“ตาพรหมเก็ล” โรงพยาบาลชุมชนแห่งนครวัด
“ปราสาทตาพรหมเก็ล” (Ta Prohm Kel) เป็นปราสาทแบบ “อาโรคยศาลา”
(ĀrogyaŚālā) ในหรือ “วลภิปฺราสาท”
(Valabhi prāsādā) (ออกเสียงสันสกฤตตามจารึกปราสาทตาพรหม)
เป็นปราสาทหลังเล็กที่ตั้งอยู่นอกเมืองพระนครธมทางทิศใต้
ฝั่งตะวันตกใกล้กับมุมคูน้ำปราสาทนครวัด เป็นปราสาทแบบ “สุคตาลัย”
(Sugatālaya/Chapel of Hospital) หรือ "หอพระ" (Shrine) ของโรงพยาบาลประจำชุมชนที่อาศัยอยู่โดยรอบปราสาทนครวัดในยุคโบราณ
ปราสาทหลังนี้ สร้างขึ้นด้วยหินทรายทั้งหลัง
มีรูปแกะสลักที่สวยงาม ตามแบบศิลปะบายน ทั้งรูปสลักนางอัปสราอันวิจิตร หลากสไตล์ อยู่ตามมุมของผนังเรือนปราสาท
จัดเป็นปราสาทแบบอโรคยศาลา 1 ใน 5 แห่ง ประจำเมืองพระนครหลวง
ที่เป็นต้นแบบสำคัญของปราสาท ในรูปแบบ/หน้าที่เดียวกัน
ที่หน้าบันด้านหน้า
ของปราสาทอาโรคยศาลา ต้นแบบทั้งห้าหลังของเมืองพระนคร
จะสลักเป็นรูปของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร “โลเกศฺวร
อาโรคยศาลี” 4 กร แสดงอานุภาพบารมี แห่งการบริบาลรักษาโรคร้าย
ทั้งทางกายและใจ แวดล้อมด้วยเทพธิดา นางฟ้าบนสรวงสวรรค์ ที่อยู่ในอาการเหาะเหิน โปรยดอกไม้พฤกษามาลัยสาย
และเหล่าเทพยดานั่งเรียงแถว ประณมพระหัตถ์ ถือดอกบัวปทุมที่พระอุระ แสดงการสักการะ
อยู่ด้านข้างและด้านล่าง
แต่กระนั้น รูปสลักพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรที่หน้าบัน
สำคัญของทุกปราสาท ก็ได้ถูกแก้ไขดัดแปลงให้เป็นรูปพระศิวะ หรือไม่ก็ถูกขูดทำลายสกัดออก
ตามความเชื่อของพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 กษัตริย์ผู้ปกครองอาณาจักรพระองค์ใหม่ ที่ทรงโปรดให้ฟื้นฟูลัทธิเทวราช
แห่งไศวะนิกายขึ้นใหม่ ส่วนรูปสลักพระพุทธเจ้าในส่วนประดับต่าง ๆ ของตัวปราสาท ถูกกะเทาะทิ้งออกทั้งหมด
แต่ทับหลัง ภายในคูหามุขหน้าของปราสาทตาพรมเก็ลนี้
กลับยังคงมีภาพสลักของ “ปัญจสุคต–ปัญจชินะ-ศรีฆนะ” (Paῆca Sugatā - Paῆca jina – Śrīghana Buddhas) หรือพระพุทธเจ้า
5 พระองค์ ในคติมหายาน-วัชรยาน
เหลือรอดจากการถูกขูดสกัดทำลาย ในยุคพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 มาได้
และถือเป็นภาพสลักพระพุทธเจ้า 5 พระองค์เพียงชิ้นเดียว ที่เหลือรอดจากอดีต ในเมืองพระนครศรียโศธระปุระก็ว่าได้
ที่ปราสาทหลังนี้
ยังมีหลักฐานสำคัญเกี่ยวเนื่องกับกิจกรรมการรักษาพยาบาลของอโรคยศาลา
เป็นภาพสลักแทรกอยู่ในวงในของลายก้านขดที่หน้ากระดานลวดบัวของฐานฝั่งทิศเหนือ
ที่อาจเป็นการเล่าเรื่องการตำยาสมุนไพรด้วยครกกระเดื่อง การทำคลอด
และการรักษาโรคโดย “ยัญกิจ” (Yãjaka - ชื่อผู้ทำงานประจำอาโรคยศาลาในจารึก)
ที่น่าตื่นเต้นก็คือ
ลวดลายในกรอบวงกลมแบบภาพนูนต่ำประดับผนังกรอบประตูด้านหน้าสุด
ยังแสดงให้เห็นภาพวิถีชีวิตของ “ผู้คน” ในอิริยาบถต่าง ๆ ซึ่งเมื่อได้พบเห็น ก็อาจมโนได้ว่า
เป็นภาพของผู้คนในชุมชน (สฺรุก) ที่อยู่แวดล้อมปราสาทอาโรคยศาลาหลังนี้
(เอาไว้ก่อน) มีทั้ง ภาพคนกับลิง ผู้หญิงตำข้าวด้วยครกกระเดื่อง คนหาบข้าว
ภาพนักบวชกำลังรักษาโรคด้วยการดัดตัว ภาพนักบวชถือกระจาดสาน นักบวชหาบของ หาบอ้อย
รูปกินรี รถเทียมวัวแบบเอาภาพสองวงมาต่อกัน บุคคลนั่งถือของ ถือพัด
ภาพสลักนูนต่ำประดับผนังกรอบประตู
ในกรอบวงกลม ในขนบรูปแบบวิถีชีวิต ของผู้คนในยุคโบราณนี้ ก็ยังไม่เคยพบเห็นจากปราสาทหินหลังอื่น
ๆ
ที่บริเวณโดยรอบปราสาทตาพรหมเก็ล
ยังมีร่องรอยของการจัดวางหิน เรียงเป็นแถวเป็นแนวไว้อย่างเป็นระเบียบ
โดยเฉพาะส่วนเรือนธาตุ และวิมานของตัวปราสาทฝั่งตะวันตกเฉียงใต้นั้น ได้หายไปเกือบทั้งหมด
ซึ่งตามลักษณะนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากการพังทลาย เพราะถ้าเป็นการพังทลาย หินก็จะถล่มลงมากองทับถม
จนกลายเป็นเนินดินอยู่โดยรอบ อย่างไม่เป็นระเบียบ แต่เป็นลักษณะของการ
"รื้อหิน" และชักลากมาวางแยกเป็นกลุ่มไว้อย่างตั้งใจ
ตัวปราสาทไม่มีร่องรอยการทับถมของดิน ที่ควรทับถมสูงจากเวลาอันยาวนาน
ดังตัวอย่างภายในห้องคูหามุขหน้า ที่ยังมีดินทับถมอยู่
เล่ากันมาโดยชาวเขมร
ให้ชาวฝรั่งเศสฟังว่า ปราสาทตาพรหมเก็ลหลังนี้แหละ ก็คือ “ปราสาทตาไผทตาพรหม” ในบันทึกของฝ่ายสยาม
ที่รัชกาลที่ 4 ทรงเลือกและทรงมีรับสั่งให้ พระสุพรรณพิศาลกับขุนชาติวิชา
เดินทางมาสำรวจปราสาทหินในฝั่งเขมร เพื่อจะรื้อย้ายมาไว้ในกรุงเทพ ฯ ซักหลัง
บันทึกการสำรวจกล่าวว่า “...พระสุพรรณพิศาลกับขุนชาติวิชากลับมาทูลรายงานว่า
ได้ไปสำรวจมาหลายตำบลแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นปราสาทใหญ่ ๆ รื้อมาคงไม่ได้
แต่ที่เมืองเสียมราฐ มีปราสาทไผทตาพรหม อยู่ 2 หลัง สูงแค่ 6 วา (12 เมตร)
เห็นว่าพอจะรื้อเข้ามาได้ ...”
ความสูงและจำนวนนับเพียง
2 หลัง จึงอาจไม่ใช่กลุ่มปราสาทตาพรหม ที่เป็นหมู่ปราสาทขนาดใหญ่ในท่ามกลางป่ารกชัฏ
ที่มีปราสาทใหญ่น้อยหลายสิบหลัง และชื่อนาม “ตาพรม” นั้น ก็มีอยู่แค่เพียงสองหลังในเมืองเสียมราฐ
คือปราสาทตาพรหมและปราสาทตาพรหมเก็ล ที่เป็นปราสาทขนาดเล็กหลังนี้เท่านั้น
ล้นเกล้า ฯ
รัชกาลที่ 4 ได้ทรงโปรดฯ ให้มีตราไปเกณฑ์คนเมืองพระตะบอง เมืองเสียมราฐ เมืองพนมศก
เป็นแรงงานให้พระพิศาลไปรื้อปราสาทผไทตาพรหมเข้ามา โดยแบ่งกำลังคนออกเป็น 4 ผลัด ๆ
ละ 500 คน ซึ่งต่อมาเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (นอง) ได้ส่งพระยาอานุภาพไตรภพ
เจ้าเมืองเสียมราฐ เข้ามากราบทูลว่า ได้เกณฑ์คนให้พระสุพรรณพิศาลตามรับสั่งแล้ว
แต่พอตั้งพิธีพลีกรรมบวงสรวงและลงมือรื้อปราสาทเมื่อวันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ.
2403 (วันพุธ ขึ้น 6 ค่ำ เดือน6 ปีวอก)
ปรากฏว่ามีชาวเขมรประมาณ 300 คนออกมาจากป่า เข้ายิงฟันพวกรื้อปราสาท
ฆ่าพระสุพรรณพิศาลกับพระวังและลูกชายของพระสุวรรณพิศาลตาย รวม 3 คน
ทั้งยังไล่แทงฟันพระมหาดไทย พระยกกระบัตร และคนอื่น ๆ บาดเจ็บอีกหลายคน
แต่พวกที่ถูกเกณฑ์แรงงานมาไม่ถูกทำร้าย จากนั้นก็หนีกลับเข้าป่าไป
ในพระราชพงศาวดาร
กรุงรัตนโกสินทร์ กล่าวว่า " ... แต่พระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ไม่ทรงลดละความพยายาม
กลับมีพระราชบัญชาให้เดินหน้าต่อไปให้เอาเข้ามาให้จงได้ เหล่าเสนาบดีในกรุงเทพ ฯ
อดรนทนดูไม่ได้ จึงเข้าชื่อกันทำเรื่องถวายว่า เหลือกำลังที่จะรื้อไหว
และถ้ารื้อลงแล้วเอาเข้ามาปรับปรุงทำขึ้นใหม่ไม่ได้ ก็จะเสียพระเกียรติยศไปอีก
เมื่อทรงทราบเรื่องราวแล้วจึงมีรับสั่งให้ระงับเสีย...” แต่ก็ยังไม่ทรงล้มเลิกแผนการนำปราสาทหินมาไว้ในกรุงเทพฯ
เสียเลยทีเดียว
ถึงมาถึงปี
พ.ศ. 2410 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงตระหนักว่าความหวังที่จะรักษาเมืองเขมรจากฝรั่งเศสไว้เป็นสิ่งไร้ประโยชน์
แม้แต่จะรื้อปราสาทเขมรสักหลังหนึ่งเข้ามาก็ประสบแต่ความล้มเหลวไม่ว่าวิธีใด
แต่เพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์แห่งความเป็นเจ้าอธิราชของราชวงศ์จักรีเหนือเขมร
จึงโปรดให้เจ้าพนักงานเดินทางไปเสียมราฐเพื่อถ่ายรูปปราสาทนครวัดจำลองเข้ามา
ดังความว่า
... เมื่อ ณ
เดือน 3 แรม 13 ค่ำ ปีขาล อัฐศก โปรดเกล้า ฯ
ให้พระสามภพพ่ายออกไปถ่ายแบบปราสาทที่พระนครวัด
จะจำลองทำขึ้นไว้ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อจะให้คนทั้งหลายเห็นว่าเป็นของอัศจรรย์"
ปราสาทตาพรหมเก็ล
ถึงแม้จะเป็นเพียงปราสาทหลังเล็ก ๆ
ที่ดูไม่มีความสำคัญตรงหน้าปราสาทนครวัดที่ผู้คนมักผ่านเลยไป
แต่กลับแฝงภาพสลักที่หาได้ยากในเมืองพระนคร
รวมทั้งภาพวิถีชีวิตผู้คนในยุคที่รุ่งเรืองและเรื่องราวในหน้าประวัติศาสตร์ของกรุงรัตนโกสินทร์
.jpg)
.jpg)




ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น