ประวัติพระพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก
ประวัติพระพุทธชินราช
พระพุทธชินราช เป็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะงดงาม เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่
มีหน้าตักกว้าง ๕ ศอก ๑ คืบ ๕ นิ้วเศษ ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
ในวิหารใหญ่ทางทิศตะวันตก หันพระพักตร์ไปทางแม่น้ำ
เป็นพระพุทธรูปที่สำคัญองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย
พระมหากษัตริย์ไทยทั้งสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์
ทรงเคารพนับถือสักการบูชามาโดยตลอด วัดพระศรีรัตนมหาธาตุนี้ เป็นวัดหลวงชั้นเอก
"วรมหาวิหาร" ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่าน ฝั่งตะวันออก ริมถนนพุทธบูชา
ตําบลในเมือง อําเภอเมือง จ.พิษณุโลก ชาวเมืองพิษณุโลกเรียกพระพุทธชินราช ว่า
" หลวงพ่อใหญ่"
พระพุทธชินราช เป็นพระพุทธรูปศิลปะแบบปางมารวิชัยและสุโขทัย
เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองมาตั้งแต่โบราณ มีตำนานจาก
พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ซึ่งทรงพระราชนิพนธ์ใน พ.ศ. ๒๔๐๙ โดยอาศัยหลักฐานจากพงศาวดารเหนือ
แต่หลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดียุติได้ดังนี้คือ
พระพุทธชินราชสร้างโดยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พญาลิไท) กษัตริย์ลำดับที่ ๕ แห่งกรุงสุโขทัย
ซึ่งในตำนานพระพุทธชินราช เรียกว่า พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก
โดยสร้างพระพุทธรูปพร้อมกัน ๓ องค์ เพื่อประดิษฐานในพระวิหาร
ของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองพิษณุโลกเมื่อ พ.ศ. ๑๙๐๐ มีช่างหล่อพระพุทธชินราช เป็นช่างพราหมณ์ฝีมือดี
๕ นาย คือ ๑. บาอินท์ ๒. บาพรหม ๓. บาพิษณุ ๔. บาราชสังข์ ๕. บาราชกุศล
อีกหนึ่งตำนานเมืองเหนือได้กล่าวว่า พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฏก
เจ้าแผ่นดินเชียงแสน ทรงมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า
ได้ทรงเล่าเรียนศึกษาพระไตรปิฎกจนคล่องแคล่วชำนิชำนาญทำนุบำรุงกิจการพระพุทธศาสนา
ให้เจริญวัฒนาแผ่ไพศาลไปทั่วทุกทิศานุทิศ
ถึงแม้พระทัยของพระองค์จะยึดมั่นในพระพุทธศาสนาเพียงใดก็ตาม
ก็หาได้เว้นการแผ่พระบรมเดชานุภาพขยายอาณาเขตไม่
จึงได้หาเหตุกรีธาทัพยกมาตีเมืองสวรรคโลก หรือศรีสัชนาลัย พระเจ้ากรุงศรีสัชนาลัย
ได้ยกกองทัพออกต่อสู้ กองทัพได้ปะทะกันหลายครั้ง
พลทหารทั้งสองฝ่ายล้มตายเป็นอันมาก พระเจ้ากรุงศรีสัชนาลัยตกอยู่ทางฝ่ายเสียเปรียบ
จึงได้เจรจาสงบศึก เริ่มสร้างความสัมพันธไมตรีให้มีต่อกันตามเดิม
ได้ยกพระราชธิดาถวายต่อพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก เมื่อพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฏก ได้พระราชธิดาก็ทรงพอพระทัยจึงยกทัพกลับ
ตั้งพระนางไว้ในตำแหน่งอัครมเหสี ทั้งสองพระองค์มีพระราชโอรส ๒ องค์
องค์หนึ่งทรงพระนามว่า ไกรสรราช อีกองค์หนึ่งทรงพระนามว่า ชาติสาคร
พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกได้ทรงสร้างเมืองขึ้นใหม่ที่ตำบลสองแคว
เพื่อให้พระราชโอรสปกครอง ได้ตั้งชื่อเมืองที่่สร้างใหม่ว่า
"เมืองพิษณุโลก"
เนื่องจากพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก ทรงมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา
จึงได้ทรงดำริว่า จะสร้างพระพุทธรูปไว้เป็นศรีแก่เมืองพิษณุโลก
ได้ให้ช่างเมืองสุโขทัยกับเมืองเชียงแสน ร่วมกันแกะสลักแบบจำลองพระพุทธรูปขึ้น ๓
องค์ คือ พระพุทธชินราชองค์หนึ่ง พระพุทธชินสีห์องค์หนึ่ง พระศรีศาสดาองค์หนึ่ง
ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่งดงามมาก แล้วหล่อพระพุทธรูปทั้งสามองค์ด้วยทองสัมฤทธิ์
เมื่อวันเพ็ญเดือนยี่ ปีจอ พ.ศ. ๑๔๙๙ เมื่อเย็นแล้วได้แกะแบบพิมพ์ออก
รูปของพระชินสีห์ และพระศรีศาสดาเนื้อทองได้แล่นตลอดเสมอกันติดสนิทเรียบร้อยสมบูรณ์ดี
แต่รูปพระพุทธชินราชทองหาได้แล่นติดกันไม่ ช่างได้ทำรูปหล่อใหม่อีกถึง ๓ ครั้ง
ทองก็ไม่ติด ยังความเศร้าโทมนัสแก่พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกเป็นอย่างยิ่ง
พระองค์ทรงตั้งสัตยาอธิษฐาน ร่วมกับพระอัครมเหสี ในการที่จะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้วัฒนาถาวรสืบไป
แล้วให้ช่างสร้างรูปแบบจำลองใหม่
คราวนี้เทวดาได้แปลงตนเป็นปะขาวมาช่วยสร้างแบบจำลองด้วย เมื่อสร้างแบบจำลองได้แล้วก็เริ่มเททองใหม่
เมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖ ปีกุน พ.ศ. ๑๕๐๐ พระพุทธรูปก็สำเร็จเป็นอันดี
เทวดาปะขาวนั้นก็หายไป เศษทองที่เหลือจากหล่อพระพุทธรูปทั้งสามองค์
ได้รวบรวมหล่อพระพุทธรูปขึ้นอีกองค์หนึ่ง ให้ชื่อว่า พระเหลือ พระพุทธรูป ๔ องค์
ได้ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก
ถ้าจะพิจารณากันในแง่ประวัติศาสตร์ของชาติไทยแล้ว
มีข้อความที่คลาดเคลื่อนกันอยู่มาก เช่นเมื่อตอนพ่อขุนรามคำแหงครองราชสมบัติอยู่ ณ
กรุงสุโขทัย เมื่อพิษณุโลกยังเป็นหัวเมือง มิได้มีฐานะเป็นเมืองลูกหลวง
อีกประการหนึ่ง ลักษณะพระพุทธรูป ๓ องค์นี้ เป็นฝีมือช่างเชียงแสนผสมสุโขทัยจริง
แต่เป็นฝีมือช่างรุ่นหลัง จะสังเกตเห็นได้จากชายจีวรซึ่งยาวแบบลังกา ปลายนิ้วพระหัตถ์ยาวเสมอกัน
ซึ่งผิดกับสมัยกรุงสุโขทัยและเชียงแสนรุ่นก่อน จะทำนิ้วพระหัตถ์ไม่เท่ากับ
หลักฐานยืนยันอีกอย่างหนึ่งในพงศาวดารเมืองเหนือว่า
พระเจ้าแผ่นดินที่ปรากฏพระเกียรติว่า ทรงรอบรู้พระไตรปิฏกนั้น มีพระองค์เดียว คือ
พระมหาธรรมราชาลิไทย เป็นมหาอุปราชครองเมืองศรีสัชนาลัย หรือสวรรคโลก
ต่อมาได้ขึ้นครองราชสมบัติ ณ กรุงสุโขทัย เป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ ๕
แห่งราชวงศ์พระร่วง ทรงมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่งนัก
ได้เสด็จออกทรงผนวชเป็นพระภิกษุอยู่ระยะหนึ่ง ได้ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือไตรภูมิกถา
หรือที่เราเรียกกันว่า ไตรภูมิพระร่วง ทรงชำระสอบสวนพระไตรปิฎก
หลักฐานเรื่องราวที่กล่าวมานี้ ทำให้เชื่อได้ว่า พระเจ้าแผ่นดินที่พงศาวดารเมืองเหนือเรียกว่า
พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกนั้นคือ พระมหาธรรมราชาลิไท นี่เอง แต่ที่สำคัญชื่อเมืองและ
พ.ศ. ผิดไป เมื่อพระองค์ครองราชย์แล้ว ได้ทรงสร้างเมืองพิษณุโลกขึ้นเป็นเมืองลูกหลวง
และได้โปรดให้หล่อพระพุทธรูปขึ้น ๓ องค์ ในราวพุทธศักราช ๑๙๐๐ ลักษณะพระพุทธรูป จึงผิดกับพระพุทธรูปเมืองสุโขทัยและเชียงแสนรุ่นก่อน
ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสรรเสริญว่า
พระพุทธชินราชนี้เป็นพระปฏิมากรที่ประเสริฐล้ำเลิศ
ประกอบไปด้วยพระพุทธลักษณะที่งดงาม อันเทพยาดา อภิบาลรักษา
ย่อมเป็นที่เคารพนับถือมาแต่ครั้งโบราณกาล แม้พระเจ้าแผ่นดินอยุธยาที่มีพระบรมเดชานุภาพมากก็ทรงทำการสักการบูชามาหลายพระองค์
ในสมัยอโยธยาเป็นราชธานี สมัยพระมหินทราธิราช พระมหาจักรพรรดิ
หรือพระเจ้าช้างเผือก ได้มอบราชสมบัติให้แก่พระราชโอรส คือ พระมหินทราธิราช
แล้วเสด็จไปเมืองพิษณุโลก ได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเป็นอันดี
แล้วแต่งตั้งนางชีและพระภิกษุจำนวนมากให้อยู่รักษาวัดแล้วเสด็จกลับ
เมื่อเสด็จมาถึงกรุงศรีอยุธยา ได้ทรงผนวชพร้อมกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เป็นจำนวนมาก
ต่อมาในแผ่นดินพระมหาธรรมราชา
สมเด็จพระนเรศวรราชโอรสเสด็จกลับมาจากกรุงหงสาวดี เพราะถูกพม่าเอาตัวไปเป็นประกัน
ขณะนั้นไทยเสียกรุงแก่พม่า เนื่องจากคนไทยขาดความสามัคคี
เมื่อพระนเรศวรเจริญวัยได้เสด็จกลับ ครั้นมาถึงเมืองพิษณุโลกทรงเปลื้องเครื่องทรงออกบูชาถวายพระพุทธชินราช
ได้ทำการสมโภชตลอด ๓ วัน ๓ คืน อนึ่ง
เมื่อพระนเรศวรถูกพระเจ้านันทะบุเรงกษัตริย์พม่าคิดร้าย
พระองค์ทรงทราบจากพระมหาเถรคันฉ่อง และพระยาเกียรติ พระยารามที่มากราบทูล จึงได้พาท่านทั้งสามกลับมายังกรุงศรีอยุธยา
ทรงโปรดให้มหาเถรคันฉ่อง จำพรรษาอยู่ ณ วัดมหาธาตุ พระราชทานจังหันนิตยภัต
และสมณศักดิ์ต่างๆ แล้วสมเด็จพระนเรศวรเสด็จไปยังเมืองพิษณุโลกอีกครั้ง
ก็ทรงเปลื้องเครื่องสุวรรณาลังการและขัตติยาภรณ์ กระทำการสักการบูชาพระพุทธชินราช
ในแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
เมื่อพระองค์ทรงกระทำยุทธหัตถีชนะพระมหาอุปราชา ที่ตำบลหนองสาหร่าย ดอนเจดีย์
จังหวัดสุพรรณบุรี เสด็จกลับมาได้ตรัสลงโทษให้ประหารชีวิตแม่ทัพนายกองเสีย
เพราะตามเสด็จไม่ทัน แต่สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว พร้อมด้วยพระราชาคณะ ๔๕ รูป
เข้าไปถวายพระพรขออภัยโทษ พระองค์ก็ทรงพระราชทานให้
ดังมีเรื่องกล่าวไว้ในประวัติศาสตร์ว่า พระนเรศวรทรงตรัสกับพระพนรัตน์ว่า
"พวกนายทัพนายกองมันอยู่ในกระบวนทัพของโยม มันกลัวข้าศึกยิ่งกว่าโยม
ปล่อยให้โยมสองคนพี่น้องฝ่าเข้าไปท่ามกลางข้าศึก กระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาได้ชัยชนะแล้วจึงเห็นหน้ามัน
หากว่าบารมีของโยมหาไม่แผ่นดินจะเป็นข้าของชาวหงสาวดีเป็นแน่
ฉะนั้นโยมจึงให้ลงโทษตามกฎพระอัยการศึก"
สมเด็จพระพนรัตน์ถวายพระพรว่า
"นายทัพนายกองจะไม่รักใคร่ไม่เกรงกลัวพระราชสมภารเจ้านั้นหามิได้ หากแต่พระเกียรติของพระราชสมภารเจ้าเป็นมหัศจรรย์
เหมือนเป็นครั้งสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผจญพระยามาราธิราชในวันตรัสรู้
ถ้ามีเทพยดาเข้าช่วยแม้จะมีชัยแก่พระยามารก็หาเป็นอัศจรรย์ไม่
ขอพระราชสมภารเจ้าอย่าทรงโทมนัสน้อยพระทัยไปเลย
ทั้งนี้เพราะเทพยดาเจ้าสำแดงพระเกียรติยศ" เมื่อพระนเรศวรทรงสดับดังนั้นก็ทรงคลายพระพิโรธ
ปราโมทย์ในพระหฤทัย ให้อภัยโทษตามคำขอ
อนึ่ง...ในรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรนี้
พระองค์ได้เสด็จไปนมัสการพระพุทธชินราชหลายครั้ง
ครั้งหนึ่งได้ทรงปิดทองด้วยพระหัตถ์พระองค์เอง และให้มีมหรสพสมโภชตลอด ๗ วัน ๗ คืน
และในแผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาธิราช
พระราเมศวรเสด็จไปยังเมืองพิษณุโลกได้เห็นน้ำพระเนตรของพระพุทธชินราชตกออกมาเป็นสีแดงคล้ายพระโลหิต
ต่อมาในแผ่นดินรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๕
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช
ได้ทรงสร้างวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามขึ้น เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๒
ได้ทรงโปรดให้กรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ (ต้นตระกูล จิตรพงศ์) ออกแบบพระอุโบสถ
ซึ่งเป็นพระอุโบสถที่งดงามมาก สร้างด้วยหินอ่อนล้วน
เมื่อสร้างเสร็จแล้วพระองค์ก็ดำริหาพระพุทธรูปที่จะตั้งเป็นพระประธานในพระอุโบสถ
ทรงเห็นว่าพระพุทธชินราชเป็นพระพุทธรูปงดงามมาก
สมควรที่จะประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถ ครั้นจะอัญเชิญพระพุทธชินราชลงมา
ก็เห็นว่าเป็นที่นับถือของประชาชนชาวเมืองเป็นอันมาก
จึงได้จำลองพระพุทธชินราชขึ้นมาใหม่
และได้เสด็จไปเททององค์พระปฎิมาและสมโภชพระพุทธชินราช เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๒
เสร็จแล้วจึงโปรดให้อัญเชิญ พระพุทธชินราชจำลอง
มาประดิษฐานเป็นพระประธานอยู่ในพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตร เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม
พ.ศ. ๒๔๔๔ ทรงถวายสายสะพายเครื่องราชอิสริยาภรณ์พนรัตน์ เป็นพุทธบูชา
ทรงปิดทองพระพุทธชินราชจำลองด้วยพระหัตถ์แล้วทำการสมโภช ๓ วัน ๓ คืน
ในสมัยก่อนมีประเพณีสรงน้ำประจำปีในเทศกาลสงกรานต์
และมีประเพณีการห่มผ้าองค์หลวงพ่อ
แต่ปัจจุบันได้ยกเลิกไปเนื่องจากเกรงว่าจะเป็นการทำให้องค์พระชำรุด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น