เกสรียะสถูป (KESARIA STUPA) : สถานที่ประดิษฐานบาตร ขององค์สมเด็จพระสัมมนาสัมพุทธเจ้า


 เกสรียะสถูป (KESARIA STUPA) : สถานที่ประดิษฐานบาตร ขององค์สมเด็จพระสัมมนาสัมพุทธเจ้า 

มหาสถูปแห่งเกสรียา เป็นสถูปเดียวกับที่ปรากฏในบันทึกของพระถังซำจั๋ง ที่เคยจาริกแสวงบุญมายังสถานที่แห่งนี้ ท่านได้กล่าวไว้ว่า สถานที่แห่งนี้ เป็นที่ตั้งของพระมหาสถูป ที่ประดิษฐานบาตรของพระพุทธองค์ ที่พระพุทธเจ้าทรงประทานแก่ชาววัชชี เมืองไวสาลี ที่ตามมาส่งเสด็จพระพุทธองค์เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเสด็จไปยังเมืองกุสินาราเพื่อเสด็จดับขันธปรินิพพาน ประวัติครั้งพุทธกาล   เมื่อย้อนไปในสมัยพุทธกาล เมืองไวสาลี นับเป็นเมืองหนึ่ง ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นเมืองที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จมาประทับและแสดงธรรมแก่ชาววัชชีหลายครั้ง กล่าวกันว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จประทับคืนสุดท้ายที่เมืองไวสาลี ภายหลังที่พระองค์ทรงปลงอายุสังขารว่า พระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพาน หลังจากนี้ไปสามเดือน ในวันรุ่งขึ้น ทรงลาชาวเมืองไวสาลี เพื่อเสด็จไปยังกรุงกุสินารา


วันที่เสด็จมุ่งหน้าไปยังกรุงกุสินารานั้น ตามตำนานเล่าว่า ชาวเมืองไวสาลีกลุ่มใหญ่ ได้ตามมาส่งพระพุทธเจ้า และเดินทางไปพร้อมกับพระองค์ โดยปฏิเสธที่จะเดินทางกลับ เมื่อพระพุทธเจ้าพร้อมสาวกและกลุ่มชาวเมืองไวสาลี เดินทางมาถึงนิคมเกสสปุตตะ(Kessaputta) พระพุทธเจ้าทรงเกลี้ยกล่อม ให้ชาวเมืองไวสาลีเดินทางกลับ แต่ดูเหมือนชาวเมืองไวสาลี จะไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก ดั้งนั้น เพื่อทำให้ชาวเมืองไวสาลีกลุ่มใหญ่ ที่เดินทางมาส่งพระพุทธองค์ เกิดความสบายใจ และพากันเดินทางกลับ พระองค์จึงทรงประทานบาตร เพื่อไว้เป็นที่ระลึกแก่ชาวเมืองไวสาลี และเสด็จมุ่งหน้าสู่กรุงกุสินารา เพื่อเสด็จดับขันธปรินิพพาน


หลังจากพระพุทธเจ้า ได้เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว เชื่อกันว่า ชาวเมืองไวสาลี นำโดยเจ้าลิจฉวีได้สร้างสถูปขึ้นมา เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานสำหรับพระพุทธเจ้า พร้อมกันนี้ ได้ประดิษฐานบาตร ที่พระพุทธเจ้าทรงมอบให้ ไว้ในสถูปแแห่งนี้ สถูปแห่งนี้นามว่า “เกสรียะสถูป (Kesaria Stupa)”


ต่อมา สถูปหลังนี้ ได้สูญหายไปทั้งหลัง เนื่องจากเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ในปี 1934 ภัยธรรมชาติครั้งนั้น ทำให้สถูปหลังนี้ ฝังอยู่ใต้แผ่นดินมาเป็นเวลานาน จวบจนกระทั่งปี 1998 รัฐบาลอินเดียโดยหน่วยงานสำรวจทางโบราณคดีArchaeological Survey of India (ASI) ได้ทำการขุดหาเจดีย์แห่งนี้ เพื่อสืบค้นร่องรอยประวัติศาสตร์ทางพระพุทธศาสนา ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเจริญรุ่งเรือง ณ ดินแดนแห่งนี้ ภายหลังจากการขุดแล้วเสร็จบางส่วน สถูปแห่งนี้ ได้สร้างความตกตะลึง ให้กับเจ้าหน้าที่เป็นอันมากเพราะมีขนาดใหญ่ จนกล่าวกันว่า เป็นสถูปที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อเปรียบเทียบกับสถูปทางพระพุทธศาสนา


แหล่งข้อมูลจากเว็บไซด์ http://www.buddhist-pilgrimage.com ได้อธิบายถึงรูปทรง/ความสูง และความกว้างของสถูปแห่งนี้ว่า มีความสูง 104 ฟุต อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะได้รับความเสียหาย จากเหตุการณ์แผ่นเดินไหวครั้งนั้น เชื่อกันว่า ความสูงของสถูปหลังนี้อยู่ที่ประมาณ 123 ฟุต บางแห่งเชื่อว่า เริ่มแรก สถูปแห่งนี้ สร้างขึ้นที่ความสูงประมาณ 150 ฟุต มีความกว้างรายรอบวงนอกตัวสถูป อยู่ที่ประมาณ 1,400 ฟุต และตัวสถูปประกอบด้วย 6 ชั้น 


ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ภายหลังจากการขุดค้นสถูปหลังนี้แล้ว เจ้าหน้าที่ได้ค้นพบสิ่งที่สำคัญที่อยู่ภายในตัวสถูปนี้ด้วยเช่นกัน คือ เหรียญชาวมุสลิม หัวลูกศร เครื่องทองแดง เป็นต้น ซึ่งอาจจะเป็นหลักฐานที่สำคัญ ในการค้นหาร่องรอยทางประวัติศาตร์ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ด้านศาสนา หรือวัฒนธรรมของผู้คนบนดินแดนแห่งนี้ ทั้งช่วงสมัยพุทธกาล และสมัยต่อมาหลังพุทธกาล


เนื่องจากความยิ่งใหญ่ ความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา ของเกสิยะสถูปหลังนี้ รวมทั้งดินแดนเมืองไวสาลี ทางรัฐบาลอินเดีย ต่างเร่งบูรณะตัวสถูปและปรับปรุงสถานที่โดยรอบบริเวณนั้น นอกจากงานบูรณะปรับปรุงแล้ว ยังมีสิ่งหนึ่งที่รัฐบาลอินเดียพยายามตามหา เพื่อนำมาประดิษฐานไว้ที่เดิม คือที่มหาสถูปแห่งนี้ นั่นคือ บาตรของพระพุทธเจ้า








ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ดินแดนล้านนา เมืองเชียงใหม่

(ชาติพันธุ์) ลาวทรงดํา ไทยทรงดํา ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง

มาชู ปิกชู ประเทศเปรู เมืองสาบสูญแห่งอินคา