๆที่เล่นน้ำด้วยกันนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆเตียง เหมือนทุกคนยังไม่ทันเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาสังเกตเห็นใบหน้าของพ่อกับแม่เปื้อนรอยคราบน้ำตาสีหน้าปนเศร้า เหมือนคนที่ผ่านการร้องไห้มาหมาดๆ เขาพยายามย้อนเหตุการณ์ที่คล้ายกับความฝันเมื่อสักครู่
“เราไปไหว้องค์พระธาตุพนมได้อย่างไร” ไซพยายามเปล่งเสียงพูดให้ดังมากที่สุด แต่ก็เหมือนกับว่าไม่มีน้ำเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากปากของเขา
“ไอ้ไซมันฟื้นแล้ว” พ่อร้องตะโกนขึ้นสุดเสียง ทุกคนที่อยู่ในห้องพากันหันมามองที่ไซทั้งหมด
“โอ้ฟ้าประทาน ลูกยังไม่ตายหรือนี่” แม่ร้องลั่นก่อนผวาเข้ามากอดไซไว้แน่น
“ไม่เป็นอะไรแล้วนะลูก ขวัญเอยขวัญมา ขวัญไปเที่ยววิ่งเล่นอยู่ที่ไหน ให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวด้วยเถิด”แม่ร่ายยาว ขณะที่ทุกคนมีรอยยิ้มเปื้อนหน้า
“เกิดอะไรขึ้นกับผมหรือครับ ทำไมต้องมานอนอยู่ที่โรงพยาบาลด้วย” ไซเปล่งเสียงถามอย่างฝืดคอ
“แกจมน้ำตายเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว” เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้น
“เป็นไปได้อย่างไร เมื่อสักครู่ที่ผ่านมาผมยัง...” เสียงพูดนั้นหลุดหายไปในลำคอ
“ไปทำอะไรที่ไหนมาหรือลูก ดีนะที่ยังกลับมาทันเวลา” แม่พูดทั้งที่ยังไม่คลายอ้อมกอด
“ผมไปไหว้องค์พระธาตุพนมมาครับแม่” บอกออกไปทั้งที่ร่างกายให้รู้สึกถึงความเหนื่อยล้า เขาฝืนยิ้มให้พ่อญาติพี่น้องและเพื่อนๆที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ก่อนพาสายตาทั้งคู่ไปจับอยู่ที่หลอดไฟบนใต้เพดานห้อง พยายามปลดปล่อยความคิดให้เป็นอิสระ
“คงเป็นเพราะบุญที่ลูกเคยทำไว้เมื่อครั้งเป็นเด็ก ตอนที่ได้ไปร่วมก่อสร้างองค์พระธาตุพนม คราที่องค์พระธาตุพนมพังทลายสมัยนั้น จึงทำให้ลูกได้ฟื้นคืนมาอีก นี่หละที่เขาบอกว่าบุญหรือกรรมที่ทำไว้ในชาตินี้ไม่ต้องรอหวังผลถึงชาติหน้าหรอก”
“เราตายแล้วฟื้นหรือนี่ ไม่ใช่สิเราไม่ได้ตาย เราฝันไป แล้วเส้นทางที่เราเดินผ่านมาเมื่อสักครู่ มันเป็นเส้นทางที่เราไปไหว้องค์พระธาตุพนมได้อย่างไร”
ไซครุ่นคิด เขาพยายามข่มตาหลับลงอย่างยากลำบาก นึกย้อนเหตุการณ์ที่ผ่านมา เหมือนมีเสียงของพระอาจารย์ มั่น ภูริทัตโต วันที่พูดกับชาวบ้านหนอผือเป็นครั้งสุดท้าย แว่วมาจากที่ใดสักแห่ง




ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น