[ย้อนรอยประวัติศาสตร์] กลุ่มชาติพันธุ์โส้
กลุ่มชาติพันธุ์โส้
คำว่าโส้ หรือ โซ่ หรือกระโซ่
เป็นคำที่เรียกชื่อชนกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ในภาคอีสาน
ชาวโส้จะมีลักษณะชาติพันธุ์ของมนุษย์ในกลุ่มมองโกลอยด์ ตระกูลออสโตร – เอเชียติก
มอญ – เขมร เป็นกลุ่มเดียวกับพวกแสก
และกะเลิงจากบันทึกกรมพระยาดำรงราชานุภาพเมื่อครั้งเสด็จตรวจราชการที่มณฑลอุดรและมณฑลอีสาน
เมื่อปี พ.ศ. 2449 อธิบายว่ากระโซ่
คือพวกข่าผิวคล้ำกว่าชาวเมืองอื่น มีภาษาพูดของตนเอง อาศัยอยู่ในบริเวณมณฑลอุดร
มีมากเป็นปึกแผ่นที่เมืองกุสุมาลย์มณฑลในจังหวัดสกลนคร
นอกจากนี้พบว่ามีชาวโส้อาศัยกันเป็นกลุ่ม ๆ กระจายอยู่ทั่วไป เช่น
ที่อำเภอโพนสวรรค์ จังหวัดนครพนม อำเภอเขาวง อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
อำเภอเมือง อำเภอดอนตาล อำเภอคำชะอี อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร
ถิ่นฐานเดิมของชาวโส้ ชาวโส้
เดิมมีถิ่นอาศัยอยู่บริเวณภาคกลางของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
อาศัยกระจัดกระจายในเขตการปกครองของเมืองภูวดลสอางค์ หรือเมืองภูวนากรแด้ง
เมื่อสมัยขึ้นกับราชอาณาจักรไทย ชาวโส้อาศัยอยู่ในเมืองพิณ เมืองนอง เมืองวัง –
อ่างคำ และเมืองตะโปน (ปัจจุบัน คือ เมืองเซโปนของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว)
การอพยพของชาวโส้สู่จังหวัดมุกดาหารและสกลนคร ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์
ชาวโส้ที่เข้ามาอาศัยในเขตจังหวัดมุกดาหารอพยพเข้ามาในช่วงสมัยรัชกาลพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
พ.ศ. 2359 ตามตำนานกล่าวว่าเป็นคำสั่งของแถน โดยผู้ทรงเจ้าทรงผีของชาวโส้เป็นผู้ประกาศบอกกันทั่วไปว่าในไม่ช้าจะเกิดกลียุคในบริเวณที่อาศัยนี้
ได้แก่ บริเวณเมืองตะโปน จึงขอให้ลูกหลานที่รักอิสระ รักสงบ
ให้พากันอพยพหนีข้ามแม่น้ำโขงไปอยู่ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์
ตั้งแต่บรรพบุรุษเดิมให้อยู่บริเวณเทือกเขาภูพานเพราะบริเวณดังกล่าวมีหนองน้ำศักดิ์สิทธิ์เป็นที่อุดมสมบูรณ์
จะทำให้ชาวโส้มีความรุ่งเรืองต่อไป
ดังนั้นผู้ที่เชื่อคำทำนายก็ได้เดินทางมาตามคำบอกนั้นเขตนั้นในปัจจุบัน คือ
อำเภอดงหลวง จังหวัด
ชาวโส้ที่อพยพเข้าสู่จังหวัดสกลนคร เชื่อว่าน่าจะมีบรรพบุรุษอยู่ที่เมืองมหาชัยกองแก้ว
เมืองบก เมืองวัง เมืองบ้ำ โดยเข้ามาอยู่ในบริเวณอำเภอกุสุมาลย์
จังหวัดสกลนครปัจจุบัน
สาเหตุที่ชาวโส้อพยพเข้าสู่บริเวณนี้สามารถสันนิษฐานได้ดังนี้
ในสมัยรัชกาลที่ 3
ได้มีการทำสงครามกับเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ กองทัพไทยได้ยึดนครเวียงจันทน์ ในเดือนพฤษภาคม
พ.ศ. 2371 และเข้าทำลายนครเวียงจันทน์อีกในเดือนตุลาคม
พ.ศ. 2371 เจ้าอนุวงศ์ได้เข้าไปพึ่งบารมีของญวน
และพาเครือญาติอพยพหนีไปอยู่ที่เมืองเว้ เมืองกะปอม และในเขตญวน
หลังจากนั้นกองทัพไทยได้ยึดเมืองมหาชัยกองแก้ว
ซึ่งเป็นเมืองที่มีคนอาศัยอยู่จำนวนมากแล้วนำเอาชาวโส้ ชาวข่าอื่น ๆ
ข้ามฝั่งภาคอีสาน ชาวโส้จำนวนมากได้อาศัยอยู่ในเขตอำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร
วิถีชีวิตของชาวโส้ ด้วยกลุ่มชาติพันธุ์โส้
เป็นกลุ่มชนที่มีความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งที่เป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ (Supernaturalism)
และความเชื่อตามคติขอม
ชาวโส้ยังมีการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีจากบรรพบุรุษอย่างเหนียวแน่น เช่น
พิธีกรรมเกี่ยวกับการคิด การแต่งงาน การรักษาคนป่วย พิธีกรรมเกี่ยวกับการตาย
และพิธีกรรมเกี่ยวกับการละเล่น ได้แก่ การเล่นลายกลอง การเล่นโส้ทั่งบั้ง
ชาวโส้จะนำเอาดนตรีเข้าไปบรรเลงเป็นส่วนประกอบพิธีกรรม
พิธีกรรมเกี่ยวกับการเกิด เมื่อหญิงชาวโส้ตั้งครรภ์ได้ 8
เดือน ชาวโส้จะทำ "พิธีตัดกำเนิด" โดยใช้หมอที่มีวิชาอาคม
ซึ่งจะเป็นหมอผู้ชายหรือหญิงก็ได้แต่ต้องไม่เป็นหม้ายมาทำพิธีตัดกำเนิด
โดยมีเครื่องคายในการทำพิธีกรรมดังนี้
1. กระทงสามเหลี่ยม
9 ห้อง จำนวน 1
กระทง
2. ข้าวดำ
ข้างแดง แกงส้ม แกงหวาน
3. น้ำใบส้มป่อย
1 ขัน
4. ด้าย
ทำด้วยฝ้ายแท้สีขาว และสีดำ
5. เครือสูด
(เถาวัลย์ชนิดหนึ่ง)
ฝ้ายทำด้วยด้ายสีขาวและสีดำ จะผูกคาดศีรษะของผู้ตั้งครรภ์
อีกปลายหนึ่งผูกไว้ที่กระทง และอีกข้างหนึ่งสามีของผู้ตั้งครรภ์จะจับไว้
ผู้ตั้งครรภ์ก็จะนั่งเหยียดเท้าทั้งสองข้างไปทางกระทง โดยมีอุปกรณ์ที่ใช้เบิกผี
มีดังนี้
1. ผ้าถุง
1 ผืน
2. ผ้าขาวม้า
1 ผืน
3. ไก่ต้มสุก
1 ตัว
4. เหล้า
1 ไห
5. เงิน
12 บาท
เสร็จแล้วหมอผีจะทำพิธีเอาข้าวดำ ข้าวแดง
ไปจ้ำตัวผู้ตั้งครรภ์เพื่อเอาแม่เสนียดออกจากตัวผู้ตั้งครรภ์ทิ้งไว้ในกระทง
พร้อมกับนับ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า ต่อไปหมอจะเบิกผีพรายด้วยคาถา
แล้วหมอจะใช้ง้าว (ดาบ) ตัดด้าย และเถาวัลย์
เสร็จแล้วจึงนำกระทงไปทิ้งตามทิศที่หมอบอก ผู้นำกระทงไปทิ้งเวลากลับจะต้องหักกิ่งไม้ติดมือมาด้วยเพื่อที่จะเอามาปัดสิ่งชั่วร้ายออกจากบ้าน
จึงเป็นเสร็จพิธีตัดกำเนิด
พิธีกรรมเกี่ยวกับการรักษาคนป่วย ชาวโส้จะมีความเชื่อในเรื่องผีมาก
และชาวโส้จะแบ่งประเภทของผีเป็น 2 ประเภท คือ ผีมูล และผีน้ำ เป็นผีที่อยู่ตามธรรมชาติ
เช่น ผีฟ้า ผีแถน ผีไร่ ผีนา ผีตามป่าตามเขา
ส่วนผีมูลเป็นผีที่มาจากเชื้อสายบรรพบุรุษ เมื่อจะกระทำการใด
ๆหรือเมื่อเจ็บป่วยชาวโส้จะทำพิธีกรรมเหยา
การเหยาของชาวโส้ แบ่งออกเป็นกลุ่ม ดังนี้
1. การเหยาลงสนาม
เป็นการเหยาตามฮีตคองของหมอเหยา
ผู้ที่เข้าร่วมพิธีกรรมจะต้องเป็นผู้ป่วยที่หมอเหยาเคยรักษาแล้วหายป่วย
ที่ลงสนามผีน้ำและผีมูล การลงสนามของผีมูลจะทำกัน 3 ปี
ต่อ 1 ครั้ง
แต่ผีน้ำจะลงสนามทุกปีซึ่งการเหยาจะลงสนามช่วงเดือน 3 – 4
ของเดือนทุกปี
2. การเหยาลงทำไร่นา
จะทำการเหยาในช่วงก่อนการลงปักดำนาจุดประสงค์ในการเหยาเพื่อให้ผีไร่นาช่วยดลบันดาลให้น้ำท่าข้าวกล้าในนาอุดมสมบูรณ์
3. การเหยาตัดกำเนิด
เป็นการเหยาเพื่อตัดกำเนิดในการคลอดลูก
เพื่อหญิงชาวโส้ที่จะคลอดลูกและลูกที่คลอดออกมาสมบูรณ์แข็งแรงไม่มีพิษภัย
4. การเหยาเพื่อเสี่ยงทายเป็นการเหยาเพื่อหาสาเหตุ
เมื่อพบสาเหตุแล้ว
จะทำการเหยาเพื่อแก้ซึ่งเป็นขั้นตอนหนึ่งของการเหยาเพื่อรักษาคนป่วย
5. การเหยาเพื่อการรักษาคนป่วย
คนโส้เชื่อว่าคนป่วยเกิดจากการกระทำของผีน้ำหรือผีมูลก็ได้
ในการเหยาทั้ง 5 ประเภท
จะมีเครื่องคายหรือเครื่องเซ่นสรวงเหมือนกัน
ในกรณีการเหยาเพื่อรักษาคนป่วย ชาวโส้มีความเชื่อว่า
การเจ็บไข้ได้ป่วยเกิดจากการกระทำของผี การรักษาคนป่วยขั้นแรกที่ชาวโส้นึกถึง คือ
การเหยา โดยมีขั้นตอนการดำเนินการ คือ ถ้าของบ้านที่มีคนป่วยจะต้องหาหมอมาเหยา
และหาหมอล่ามและหมอแคน ต่อจากนั้นจะต้องเตรียมค่าคาย
ที่จะให้หมอเหยาขึ้นบ้านเป็นเงิน 2 บาท ขันธ์ 5
เหล้า 1 ขวด และไข่ไก่ 1
ฟอง หลังจากนั้นหมอเหยาจะเสี่ยงหาสาเหตุว่าโดนกระทำของผีตนใด อุปกรณ์การเสี่ยงทาย 2
อย่าง คือ เสี่ยงทายจากการตั้งไข่ กับการเสี่ยงทายจากการนับเม็ดข้าวสาร
ว่าเป็นคู่หรือคี่ว่าเหยาแล้วจะหายหรือไม่หาย
เมื่อทราบสาเหตุแล้วก็จัดการหาคายลงดิน มี
1. ผ้าซิ่นผืน
แพรวา
2. เงินค่าคาย
60 บาท
3. กระทง
1 กระทง (เป็นกระทงเพื่อเซ่นสรวง) ประกอยด้วย
- ดอกไม้แดง
- เทียน
- ข้าวดำ
ข้าวแดง
- หมากพลู
- เมี่ยง
ทำจากใบมะยอใบมะยม หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ
- รูปคน
ซึ่งหมายถึง คนป่วยทำจากกาบกล้วย
- รูปช้าง
ม้า ทำจากดิน
- เรือ
ทำจากกาบกล้วย
- เครือซูด
พิธีกรรมเกี่ยวกับการตาย ชาวโส้เรียกพิธีกรรมเกี่ยวกับการตายว่า
"ซางกะมูด" เป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ของชาวโส้ ซาง แปลว่า กระทำ กะมูด
แปลว่า ผี ซางกะมูดมีความหมายรวมกันว่าการกระทำผีดิบให้เป็นผีสุก
ก่อนจะนำคนตายไปฝังหรือเผา หากไม่กระทำพิธีซางกะมูดผีนั้นจะยังเป็นผีดิบอยู่
ซึ่งไม่เป็นมงคลจะทำให้วิญญาณไปผุดไปเกิดไม่ได้
การกระทำพิธีซางกะมูดจะทำศพคนตายที่มีอายุตั้งแต่ 20
ปีขึ้น หากศพที่มีการตายตามปกติก็จะกระทำซางกะมูดได้เลย คือ ทำก่อนไปเผา
แต่ศพที่ตายโดยอุบัติเหตุชาวโส้ถือว่าเป็นการตายผิดปกติจะทำพิธีก็ต่อเมื่อเวลาผ่านไป
1 เดือนแล้ว
ขั้นตอนในการทำพิธีซางกะมูด ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะกรณีศพตายปกติ
มีขั้นตอนการทำซางกะมูด 6 ขั้นตอน ดังนี้
1. ขั้นหาฤกษ์ยาม
เมื่อมีคนตายเกิดขึ้น ญาติผู้ตายจะรีบแจ้งข่าวการตายให้นิ๊ว (น้าบ่าว) ทราบทุกคน
แจ้งข่าวให้เฒ่าแก่เจ้าฮีตหรือพิธีกรประจำหมู่บ้านเพื่อหาฤกย์ยามในการเก็บศพ เผา
หรือฝัง (วันอังคารจะเป็นวันคะลำ / ขะลา)
เมื่อหาฤกย์ยามได้แล้วญาติผู้ตายก็จะบอกนั๊วเป็นครั้งที่สองเพื่อให้ทราบวันเวลาในการซางผี
ซึ่งครั้งแรกจะเป็นการบอกข่าวการตายแก่ยาฮีต (พิธีกรประจำหมู่บ้าน) และบอกเขย
(หมายถึงจุ้มเขยทั้งหมด)
2. ขั้นตอนรับนิ๊ว
(น้าบ่าว) ในวันแรกจะจัดของต้องรับน้าบ่าวดังนี้ จัดสำรับกับข้าว 2
สำรับไข่ไก่สำรับละ 1 ฟอง ส่วนน้าบ่าวจะเตรียมเหล้าไห 2 ไห
โดยให้พิธีกรหรือเฒ่ายาฮีต 1 ไห และมอบให้เฒ่าจ้ำผี 1 ไห
3. ขั้นกระทำพิธีในวันที่สองของการตาย
แจ้งให้น้าบ่าวทราบเรื่องซางกะมูด น้าบ่าวจะเตรียมเหล้าไห 2 ไห
มอบให้พิธีกรหรือยาฮีต 1 ไห เฒ่าจ้ำผีที่ตาย 1 ไห
4.ขั้นก่อนการเคลื่อนย้ายศพออกจากบ้าน
เฒ่าจ้ำจะบอกผีหรือบอกซางศพว่า
"ถึงเวลาจะไปอยู่ในที่มงคลแล้วไปอยู่บ่อนฮ่มบ่อนเย็นเด้อ"
พร้อมกับหยิบข้าวสารหว่านไปที่ซากศพนั้น จากนั้นก็จะทำพิธีกรรมซางกะมูดครั้งสุดท้ายก่อนที่จะนำศพไปป่าช้า
การทำพิธีซางกะมูดครั้งสุดท้ายฮีตจะถือถ้วยติดเทียนจุดไฟ 1
คู่ แล้วลุกขึ้นยืน คนที่ 1 เดินนำหน้าเวียนขวา คนที่ 2
เป็นเขยคนแรกถือบั้งไม้หรือไห คนที่ 3 เป็นเขยเล็กจะถือเหล็ก (มีดพร้าหัก
เคียวหัก หรือขวานหัก) เคาะ และคนที่ 4 คนสุดท้ายจะเป็นคนถือชามหรือจาน
คนทั้งสี่จะเดินเวียนขวาแล้วเวียนซ้าย
5. ขั้นการขอขมา
จุ้มเขย และลูกหลานจะเข้ามาขอขมาคารวะต่อศพ
โดยเจ้าฮีตจะเป็นผู้นำกล่าวโดยให้ทุกคนหมอบลง เจ้าฮีตจะถือขันธ์ 5
มีดอกไม้ และเทียนรวม 5 คู่ และเจ้าฮีตจะนำกล่าวขมาต่อผี
6. ขั้นการตัดเวรกรรม
เมื่อศพไปถึงป่าช้าแล้ว
ก่อนที่จะเผาหรือฝังจะมีพิธีทางศาสนาแล้วจะมีพิธีตัดเวรตัดกรรมดังนี้
พิธีกรหรือเจ้าฮีตจะนำเถาวัลย์มา 1 เส้น ยาวประมาณ 1 – 2 วา
ปลายข้างหนึ่งจะมัดไว้ที่โลงศพอีกปลายหนึ่งจะจับไว้โดยญาติ ลูกหลาน และผู้แบกหามศพ
เจ้าฮีตจะกล่าวว่า "ต่อไปนี้ตัดญาติขาดมิตรกัน เดินทางคนละเส้น
ทางใครทางมัน..."
พร้อมกับใช้มีดตัดตรงกลางเถาวัลย์เส้นนั้นให้ขาดและพูดต่อไปอีกว่า
"ทางคนละเส้นตะเวนคนละนวย"
คนไทยโส้มีพิธีกรรมความเชื่อที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่ในปัจจุบันความเชื่อในบางพิธีกรรมเริ่มจัดทำน้อยลง
คนรุ่นใหม่ที่ออกไปศึกษานอกหมู่บ้านหรือไปทำงานต่างถิ่นจึงมีความสนใจในพิธีกรรมของวิถีแบบเก่าลดน้อยลงจากบรรพบุรุษมาก
การแต่งกายของชาวโส้สมัยโบราณ
ผู้ชาย สวมเสื้อคอตั้งเล็กน้อย ติดกระดุม
ชายเสื้อผ่าด้านข้าง กางเกงขาก๊วย หรือผ้าเตี่ยวสีดำ กางเกงชั้นในสีขาว
ถ้ามีเทศกาลจะนิยมคาดเอวหรือพันศรีษะด้วยผ้าปิดที่สวยงาม สวมรองเท้าทำด้วยหนังควาย
ผู้เรียนไสยศาสตร์จะสวมลูกประคำด้วยลูกแก้หรือลูกมะกล่ำเป็นสัญลักษณ์
ผู้หญิง นิยมใส่เสื้อดำ แขนกระบอก ผ่าอกขลิบแดงทั้งสองด้าน
ติดกระดุมด้วยเหรียญเงินไม่มีกระเป๋าที่ตัวเสื้อ ผ่าชายเสื้อทั้งสองด้าน
มีฝ้ายสีแดงพันเป็นเกลียวเย็บเป็นรังดุม
ใช้เป็นสัญลักษณ์ของหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงาน ใช้นำมันทาผม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น