ตำนาน นางเงือกเขมร กะเดิบโดง กะเดิบชลา😱😱😱
มีครอบครัวหนึ่งฐานะยากจน ประกอบด้วยแม่และลูกสาวคนหนึ่ง ชื่อ “นางกะเดิบโดง” พ่อของนางกะเดิบโดง ได้ตายจากไปนานแล้ว ฐานะของครอบครัวนี้ ยากจนข้นแค้น แต่ก็มีความซื่อสัตย์ ไม่คิดคดโกงใคร ตั้งใจในการประกอบสัมมาอาชีพ แต่ชาวบ้านก็รังเกียจ ด้วยความยากจนของครอบครัวนาง
วันหนึ่ง 'แม่' ของนางกะเดิบโดง ไปขุดหน่อไม้ในป่า และทําเสียมหลุดจากด้าม ไปติดอยู่ในกอไผ่ นางพยายามดึงยังไง ก็ดึงออกไม่ได้สักที จนตะวันบ่ายคล้อยใกล้ค่ำ ก็หมดปัญญา นางจึงพูดบนบานว่า "ถ้าใครสามารถเอาเสียมของนาง ออกมาจากกอไผ่ได้ นางจะยกลูกสาวคนเดียวให้" นางพูดยังไม่ทันขาดคํา ก็มีเสียงหนึ่งถามว่า “พูดจริงใช่ไหม?” นางก็ตอบว่า "ใช่"
ทันใดนั้น ก็ปรากฏมี 'งู' ตัวใหญ่ตัวหนึ่ง เลื้อยออกมา และเอาเสียมออกจากกอไผ่มาให้ แม่นางกะเดิบโดงตกใจมาก ที่เห็นงูใหญ่ขนาดเท่าต้นมะพร้าว แต่ก็ไม่รู้จะทําอย่างไร เพราะได้ลั่นวาจาออกไปแล้วจึงถือเอาความสัตย์
ฝ่ายงู ถามแม่นางกะเดิบโดงว่า "เราจะไปบ้านนางได้อย่างไร" นางก็บอกให้ไปตามเปลือกหน่อไม้ ที่นางจะแกะทิ้งไว้เป็นระยะๆ ตามรายทางจนถึงบ้านของนาง เมื่อกลับนางถึงบ้านแล้ว นางก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น ให้ลูกสาวฟัง นางกะเดิบโดงนั้นตกใจมาก แต่ก็ยอมทําตามความประสงค์ของแม่ ด้วยความกตัญญู พอตกกลางคืน 'งูใหญ่' ก็ไปที่บ้านของนางกะเดิบโดงจริงๆ และเข้าไปอยู่ในห้องของนางกะเดิบโดง 'งูใหญ่' นี้ ที่จริงเป็นงูเทพ จําแลงกายมา เพื่อลองใจแม่นางกะเดิบโดงว่า จะรักษาคําสัตย์หรือไม่?
เมื่อเข้าไปในห้อง งูจึงคืนร่างเป็นเทพรูปงาม และบอกความจริงแก่นางกะเดิบโดง และได้นางเป็นภรรยาในคืนนั้น พร้อมกับเนรมิตทรัพย์สินเงินทอง สร้างความร่ำรวยให้ครอบครัวนี้ จนเป็นที่ร่ำลือ ไปทั่วทั้งหมู่บ้าน
ยังมีอีกครอบครัวหนึ่ง มีลูกสาว ชื่อนางกะเดิบชลา และน้องชายอีกหนึ่งคน เมื่อแม่ของนางกะเดิบชลา ได้ยินเรื่องความร่ำรวยนี้เข้า ก็เกิดความอิจฉา และอยากร่ำรวยกับเขาบ้าง จึงแวะเวียนไปบ้านนางกะเดิบโดง เพื่อถามแม่ของนางกระเดิบโดง ถึงสาเหตุของความร่ำรวยในครั้งนี้ ฝ่ายแม่ของนางกะเดิบโดง ก็เล่าความจริงทั้งหมดให้ฟัง โดยไม่ปิดบังแต่อย่างใด
แม่ของนางกะเดิบชลา เมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็คว้าเสียม ตะกร้า เพื่อไปหาหน่อไม้ ในใจก็คิดถึงแต่ความร่ำรวยตลอดทาง อยากได้เขยรูปงาม เพื่อให้ผู้คนร่ำลือ เหมือนแม่นางกะเดิบโดงบ้าง
เมื่อไปถึงป่าไผ่ นางก็เอาเสียม ไปเสียบไว้กับกอไผ่กอเดิม ที่แม่นางกะเดิบโดงทําเสียมติด แล้วนางก็ทําทีร้องหาคนช่วยว่า "เอาเสียมออกจากกอไผ่ไม่ได้ ใครสามารถเอาออกมาให้ได้ แล้วนางจะยกลูกสาวให้" นางร้องเกือบทั้งวัน ก็ยังไม่มีใครมาช่วย
จนใกล้ค่ำ นางเกือบหมดความอดทนแล้ว จู่ๆ ก็มี 'งูใหญ่' ตัวหนึ่ง อาสาจะเอาเสียมให้นาง นางดีใจมากบอกว่า ให้รีบไปบ้าน นางจะทิ้งเปลือกหน่อไม้ไว้ เป็นที่สังเกตตลอด จนถึงบ้าน แม่นางกะเดิบชลาดีใจ รีบกลับบ้าน แล้วบอกแก่นางกะเดิบซลา ให้เตรียมตัวรับว่าที่ผัวงู นางกะเดิบชลาเป็นคนดี แต่ขัดใจแม่ไม่ได้ จึงจําใจ ต้องทําตามที่ผู้เป็นแม่บอกมา
คืนนั้น 'งูตัวใหญ่' มาที่บ้านนางกะเดิบชลา แม่ของนางดีใจ รีบพาเข้าห้องลูกสาว กําชับให้ปิดประตูลงกลอนให้เรียบร้อย ส่วนตัวเองจะเข้านอน คอยเงี่ยหูฟังสถานการณ์
สักพักหนึ่ง ได้ยินเสียงนางกะเดิบชลาร้องบอกว่า "งูใหญ่ได้กลืนข้อเท้าตนเองแล้ว" แม่นางกะเดิบชลาได้ยินดังนั้น ก็ให้ขัดเคืองยิ่งนัก นางตะคอกให้ลูกเงียบ เพียงสามีหยอกเล่นนิดหน่อย ก็ทํากระโตกกระตากให้คนอื่นรู้
สักครูหนึ่งนางกะเดิบชลา ก็ร้องดังขึ้นอีกว่า "งูได้กลืนมาถึงเอวแล้ว" แม่นางก็บอกให้เงียบ สักพักนางกะเดิบชลา ก็ร้องอีกว่า "งูกลืนนางถึงคอแล้ว" แม่ของนางก็บอกให้เงียบ
รุ่งเช้า แม่นางกะเดิบชลา ตื่นขึ้นมาหุงหาอาหาร จนสาย ก็ยังไม่เห็นลูกสาวและลูกเขยออกจากห้อง จึงเอะใจ เคาะประตูไม่มีใครตอบ จึงลงเดินไปหารอบๆ บ้าน เห็นงูใหญ่ท้องป่อง เนื่องจากกลืนกินนางกะเดิบซลา ไปนอนขดตัว อยู่ในสวนหม่อนหลังบ้าน
นางตกใจสุดขีด ร้องให้ชาวบ้านมาช่วยฆ่างู ผ่าท้องช่วยนางกะเดิบชลาออกมาได้ เนื้อตัวของนางเต็มไปด้วยเมือกงู ที่ล้างไม่ออก ผิวหนังด่างดำหลุดลอก และเปื่อยเป็นจุดๆ เรื่องนี้ เป็นที่ซุบซิบนินทาของคนในหมู่บ้าน ทั้งเรื่องหยิบยื่นความตายให้ลูกสาว เพราะความโลภของตนเอง รวมทั้งผิวพรรณด่างดำของลูกสาว ที่คล้ายดังเกล็ดงูลอกคราบ ไม่สวยงามดังเดิม สร้างความอับอาย แกนางกะเดิบชลาเป็นอย่างมาก นางจึงบอกกับแม่ของนางว่า "ขอตัวไปอาบน้ำล้างเมือกงูที่กลืนนางออก" แม่นาง ให้น้องชายคนเดียวของนางตามไปเป็นเพื่อนด้วย
นางกะเดิบชลา คว้าขันน้ำ และเตรียมผ้าไปผลัดเปลี่ยน เดินออกจากหมู่บ้าน หาแหล่งน้ำชําระล้างร่างกาย ผ่านหนองน้ำใหญ่ น้องชายของนาง ให้นางลงอาบล้างที่หนองนั้น แต่นางว่าน้ำน้อยไป ล้างเมือกออกไม่หมดหรอก จึงพากันเดินต่อไป ผ่านอีกห้วย บึง แม่น้ำ ก็ยังไม่เป็นที่พอใจของนาง บุกป่าฝ่าทุ่งหลายวัน หลายคืน จนมาถึงมหาสมุทรใหญ่ นางบอกให้น้องชายหยุดรอที่ชายฝั่ง ส่วนนางจะลงไปอาบน้ำล้างคราบเมือกงูออก นางคว้าขันเดินลงไปในน้ำเรื่อยๆ จนลึกถึงคอ เมื่อนางเดินลึกถึงปลายคาง นางเอาขันครอบหัว แล้วมุดน้ำหายไป ไม่ยอมโผล่มาอีกเลย
น้องชายของนางรออยู่เป็นนาน ก็ไม่เห็นพี่สาวโผล่มาสักที จึงเดินร้องให้กลับบ้าน พร้อมกับบอกเรื่องราวทั้งหมดให้แม่ของนางกะเดิบซลาฟัง นางเสียใจและรู้สึกผิด แต่ก็ทําอะไรไม่ได้ เพราะสายเกินไปเสียแล้ว
นางกะเดิบชลา ที่หายไปในมหาสมุทร ได้กลายเป็น 'นางเงือก' อาศัยอยู่ในมหาสมุทร ไม่ยอมพบผู้คนด้วยความอับอาย ตราบเท่าทุกวันนี้
ในนิทานจากทางฝั่งเขมร แถบลุ่มน้ำโขง (จังหวัดกระแจะ ประเทศกัมพูชา) ก็มีเรื่องราวคล้ายคลึงกันกับเรื่องนี้ แต่นางกะเดิบชลา ไม่ได้เดินทางไปล้างตัวไกลถึงทะเล หรือมหาสมุทร แต่ลงไปล้างตัวในแม่น้ำใหญ่ (ซึ่งคาดการณ์ว่าน่าจะเป็นแม่น้ำโขง) ที่เป็นวังวนน้ำลึก (คล้ายกับแถบหลี่ผี ใน สปป.ลาว หรือสี่พันดอน) เรียกนิทานนี้ว่าประวัติ "ไตร เพสาด ប្រវត្តិ ត្រីផ្សោត" หรือ "ปลาโลมาน้ำจืด" หรือ “โลมาอิรวดี” หรือโลมาหัวบาตร หรือที่ชาวลาวเรียกขานว่า “ปาข่า” หรือ “ปลาข่า” อาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง เขตมหานทีสี่พันดอน ตอนใต้ประเทศลาว ชายแดนติดต่อตอนเหนือของกัมพูชา
ซึ่งโลมาอิรวดีน้ำจืด หรือ ปลาข่า ตัวสุดท้าย ที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง บริเวณพรมแดน สปป.ลาว และกัมพูชา ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ได้เสียชีวิตลงแล้ว เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 หลังจากติดอวนจับปลา ของชาวประมงในพื้นที่ ซึ่งเท่ากับว่าโลมาน้ำจืด ได้สูญพันธุ์จาก สปป. ลาว อย่างเป็นทางการแล้ว
#กะเดิบโดง #กะเดิบชลา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น