[สาระน่ารู้] ประวัติความเป็นมาของการกินเจ


 

นักบวชและศาสนิกชนในศาสนาพุทธนิกายมหายานจะบริโภคอาหารเจ ซึ่งปราศจาก เนื้อสัตว์และมีลักษณะที่แตกต่างจากอาหารมังสวิรัติในหลายประการ

 

คำดั้งเดิมของ เจหมายถึง อุโบสถ หรือ การรักษาศีล 8” คือคนกินเจมักจะถือศีล ร่วมกับการไม่กินอาหารพวกเนื้อสัตว์ อาหารเจเป็นอาหารที่ปรุงโดยปราศจากเนื้อสัตว์ รวมทั้งไม่มีส่วนประกอบอื่นใดที่นำมาจากเนื้อสัตว์ทุกประเภท ทั้งสัตว์เล็กและใหญ่ สัตว์บกหรือสัตว์น้ำใดๆ จึงมีคำกล่าวว่า กินเจหนึ่งมื้อ หมื่นชีวิตรอดตายที่สำคัญ ตามความเชื่อของคนจีนที่กินเจว่า การกินเจยังจะต้องไม่กินอาหารที่นำมาปรุงอาหารเจ คือ ต้องงดเว้นผักที่มีกลิ่นฉุน 5 ประเภท

การกินอาหารเจแบ่งเป็น 3 กลุ่มคล้ายการกินอาหารมังสวิรัติ คือ อาหารเจบริสุทธิ์ อาหารเจแบบดื่มนม และอาหารเจดื่มนมและกินไข่ด้วย

 

นอกจากนี้ คนกินอาหารเจมีเหตุผลถือหลักการว่า ผักผลไม้มีธรรมชาติเป็น หยางซึ่งหมายถึง ความสะอาด ความโปร่ง ความแจ่มใสแต่เนื้อสัตว์มีธรรมชาติตรงข้ามคือเป็น หยินซึ่งหมายถึง ความขุ่นมัว ความมืดมิด ความทึบตามธรรมชาติของร่างกายคนเรา มักมีเป็นความหยินมากเกินไป ดังนั้นเราจะต้องเพิ่มความเป็นหยางให้มากขึ้น ผู้ที่บำเพ็ญธรรม จะต้องขจัดสภาวะที่ขุ่นมัว ชำระล้างพิษโดยการกินเจ ชีวิตจึงจะมีสภาวะที่แจ่มใส ควรจะกินอาหาร พืชผักและผลไม้ให้มากขึ้น

 

อาหารเจมีประวัติดั้งเดิมมาจากประเทศจีนนานกว่าสองพันปีมาแล้ว ตั้งแต่ราชวงศ์ ของจักรพรรดิฟูซี (Fu Xi) แห่งเมืองซ้องโกะ (Zhong Guo) ซึ่งเคร่งครัดทางศาสนา มีการ กินอาหารเจ และเผยแพร่ลัทธิเต๋าโดยเหล่าจื๊อและขงจื๊อ โดยมีหลักธรรมะของจิตวิญญาณ ภายในร่างกาย การมีชีวิตตามวิถีธรรมชาติด้วยความเมตตาและการบริโภคอาหารเจ นับว่า คนจีนจึงกินอาหารเจมานานหลายพันปีแล้ว อาหารเจเกี่ยวข้องกับศาสนาและการปฏิบัติธรรม มากกว่าเพื่อสุขภาพ จึงมักเรียกติดปากกันว่า ถือศีลกินเจซึ่งมีความหมายครบถ้วนว่า ผู้ปฏิบัติธรรมที่รักษาศีลความเป็นมนุษย์จะต้องเจริญเมตตาและกรุณา จึงไม่ควรกินเนื้อสัตว์

มีตำนานหลายตำนานที่เกี่ยวกับประวัติการกินอาหารเจ ตำนานที่มีการกล่าวถึงกันมาก คือ ขาวจีนกินเจเป็นการบำเพ็ญกุศลเพื่อรำลึกถึงวีรชนซาวจีน 9 คน ที่เรียกว่า หงี่หั่วท้วงซึ่งได้ต่อสู้กับชาวแมนจูผู้เป็นศัตรูของประเทศอย่างกล้าหาญ ถึงแม้จะแพ้และถูกฆ่าตายหมดก็ตาม

อาหารเจ

 

ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ แต่เป็นในทางทิศทางตรงข้ามกับความเข้าใจผิดดังกล่าว เพราะผู้ที่กินอาหาร มังสวิรัติอย่างมีความเข้าใจดีและมีประสบการณ์เพียงพอจะไม่กินอาหารชนิดเดียวตลอดเวลา เขาจะต้องกินอาหารพืชผักผลไม้หลากหลายอย่างที่ผสมผสานกันได้อย่างครบถ้วน คือ ได้รับคาร์โบไฮเดรตจากข้าวที่เป็นข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือเสมอ รวมทั้งจากแป้งข้าวสาลี ได้รับโปรตีน จากถั่วชนิดต่างๆ เมล็ดงา เห็ด เมล็ดธัญพืช ได้รับไขมันจากเมล็ดพืชแทบทุกชนิด ได้รับวิตามินและแร่ธาตุจากผักและผลไม้ และยังได้รับสารประกอบอื่นๆ ที่ดีต่อสุขภาพอีกหลายกลุ่ม

 

มังสวิรัติที่ดีนั้นจะต้องมีความถูกต้อง ความสมบูรณ์ และความสมดุลทางโภชนาการ และไม่ขาด สารอาหาร รสของอาหารมังสวิรัติก็ทำได้ทุกรส ขึ้นอยู่กับศิลปะและวิธีการปรุงอาหารต่างหาก

 

ผู้ปรุงอาหารมังสวิรัติและอาหารเจมักรู้จักวิธีการเลือกชนิดเครื่องปรุงเครื่องแกงให้ เหมาะสม ผู้ปรุงจะสามารถทำอาหารมังสวิรัติได้ทุกรูปแบบและทุกชนิด เหมือนหรือเลียนอาหารรสเนื้อสัตว์ทั้งหลายได้ ไม่ว่าจะเป็นผัด แกง ซุป ต้มยำ ทำแซ่บได้ทุกรูปแบบที่อาหารเนื้อจะทำได้ ทั้งอาหารไทย-จีน-อินเดีย-ฝรั่งได้หมด ตั้งแต่ข้าวผัด ผัดถั่วงอก แกงเลียง ก๋วยเตี๋ยว ข้าวซอย ขนมจีน น้ำพริก ยำเห็ด จนถึงลาบและพะโล้เต้าหู้ ไส้กรอก แซนด์วิช พิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์ ก็ทำได้ทั้งนั้น เพราะมีวัตถุดิบหลายแบบ เนื้อเทียม โปรตีนเกษตร ปลาเทียม เป็ดย่างเทียมจากฟองเต้าหู้ ลูกชิ้นเทียมที่ทำมาจากแป้งบุก มีอาหารหลายชนิดผลิตโดยหลายบริษัทที่ทำจากแป้งหมี่ จากข้าวสาลี (หมี่กึ๊น) หรือกลูเตน (gluten) และแป้งบุก และอาหารดัดแปลงอีกมากมาย ปัจจุบันมีร้านอาหารมังสวิรัติ อาหารเจมากแทบทุกจังหวัดทั่วประเทศ มีอาหารเจสำเร็จรูปแบบ ซอง ถุง กระป๋อง จำหน่ายมากขึ้น มีหนังสือตำราเกี่ยวกับอาหารมังสวิรัติหลายเล่มจำหน่าย แสดงถึงความนิยมการกินมังสวิรัติมีมากขึ้นเรื่อยๆนั่นเอง

 

หลายคนมักจะพูดเกี่ยวกับอาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์ว่า อาหารเจหรือ กินเจมากกว่า คำว่า อาหารมังสวิรัติหรือ กินมังสวิรัติทั้งที่หมายถึงอาหารพืชผักอะไรก็ไต้ แต่ไม่มี เนื้อสัตว์ คงเนื่องจากว่า คำว่า เจเป็นคำเดี่ยว จึงเรียกได้ง่ายกว่าคำว่า มัง-สะ-วิ-รัติซึ่งมี 4 พยางค์

 

สรุปว่า อาหารมังสวิรัติมีหลักการเดียวกันกับอาหารเจ คือ การงดการบริโภคอาหาร พวกเนื้อสัตว์ รวมทั้งเครื่องปรุงรสที่ทำมาจากสัตว์ เช่น กะปิ น้ำปลา โดยสิ้นเซิง และมีการใช้ น้ำมันพืช ซีอิ๊ว และเต้าหู้ การกินอาหารมังสวิรัติและอาหารเจเป็นการปฏิบัติด้วยตนเอง ให้เปี่ยมไปด้วยศรัทธา มีความเมตตาธรรมต่อสรรพสัตว์ และมุ่งมั่นเพื่อสุขภาพที่ดีเหมือนกัน แต่อาหารมังสวิรัติมีความแตกต่างจากอาหารเจในส่วนประกอบอาหารบางอย่าง คือส่วนประกอบ อาหารเจจะเข้มงวดมากกว่าอาหารมังสวิรัติในการละเว้นพืชที่มีกลิ่นแรง ฉุนจัด และเผ็ดร้อน

 

คนทั่วไปอาจสับสนในความหมายที่แตกต่างกันระหว่างอาหารมังสวิรัติและอาหารเจจึงเรียกอาหาร ที่ไม่มีเนื้อสัตว์ทั่วไปโดยคำง่ายและสั้นว่า อาหารเจซึ่งอาจเป็นอาหารเจจริงๆ หรืออาหารมังสวิรัติ ก็ได้ เนื่องจากความแตกต่างในความเข้าใจหลักการและเหตุผล นิสัย วัฒนธรรม ประเพณี ศาสนา และการดำรงชีวิตของแต่ละคน ทำให้มีผู้ปฏิบัติตนเป็นนักมังสวิรัติด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน บางกลุ่มอาศัยเหตุผลเพื่อสุขภาพมากกว่าเหตุผลทางด้านอื่นๆ

 




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศาลาการเปรียญไม้ทรงโบราณ ที่อำเภอเสาไห้

ตำนาน และประวัติความเป็นมา ของอำเภอเถิน จังหวัดลำปาง

[คติธรรม] คมธรรมของหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ